ไม่รู้ว่าเป็นความเคยชินหรือเป็นความชินชา ในครั้งนี้จี้หมัวมัวกลับไม่ได้เป็นลมล้มอีกแล้ว มีเพียงแค่สีหน้าที่เปลี่ยนไป นางกล่าวร้อง “เร็ว รีบส่งคนไปห้ามเร็ว…”
อาหมานบุ้ยปากพลางบอก “หมัวมัวอย่าได้เสียแรงเปล่าเลย รถม้าของพระชายาไปไกลแล้ว”
อาเฉี่ยวกลัวว่าจี้หมัวมัวในวัยชราจะเป็นอะไรไปจึงกล่าวเสริม “ใช่ๆ จี้หมัวมัว ต่อให้ส่งคนไปห้ามก็ไม่เป็นผล หากนายหญิงตัดสินใจแล้ว ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแผนการของนางได้หรอก…”
จี้หมัวมัวกลอกตาชุดใหญ่ “ใครบอกว่าข้าจะไปห้ามพระชายา ข้าหมายถึงส่งคนไปหยุดคนส่งสารที่กำลังไปหาจั่งสื่อต่างหากเล่า!”
จั่งสื่อเป็นคนเถรตรง เขาเป็นพวกยอมหัก ไม่ยอมงอ
เมื่อครู่ตอนที่นางไปหาจั่งสื่อ เขาไม่ได้อยู่ที่เรือน นางจึงกลับมา และให้คนนำจดหมายไปส่งแทน เพราะคิดว่าคนอย่างจั่งสื่อจะทำให้พระชายาเปลี่ยนใจได้
แต่ไม่ทันคิดว่า นางออกจากจวนไปได้ไม่ทันไร พระชายาก็ออกเดินทางเสียแล้ว!
จากที่เห็นตอนนี้คงห้ามพระชายาไม่ได้อีกแล้ว แต่หากจั่งสื่อรู้เข้าว่าพระชายาแอบไปก่อเรื่อง แล้วตาแก่นั่นมาตีอกชกหัวอยู่ที่หน้าประตูเยี่ยนอ๋องจะทำอย่างไร
จี้หมัวมัวตื่นตัวจนเหงื่อกาฬชุ่มโชก “รีบไปซิ!”
“ห๊า” อาหมานและอาเฉี่ยวที่เพิ่งได้สติลนลาน
ในตอนนั้นรถม้าแล่นผ่านประตูเมืองไปแล้ว
เจียงซื่อพิศมองสุนัขตัวใหญ่ที่เบียดตัวอยู่ในรถม้าด้วยใบหน้าจนใจ “เอ้อร์หนิว เจ้ารีบกลับไปเดี๋ยวนี้ ข้าเอาเจ้าไปด้วยไม่ได้หรอกนะ”
เอ้อร์หนิวชำเลืองมองเจียงซื่อแต่มิได้ขยับเขยื้อน
เจียงซื่อเอื้อมมือไปลูบหัวเอ้อร์หนิว
การเดินทางลงใต้คราวนี้ นางก็อยากพาเอ้อร์หนิวไปด้วยอยู่หรอก แต่เห็นจะไม่ได้จริงๆ
นางอาจเก็บตัวสวดมนต์ภาวนาอยู่แต่ในจวนไม่พบหน้าผู้ใดได้ แต่หากฝ่าบาทอยากเจอเอ้อร์หนิวขึ้นมาจะทำอย่างไร
ตลอดระยะเวลาที่นางไม่อยู่ที่จวน ยิ่งในจวนมีความเปลี่ยนแปลงน้อยเท่าไหร่ก็จะไม่เป็นที่สะดุดตาเท่านั้น
“เอ้อร์หนิว ข้าและอาจิ่นไม่ได้อยู่ที่จวน หากเจ้าตามมาด้วยแล้วใครจะดูแลอาฮวนเล่า”
สุนัขตัวใหญ่ที่เกยหน้าอยู่บนพื้นผงกหัวขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับกระดิกหูไปมา
“แม่นมก็เพิ่งมาใหม่ หากไม่มีเอ้อร์หนิวคอยเฝ้าดู หากพวกนางแอบอู้ปล่อยให้อาฮวนหิวนมหรือไม่ยอมเปลี่ยนผ้าอ้อมให้อาฮวนจะทำอย่างไร”
เอ้อร์หนิวกระดิกหูอีกครั้ง
ผู้อาวุโสฮวาที่นั่งอยู่ข้างๆ มองด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เจ้าสุนัขตัวนี้ท่าทางอย่างกับมนุษย์ ท่าทางของมันเหมือนฟังภาษาคนรู้เรื่อง
แต่นางคงคิดมากไปเอง การที่สุนัขจะติดเจ้าของก็คงมิใช่เรื่องแปลก มันถึงได้วิ่งตามพระชายาเยี่ยนอ๋องมา แต่มันจะฟังภาษาคนรู้เรื่องได้อย่างไร
รถม้าแล่นห่างจากเมืองหลวงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเจียงซื่อเห็นว่าเอ้อร์หนิวเริ่มขยับตัว นางจึงรีบกล่าวเสริม “เอ้อร์หนิว คราวนี้ข้าไปนาน หากเจ้าไปกับข้า กลับมาอาฮวนคงจำเจ้าไม่ได้แล้ว…”
เอ้อร์หนิวกระเด้งพรวด มันส่ายหางแล้วจึงกระโจนลงจากรถโดยไม่หันกลับมามองนางอีกเลย
ช่างเถอะ ช่างเถอะ กลับไปอยู่รอเป็นเพื่อนนายน้อยดีกว่า
เจียงซื่อเลิกม่านขึ้นดูด้านนอก นางเห็นเจ้าสุนัขตัวใหญ่นั่งอยู่กลางถนนและเฝ้ามองมาทางรถม้าของนาง
นางกลั้นใจวางม่านลง ปล่อยให้เสียงล้อรถดังเอี๊ยดอ๊าดอยู่พักใหญ่ เจียงซื่อจึงค่อยๆ เลิกม่านดูข้างหลังอีกครั้ง
เอ้อร์หนิวกำลังวิ่งตามรถม้า เพราะมันรู้ว่านายหญิงกำลังเฝ้ามองมันอยู่ เจ้าสุนัขตัวใหญ่ส่งเสียงเห่าเรียก
ในชั่วแล่นเจียงซื่ออยากจะตะโกนให้หยุดรถ แต่แล้วเอ้อร์หนิวกลับหมุนตัววิ่งกลับไปทางเก่า
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใดก่อนที่ผู้อาวุโสฮวาจะกระแอมไอออกมา เจียงซื่อถึงได้สติและวางม่านลงที่เก่า
“สุนัขของพระชายามีนิสัยละม้ายคล้ายกับมนุษย์ยิ่งนัก” ผู้อาวุโสฮวาเอ่ย
เจียงซื่อพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ใคร่จะต่อความยาวสาวความยืด
เจียงซื่อมีหลายคำถามที่อยากจะถาม แต่ต้องมิใช่ตอนนี้ที่เพิ่งแยกจากบุตรสาวและเอ้อร์หนิว
เป็นผู้อาวุโสฮวาที่เอ่ยปาก “ข้าอยากจะแปลงโฉมให้พระชายาเสียใหม่”
เจียงซื่อมองไปที่นาง
ผู้อาวุโสฮวาอธิบาย “แม้ว่าพระชายาจะแต่งเป็นสาวรับใช้ได้อย่างไร้ที่ติ แค่เห็นก็ทราบได้เลยว่ามีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน แต่เมื่อพระชายาเข้าไปในเผ่าของข้า พระชายาจะเป็นที่ดึงดูดความสนใจทันที”
“แล้วผู้อาวุโสฮวาจะแต่งหน้าให้ข้าออกมาเป็นเช่นไร”
“พระชายารอดูเอาเองก็แล้วกัน”
“ได้ เช่นนั้นข้ารบกวนด้วยก็แล้วกัน” เจียงซื่อตอบรับด้วยความเต็มใจ
เจียงซื่อไม่เคยทำอะไรแบบขอไปที ในเมื่อนางตกลงรับปากผู้อาวุโสฮวาแล้ว นางก็อยากทำภารกิจนั้นให้ลุล่วงเสียก่อน แล้วนางค่อยไปตามไปจัดการเรื่องอื่นๆ ในภายหลัง
เจียงซื่อหลับตาปล่อยให้ผู้อาวุโสฮวาลูบๆ ถูๆ ใบหน้าของนางไปอย่างนั้น ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดก่อนที่เสียงของผู้อาวุโสฮวาจะดังขึ้น “พระชายาลืมตาได้”
เจียงซื่อค่อยๆ ลืมตา และหันไปมองกระจก แล้วพบว่าคนในกระจกไม่ใช่นาง
เจียงซื่อหันไปมองผู้อาวุโสฮวาด้วยความประหลาดใจ
หญิงชราหัวเราะ “พระชายาทนหน่อยก็แล้วกัน หลังจากนี้ขอให้เรียกข้าว่าฮวาวั่ว”
ผู้อาวุโสฮวาแปลงโฉมของเจียงซื่อให้คล้ายคลึงกับใบหน้าของหลานสาวของนาง
หลานสาวของหญิงชราอ่อนกว่าเจียงซื่อสองปี แต่รูปร่างของทั้งสองแทบจะไม่ต่างกัน เจียงซื่อจดจ้องไปที่ใบหน้าในกระจกจนนางเองก็รู้ว่าเหมือนจริงอย่างน่าอัศจรรย์
นางจ้องเงานั้นเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกประหลาดใจกับความสามารถในการใช้วิชาแปลงกายของผู้อาวุโสฮวา
วิชาแปลงกายของเผ่าอูเหมียวมีความลึกลับคือเพียงใช้ยาป้ายลงบนฝ่ามือและกดเบาๆ ก็จะสามารถเปลี่ยนโครงสร้างบนใบหน้าได้
ในตอนที่เจียงซื่ออาศัยอยู่ในเผ่าอูเหมียว นางเคยฝึกวิชาแปลงกายแต่มิได้เชี่ยวชาญ ขนาดหัวหน้าผู้อาวุโสยังเคยกล่าวว่านางคงไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้
แต่สิ่งที่นางเห็นในตอนนี้ยืนยันได้ว่า ผู้อาวุโสฮวาเป็นปรมาจารย์ด้านการใช้วิชาแปลงกาย
เจียงซื่อจ้องมองหญิงชราที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แล้วความคิดก็ผุดขึ้นในหัว ในเมื่อนางใช้วิชาแปลงกายได้เก่งกาจถึงเพียงนี้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่านางคือผู้อาวุโสฮวาตัวจริง
ทันทีที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว เหงื่อเย็นก็เริ่มไหลซึมทั่วร่างของเจียงซื่อ นางดึงมุมปากอย่างอดไม่ได้
ในวินาทีนั้นเจียงซื่อรู้สึกว่านางกำลังล่อลวงตัวเองให้กังวล
นางเคยเจอผู้อาวุโสฮวามาก่อนที่ร้านค้าไร้นามบนถนนซีซื่อ กลิ่นของหญิงตรงหน้าเป็นกลิ่นเดียวกันกับหญิงชราที่นางเจอในวันนั้น ฉะนั้นแล้วหญิงชราผู้นี้คือผู้อาวุโสฮวาอย่างไม่ต้องสงสัย
ครั้นเห็นเจียงซื่อนิ่งเงียบเนิ่นนาน ผู้อาวุโสฮวาจึงกล่าว “พระชายาวางใจได้ การจะทำให้กลับไปเป็นดังเดิมมิใช่เรื่องยาก เพียงแต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ข้าต้องรบกวนพระชายาให้ปลอมตัวเป็นหลานสาวของข้า เพื่อที่พระชายาจะได้กลับไปถึงเมืองหลวงโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้”
คนอูเหมียวใส่ใจกับเรื่องใบหน้าของผู้คนเป็นอย่างมาก ในจุดนี้เจียงซื่อเองก็ทราบดี
“ที่เหลือข้าฝากฮวาวั่วด้วยก็แล้วกัน” เจียงซื่อส่งยิ้มให้หญิงชรา
แต่ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด เมื่อเจียงซื่อได้เห็นฝีมือของผู้อาวุโสฮวาแล้ว นางกลับรู้สึกไม่สบายใจ
เป็นความไม่สบายที่นางเองก็ยังหาต้นตอไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นเพียงสัญชาตญาณก็เป็นได้
สัญชาตญาณนั้นทำให้หัวใจของนางหนักอึ้ง
เมื่อผู้อาวุโสฮวาเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปของเจียงซื่อก็รู้สึกรักใคร่ “อาฮวา อีกไม่นานเจ้าก็จะอายุสิบหกแล้ว เมื่อกลับไปที่เผ่าจงประพฤติตนให้ดี อย่าได้หนีออกไปเที่ยวเล่นอย่างเช่นที่ผ่านมา”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสฮวาก็หัวเราะร่า “โชคดีที่อาฮวามาอยู่ที่ต้าโจวนานแล้ว นางไม่ได้ติดต่อสหายเก่ามานานแล้ว ยามที่พระชายาอยู่ที่นั่นก็แค่พูดให้น้อย เท่านี้ก็จะไม่มีใครสงสัย”
“ข้าจะจำคำของฮวาวั่วเอาไว้” เจียงซื่อมิได้รู้สึกตะขิดตะขวงยามต้องปลอมตัวเป็นอาฮวา ฉะนั้นการเรียกฮวาวั่วจึงไม่ได้รู้สึกกระดากปากแต่อย่างใด
ผู้อาวุโสฮวายิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
พระชายาเยี่ยนอ๋องมีพรสวรรค์ในการปลอมตัวเสียเหลือเกิน เรื่องสวมรอยเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์คงไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวล
ในตอนนั้นจู่ๆ เจียงซื่อก็ถามขึ้นว่า “แล้วอาฮวาตัวจริงอยู่ที่ไหนหรือ”