บทที่ 686 อาฮวาจากไป

ครอบครัวของพ่อมดในหมู่บ้าน ได้รับการลงโทษอย่างสาสม ในที่สุดเมฆหมอกที่ปกคลุมเหนือหมู่บ้านแห่งนี้จึงได้สลายไป

ถังหลี่ที่ทั้งหิว และเนื้อตัวสกปรก ตอนนี้ได้ที่พักพิง มีอาหารให้กิน ได้อาบน้ำอุ่น และนอนหลับได้อย่างไร้กังวล นางรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายขึ้น ยามที่พระอาทิตย์กำลังตก แสงแดงส่องลอดผ่านหน้าต่าง ถังหลี่เปิดประตูออกไป เห็นซานเป่ากำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้มีพนักพิงที่อยู่ในสนาม นางกำลังอาบแดดอยู่

หวังหยูนั่งอยู่ข้างๆ จ้องมองอากาศ จากนั้นจึงได้ทำท่าคว้าอากาศที่ว่างเปล่าตรงหน้า เขาแบมือออกเห็นแมลงอยู่ในฝ่ามือ จึงได้คลี่ยิ้มออกมา รอยยิ้มของเขาสดใสเต็มไปด้วยความยินดีราวกับพบบางอย่างที่ทำให้เขามีความสุข ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงสายตาของถังหลี่ที่กำลังจ้องมองเขา ถังหลี่กวักมือเรียกหวังหยู เขาเดินไปหานางอย่างเงียบๆ

“ฮูหยิน” เขาทักทายด้วยความเคารพ

“ไปเดินเล่นกัน” ถังหลี่พาเขาเดินออกไปจากลานบ้าน เดินตรงไปที่ประตู

“สองวันที่ผ่านมา เจ้าจำอะไรได้บ้างหรือไม่?” ถังหลี่ถามเขา หวังหยูขมวดคิ้วส่ายหน้า

“ตั้งแต่วันที่ค่ายกลถูกทำลาย ข้าจำบางอย่างได้ แต่ก็ไม่มีความจำนอกเหนือไปกว่านั้นอีก”

คนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในความทรงจำของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝ่ามือของคนผู้นั้นกว้างมาก จับมือเล็กๆ ของเขาเดินเข้าไปในวิหารขนาดใหญ่ ในความทรงจำมือเดียวกันนี้เองถือก้อนหินเอาไว้ แล้วสอนเขาเรื่องรูปแบบของค่ายกล

แต่เขาจำหน้าตาของคนผู้นั้นไม่ได้

“แต่เดิม เจ้าเป็นผู้สืบทอดของพ่อมดศักดิ์สิทธิ์เจ้าควรจะอยู่ในเมืองเยว่เฉิง ตอนนี้เจ้าน่าจะได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว แต่เหตุใดจึงได้ถูกขายแล้วกลายเป็นทาส .. ข้าไม่รู้สถานการณ์ในเยว่เฉิง เป็นไปได้ว่าอาจจะมีข้อขัดแย้งและมีคนอยู่เบื้องหลัง”

ชาวเผ่าโบราณมีความเชื่อถือในตัวธิดาเทพและพ่อมดศักดิ์สิทธิ์มาก ทั้งสองเทียบเท่ากับชนชั้นปกครองของชนเผ่าโบราณ เป็นไปได้ว่าตัวตนของหวังหยูอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งในอำนาจ

หวังหยูขมวดคิ้วแน่นขึ้น

“ฮูหยิน ข้าจะสร้างปัญหาให้ท่านกับเจ้านายหรือไม่?”

พวกเขาล้วนเป็นผู้มีพระคุณ หวังหยูไม่อาจสร้างความเดือดร้อนใจให้พวกเขาได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น เขายอมปลีกตัวออกห่างเพื่อที่เจ้านายจะไม่เดือดร้อน แต่แค่คิดว่าจะต้องละทิ้งนายหญิงตัวน้อยของเขาเท่านั้นก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน หัวใจของเขาบิดเบี้ยว อึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก

“ไม่! ข้าแค่อยากจะพูดกับเจ้าว่า ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในสถานะใด มีปัญหาใหญ่น้อยเพียงใด ข้ายินดีที่จะช่วยเหลือเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเลือกหนทางใด ข้าย่อมสนับสนุน เจ้าไม่ต้องตัวสั่นตกอยู่ในความหวาดกลัวเช่นก่อนอีกต่อไปแล้ว” ถังหลี่ไม่กลัวที่จะรับมือกับปัญหาของหวังหยู ภายในใจของนางคิดว่าหวังหยูเป็นคนของตนเองไปเสียแล้ว นางต้องคอยปกป้องเขา ประหนึ่งว่าเขาเป็นจุดอ่อนของตนเอง

“หากเจ้าคิดอะไรออกต้องรีบบอกข้าในทันที รู้จักตนเอง รู้จักศัตรูว่าเป็นใคร อย่าได้มัวนิ่งนอนใจอยู่เฉย ถ้าความทรงจำของเจ้าฟื้นคืนกลับมาเต็มที่แล้วเจ้าอยากกลับไป ข้าจะไม่ห้ามเจ้า!”

ถังหลี่มองหวังหยู มีความกังวลอยู่ในใจ

“ข้าหวังว่าเจ้าจะได้ในสิ่งที่เจ้าปรารถนา”

ตาของหวังหยูเป็นสีแดงระเรื่อ

คำพูดของฮูหยินทำให้หัวใจของเขาอบอุ่น ความทุกข์ทรมานที่กินเวลามาเนิ่นนานดูเหมือนจะบรรเทาลง เขาช่างโชคดีที่ได้มาเจอฮูหยินและนายหญิงของเขา พอคิดเช่นนี้ ความทรงจำที่เลวร้ายในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ดูน่ากลัวน้อยลง ทั้งสองคนดีกับเขาดีกับเขาถึงเพียงนี้ เขาจะเลือกกลับไปได้อย่างไร?

เขาแค่กลัวว่าตนเองจะโลภมากขึ้น ..เรื่อยๆ

ถังหลี่พาหวังหยูไปเดินเล่น เมื่อได้พูดจากับเขาแล้ว นางจึงพาเขากลับไปที่บ้านพัก

ซานเป่ายังคงนอนอาบแดดอยู่ ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำ นางนอนหลับสนิท หวังหยูเดินเข้าไปเงียบๆ เขาโบกมือไล่แมลงให้นาง เมื่อเห็นนางยังนอนหลับใหลอยู่เช่นนั้น ความสุขสงบก็บังเกิดขึ้นในหัวใจของเขา

“พี่สาว!” อาฮวาเดินเข้ามาหา ร้องเรียกถังหลี่จากด้านนอก

“ช้ามีเรื่องจะเล่าให้ท่านฟัง”

พวกเขานั่งลงที่เก้าอี้ อาฮวาพูดต่อว่า

“พี่สาว ข้ากับพี่ชายได้วาดเส้นทางออกจากหมู่บ้านไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เป็นเส้นทางที่อาหวังได้เคยบอกข้าเอาไว้”

นับตั้งแต่ที่รู้ว่าบิดามารดายังไม่ได้เสียชีวิต แต่ถูกนำตัวไปยังเยว่เฉิง อาฮวาก็รู้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่อาหวังทำลงไปไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน เหตุใดอาหวังจึงได้เล่าเรื่องเส้นทางออกจากหมู่บ้านให้นางและพี่ชายฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า? เป็นเพราะเขาคิดว่าสักวันหนึ่งมันจะมีประโยชน์ต่อพวกเขาสองคนพี่น้องหรือไม่? บางทีพวกเขาจะได้ออกไปจากที่แห่งนี้?

อาหวังอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็เป็นได้

อาฮวายื่นกระดาษสีน้ำตาลให้ถังหลี่ นางหยิบขึ้นมาเปิดดู มีเส้นทางที่ทำเครื่องหมายเอาไว้อย่างชัดเจน สามารถมองเห็นได้อย่างพริบตา

“ขอบคุณ” ถังหลี่มองไปที่อาฮวาพร้อมกับคาดเดาบางอย่าง

“เจ้าไม่กลับไปพร้อมกับพวกเราหรือ?”

อาฮวายิ้ม ส่ายหน้า

“พี่ชายและตัวข้ากำลังจะไปเยว่เฉิง เพื่อหาบิดา มารดาของพวกเรา” ยามที่บิดามารดาของนางจากไปอาฮวายังเด็กมาก แต่นางฝันถึงพวกเขาบ่อยครั้ง ในความฝัน ท่านพ่ออุ้มนางขึ้นบ่า พร้อมกับไล่ล่าหมูป่า แต่บังเอิญสะดุดหกล้ม เลือดกำเดาไหล มารดาคว้าหูของท่านพ่อบิดแล้วร้องดุเขา

อาฮวายังคงฝันถึงท่านแม่ที่นั่งอยู่ในลานบ้านกำลังเย็บเสื้อผ้าตัวเล็กๆ อยู่

นางคิดถึงท่านพ่อท่านแม่มาก คิดถึงอ้อมกอดที่อบอุ่นของพวกเขาจริงๆ

หลังจากที่รู้ว่าบิดามารดาของนางอาจจะยังมีชีวิตอยู่ ความปรารถนาในใจของอาฮวาก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นไฟที่แผดเผาจนลามทุ่งหญ้า

ถ้าหากนางสามารถหาบิดามารดาของตนได้ ..คงจะดีไม่น้อยที่พวกเขาสี่คนจะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง

“อาซวนรู้หรือยัง?”

ถังหลี่เสียใจมากที่สองพี่น้องไม่อาจเดินทางกลับไปกับนางได้ แต่คนที่เศร้าที่สุดน่าจะเป็นจ้าวจิ่งซวน เขาคิดวางแผนสำหรับการไปอยู่ในเมืองหลวงไว้ให้อาฮวาและอามู่แล้ว

เมื่อพูดถึงจ้าวจิ่งซวน แววตาของอาฮวาเศร้าลง นางแทบทนไม่ไหวหากจะต้องทิ้งเขาไป

“ข้าจะบอกเขาเอง”

อาฮวาเดินขึ้นบันไดไม้ไปที่ชั้นสอง นางเคาะประตูที่หน้าห้อง

“ใคร?” เสียงจ้าวจิ่งซวนดังออกมา

“อาซวน..ข้าเอง”

“อาฮวา..” น้ำเสียงของจ้าวจิ่งซวนอ่อนโยนขึ้น

“เข้ามาสิ”

อาฮวาผลักประตูเปืดเข้าไปที่ด้านใน เห็นจ้าวจิ่งซวนพิงหมอนเอนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขายังคงบวมเต็มไปด้วยรอยแผลทั้งเก่าและใหม่ ดูแล้วน่าวงสารไม่น้อย

“เจ็บหรือไม่?” อาฮวาถามเบาๆ

“เจ็บ มือของข้าเจ็บจนกินอะไรไม่ได้เลย” จ้าวจิ่งซวนมีท่าทางเศร้าใจ เขาเหลือบมองอาฮวา แล้วชำเลืองมองไปยังชามโจ๊กที่อยู่ข้างๆ แฝงความหมายอย่างชัดเจน

อาฮวายิ้ม นางยกชามโจ๊กขึ้นมา

“ข้าป้อนเจ้าเอง”

จ้าวจิ่งซวนมีความสุขที่ได้รับในสิ่งที่ตนเองต้องการ อาฮวาป้อนโจ๊กให้เขาทีละคำบราวนี่ออนไลน์

เขากินโจ๊กที่นางป้อนให้ ภายในใจคิดวาดหวังถึงวันข้างหน้าอย่างชื่นมื่น

เมื่อกินโจ๊กหมดไปครึ่งชาม จ้าวจิ่งซวนก็ตั้งชื่อบุตรของพวกเขาไว้ในใจเรียบร้อยดีแล้ว

“อาซวน ข้าตั้งใจว่าจะไม่ไปต้าโจว ข้าจะไปเยว่เฉิง” อาฮวาวางโจ๊กลง เอ่ยออกมา

รอยยิ้มบนใบหน้าของจ้าวจิ่งซวนแข็งทื่อไปในทันทีก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

อาฮวาไม่ไปต้าโจวกับเขาหรือ? คำพูดของนางประหนึ่งเอาน้ำราดลงบนกองไฟแห่งความสุขที่กำลังลุกโชนของเขา ทำให้เขาผิดหวังและเสียใจอย่างใหญ่หลวง

“ข้าให้ท่าน” อาฮวาหยิบสายรัดเอวที่ทำจากด้ายสีแดงส่งให้จ้าวจิ่งซวน เขาหยิบสายรัดขึ้นมา มันมีความยาวจนพันรอบเอวของเขาได้อย่างพอดิบพอดี

อาฮวามีฝีมือจริงๆ

จ้าวจิ่งซวนกุมสายรัดเอาไว้ในมือแน่น ภายในใจรู้สึกเศร้าโศกมากยิ่งขึ้น

“อาซวน อย่าได้เศร้าเสียใจเลย” อาฮวาลูบศีรษะของเขา “เราจะได้พบกันอีกตามที่โชคชะตากำหนดเอาไว้”

เขาเป็นคนต้าโจว อาฮวาเป็นชาวเผ่าโบราณ จ้าวจิ่งซวนรู้ดีว่า จากกันครั้งนี้เป็นการจากลากันชั่วนิรันดร์ พวกเขาจะได้พบกันใหม่อีกหรือ?

จ้าวจิ่งซวนฝืนยิ้มออกมา

“ข้าไม่ได้เตรียมของขวัญไว้ให้เจ้าด้วยซ้ำ…” จ้าวจิ่งซวนเอามือตบไปรอบตัว พบว่าหยกประดับและของมีค่าของตนสูญหายไปจนหมด ไม่เหลือของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว

มือทั้งสองข้างของเขาว่างเปล่า เมื่อจ้าวจิ่งซวนกำลังใช้หัวคิดอย่างหนักว่าจะหาสิ่งใดมาเป็นของแลกเปลี่ยนแทนใจ อาฮวาพลันยื่นออกมาทำท่าราวกับหยิบของไปจากมือของเขา

“อาซวน ข้าได้ของกำนัลจากท่านแล้ว”

จ้าวจิ่งซวนตกตะลึง

“เป็นความปรารถนาดีของท่าน” นางแย้มยิ้ม คิ้วโค้งงอ ใบหน้าสดชื่นแจ่มใส

จ้าวจิ่งซวนเจ็บจมูกจนอยากจะร้องไห้ออกมา

เขาเป็นผู้ชายจะร้องไห้ได้อย่างไร..อาฮวาช่างเป็นคนดีเหลือเกิน…

“อาฮวา ข้าขออวยพรให้เจ้าและอามู่ได้พบบิดามารดาและได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง”

“อืม…ขอบคุณนะ”

“กอดข้าหน่อยได้หรือไม่?” อาฮวาเข้ามาใกล้ นางกอดจ้าวจิ่งซวนไว้ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงปล่อยมือ

“พวกเราจะออกเดินทางภายหลัง อาซวนลาก่อน..”

“ลาก่อน อาฮวา..”

จ้าวจิ่งซวนขังตัวเองอยู่ในห้องเกือบตลอดทั้งวัน ในช่วงบ่ายจู่ๆ เขาก็เปิดประตูออกมา เดินกระเผลกลงบันไดไปชั้นล่างจนแทบจะหกล้ม มือหนึ่งยื่นมาพยุงเขาเอาไว้ได้ทัน

จ้าวจิ่งซวนมองถังหลี่ ตาเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง เขากอดนางเอาไว้ ถังหลี่สัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าภายในใจของเขาที่แผ่ออกมา นางตบหลังปลอบใจเขาเบาๆ

“อาฮวากับอามู่จากไปแล้ว” จ้าวจิ่งซวนพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา..พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกัน”

คนหนุ่มสาวมีพบมีพลัดพรากจากกันย่อมเป็นปกติวิสัยของวิถีโลก จนกว่าพวกเขาจะเติบใหญ่ ต้องผ่านความทุกข์เช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

……………….