เล่ม 1 ตอนที่ 167-1 ครอบครัวพร้อมหน้า

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 167-1 ครอบครัวพร้อมหน้า

ยิ่นอ๋องออกจากหมู่บ้านซีหนิวไปท่ามกลางสายตาประหลาดใจของชาวบ้านในหมู่บ้าน เขาเข้าหมู่บ้านมาจะสู่ขอภรรยาอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผลกลายเป็นว่าขอไม่สำเร็จ ของหมั้นทั้งสี่คันรถถูกขนลงเนินไปโดยไม่ได้แตะต้องสักนิด ช่างน่าขันยิ่งนัก

ยิ่นอ๋องกลับจวนไปพร้อมความขุ่นมัว

หมู่บ้านซีหนิวอยู่ห่างจากเมืองหลวงประมาณสามสี่สิบลี้ แต่ประตูหนานเฉิงของเมืองหลวงอยู่ห่างจากจวนอ๋องไปอีกยี่สิบสามสิบลี้ กว่ารถม้าจะไปถึงประตูใหญ่ของจวน ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว

ฉากยามราตรีคล้ายสีหมึกที่ค่อยๆ กระจายไปทั่วท้องฟ้า แสงไฟจากบ้านเรือนสะท้อนกับท้องฟ้าที่มีดวงดาวพร่างพราย ผลของต้นไห่ถังซ้อนทับกันอยู่เหนือกำแพง ทำให้จวนเงียบขรึมที่ดูโดดเดียว ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างหากได้ยากยิ่ง

รถม้าหยุดนิ่ง

ขันทีหลิวกระโดดลงจากรถด้วยความรวดเร็ว เขาเอาเก้าอี้ออกมาวางให้ยิ่นอ๋อง แล้วยื่นมือไปแหวกม่านออก

ยิ่นอ๋องย่อมไม่บอบบางดังเช่นสตรี เขาเหยียบเก้าอี้ก้าวลงมาด้วยตัวเอง

เพราะโกรธค้างมาตั้งแต่บนเขา สีหน้าจึงดูบี้งตึงเล็กน้อย องครักษ์โดยรอบไม่มีใครกล้าส่งเสียง เอาแต่ก้มหน้าก้มตา พยายามทำให้ตัวเองดูไม่เหมือนอยู่ตรงนี้มากที่สุด

ยิ่นอ๋องก้าวขาไปทางประตูใหญ่ ใครจะรู้ว่าแค่เดินอ้อมรถม้ามาก็เห็นศีรษะเล็กๆ สามหัวที่แวววาวเป็นประกาย เขาตกใจเมื่อได้เห็นศีรษะเด็กน้อยทั้งสามนั่งยองๆ กันอยู่ที่พื้น ในมือถือกิ่งไม้ที่ไม่รู้หักมาจากที่ไหน เอามาวาดเป็นภาพอยู่บนพื้น

ข้างกายเด็กน้อย มีเจ้าเมืองที่ยืนงีบหลับจนหัวแทบปักพื้นอยู่

เจ้าเมืองคงจะง่วงแทบทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ขบวนรถม้าเคลื่อนมาจอดตรงหน้าประตูแล้ว เขาก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิด

ยิ่นอ๋องมองเจ้าเมืองที่มาโดยไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเรียบเย็น

ขันทีหลิวกระแอมไอสองที

เจ้าเมืองสะดุ้งตื่น ตกใจรีบประสานมือคารวะอย่างทำอะไรไม่ถูก “ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง!”

ขันทีหลิวกระแอมไออีกสองที

เจ้าเมืองพลันรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง จึงขยี้ตามอง เห็นว่าที่ตนทำความเคารพไม่ใช่ท่านอ๋อง แต่เป็นกำแพง!

เจ้าเมืองรีบหันกลับไป ทำความเคารพอย่างถูกต้องตามระเบียบ ครานี้เขาทำความเคารพถูกแล้วจริงๆ “ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง!”

ยิ่นอ๋องกวาดสายตามองเจ้าหัวไชเท้าทั้งสาม ในใจพลันเกิดความรู้สึกประหลาด เขาถามเจ้าเมืองว่า “มีอะไรถึงมารออยู่ตรงนี้”

“เอ่อ…” เจ้าเมืองเหลือบมองเด็กทั้งสามที่เล่นอยู่ที่พื้น ไม่รู้ว่าควรเอ่ยอธิบายให้ยิ่นอ๋องฟังอย่างไรดี จึงเดินเข้าไปหาเด็กทั้งสามแล้วกวักมือเรียก “พวกเจ้าตามข้ามา”

เจ้าหัวไชเท้าทั้งสามวางกิ่งไม้ในมือลง แล้วเดินตามเจ้าเมืองไปอย่างว่างาย

ก่อนหน้านี้พวกเขานั่งยองๆ กันอยู่ในมุมมืด มองเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อได้มองเวลามีแสงไฟ พระเจ้าช่วย นี่มันเณรน้อยในชุดนักบวชสีเทานี่!

เด็กทุกคนห้อยลูกประคำเป็นพวงกลมๆ อยู่ตรงหน้าอก ใบหน้าของพวกเขากลมกิ๊กเช่นกัน ตากลมแป๋ว ปากเผยอขึ้นเล็กน้อย และก็ดูจะกลมดิกเช่นกัน ศีรษะยิ่งไม่ต้องพูดถึง กลมจนแทบจะเป็นลูกหนังเลยทีเดียว!

เณรน้อยทั้งสามหน้าตาแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือ เหตุใดเณรน้อยที่หน้าตาเหมือนกันเหล่านี้ถึงได้ละม้ายคล้ายท่านอ๋องนัก

คางของขันทีหลิวแทบจะหล่นลงมาอยู่แล้ว

ยิ่นอ๋องบอกไม่ถูกว่าตนกำลังตกใจหรือตระหนก เขาขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าเมือง ทางที่ดีเจ้าควรอธิบายให้ข้าฟัง”

เจ้าเมืองเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าท่านอ๋องจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ จึงไม่อ้อมค้อมใดๆ ทั้งสิ้น บอกไปตามตรงว่า “คืออย่างนี้ขอรับ เมื่อตอนเที่ยงไม่รู้มีเด็กสามคนมาจากที่ไหน บอกว่าจะเข้าเมือง ข้างกายพวกเขาไม่มีผู้ใหญ่มาด้วยสักคน จึงถูกองครักษ์ประจำประตูเมืองขวางเอาไว้ องครักษ์กลัวว่าพวกเขาจะพลัดหลงกับครอบครัว จึงให้พวกเขารออยู่ด้านข้าง แต่พวกเขากลับบอกองครักษ์ว่า พวกเขามาตามหาพ่อ องครักษ์เลยถามว่าพ่อของพวกเขาเป็นใคร แซ่อะไร ชื่ออะไร พักอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร พวกเขาตอบไม่ได้ เพียงมอบภาพเหมือนภาพหนึ่งให้กับองครักษ์”

เจ้าเมืองพูดพลางหยิบม้วนกระดาษสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ แล้วค่อยๆ คลี่ออก บนกระดาษเป็นภาพเหมือนของบุรุษคนหนึ่ง มีส่วนคล้ายกับยิ่นอ๋องเจ็ดแปดส่วน

สีหน้ายิ่นอ๋องดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เจ้าเมืองเอ่ยต่อว่า “องครักษ์ที่ประจำประตูเมืองไม่รู้จักบุรุษในภาพ จึงมาแจ้งที่จวนเจ้าเมือง ข้าน้อยเห็นภาพแล้วดูละม้ายคล้ายท่านอ๋องยิ่งนัก พวกเด็กเหล่านี้ก็หน้าตา…แทบจะ…เหมือนกับท่านอ๋อง ข้าน้อยจึงใจกล้าถือวิสาสะพาตัวพวกเขามาขอรับ”

เจ้าเมืองเป็นคนที่รื่นไหลนัก คำพูดของเขามักไม่เคยมีช่องโหว่ แต่ครั้งนี้คงจะตกใจมากจริงๆ แม้แต่จะร้อยเรียงคำพูดอย่างไรก็ทำไม่เป็นเสียแล้ว ถึงขั้นจาบจ้วงยิ่นอ๋องอย่างรุนแรง

ไม่ว่าเด็กเหล่านี้จะใช่บุตรของยิ่นอ๋องหรือไม่ ล้วนไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าเมืองที่จะมาตัดสิน คำพูดเมื่อครู่เป็นการบอกยิ่นอ๋องอย่างชัดเจนว่า เจ้าเมืองคิดว่าเด็กเหล่านี้เป็นบุตรของยิ่นอ๋อง

หากเรื่องนี้แพร่ออกไป…

คำนินทกาเล เกรงว่าคงทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจอีกแล้ว

“เจ้าเมือง ระวังคำพูดด้วย” ยิ่นอ๋องพูดทีละคำออกมาอย่างเย็นยะเยือก

เจ้าเมืองขนหัวลุก ลอบบอกตัวเองในใจว่าเขาหลับสัพหงกจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือไร เหตุใดถึงได้พูดจาที่อันตรายถึงชีวิตเยี่ยงนี้ ควรบอกว่าเด็กสามคนนี้พลัดหลงกับบิดามารดา แล้วเอาภาพเหมือนของท่านอ๋องออกมา ไม่รู้ว่าเป็นคนที่ท่านอ๋องรู้จักหรือไม่ จะหน้าตาเหมือนท่านอ๋องเหรือไม่ ท่านอ๋องจะดูเองไม่ออกหรือ ปากพล่อยๆ นี่! ปากพล่อยจริงเชียว!

เจ้าเมืองแทบอยากจะตบปากตัวเอง ยิ้มแหยๆ เอ่ยว่า “ข้าน้อยเสียมารยาท ขอท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย คดีนี้กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวน ข้าน้อยไม่มีทางให้ข้อมูลแพร่งพรายไปเด็ดขาดขอรับ!”

ยิ่นอ๋องส่งเสียงหึเรียบๆ ทีหนึ่ง “ทางที่ดีเจ้าควรจำที่ตัวเองพูดไว้ หากให้ข้าได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยิน เจ้าคงรู้ว่าทำให้ข้าไม่พอใจจะมีจุดจบเช่นไร”

“ขอรับๆๆ ข้าน้อยทราบแล้ว!” เจ้าเมืองทำความรพอย่างนอบน้อม จับหน้าอกที่สั่นสะท้าน แล้วก้าวขากลับศาลาว่าการไป ส่วนเด็กๆ ที่เหลือถูกทิ้งไว้ที่นี่

เมื่อได้มองเจ้าหัวไชเท้าที่ดูงุนงงทั้งสาม อารมณ์ยิ่นอ๋องก็ออกจะซับซ้อนเล็กน้อย

เขาเพิ่งออกจากบ้านไปครั้งเดียว กลับมาถึงก็กลายเป็นพ่อของเณรน้องทั้งสามแล้วหรือ

หรือว่าสตรีนางนั้นจะพูดถูก คนที่ร่วมหลับนอนกับเขาหนึ่งราตรีเป็นอีกคนหนึ่งจริงๆ ซ้ำยังตั้งครรภ์บุตรของเขา ท้องเดียวได้ถึงสองสามคน?

ขันทีหลิวปั่นป่วนในใจยิ่งกว่าท่านอ๋องเสียอีก เขาไม่ได้เข้าไปในห้อง ไม่รู้ว่าเฉียวเวยเปิดไพ่ทั้งหมดให้ท่านอ๋องแล้ว จึงไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ก่อนเลย พอได้เห็นเณรน้องทั้งสามคน เขาตกใจจนฉี่แทบราด

“ท่านอ๋อง เรื่องนี้จะทำเช่นไรดีขอรับ” ขันทีหลิวถามด้วยความหนักใจ

ยิ่นอ๋องใบหน้าเคร่งขรึม “เตรียมรถ”

ขันทีหลิวอึ้งไป “เตรียมรถ? ดึกป่านนี้แล้ว ท่านจะไปไหนหรือ”

สายตาของยิ่นอ๋องมองไปยังเณรน้องทั้งสาม มือใหญ่ที่อยู่ใต้แขนเสื้อค่อยๆ กำเป็นหมัด “ยังจะไปไหนได้อีก ขึ้นเขา!”

จะออกนอกเมืองกันดึกดื่น โชคดีที่เป็นท่านอ๋อง หากเป็นคนอื่นใครเลยจะเปิดประตูให้

ยิ่นอ๋องนั่งรถม้าตัวเองคันหนึ่ง ขันทีหลิวกับเณรน้อยสามคนอีกคันหนึ่ง เณรน้องนั่งขัดสมาธิอยู่บนพรมผืนนุ่ม แต่ละคนมือถือน่องไก่ แทะกินกันจนปากมันไปหมด…

มุมปากขันทีหลิวกระตุกอยู่ตลอดเวลา ความจริงแล้วพวกเจ้าไม่ใช่สามเณรกันหรอกกระมัง มารดาพวกเจ้าเป็นแม่ชีใช่หรือไม่…

เมื่อคิดถึงว่าเจ้านายของตนอาจกระทำมิดีมิร้ายกับแม่ชี ขันทีหลิวก็รู้สึกครั่นคร้ามไปหมด

วันนี้โชคของยิ่นอ๋องค่อนข้างเลวร้าย จะทำอะไรก็ติดขัดไปหมด จะไปสู่ขอก็ดันได้รู้ความจริงว่าจิ่งอวิ๋นไม่ใช่บุตรของตน จะขึ้นเขา ล้อรถก็มาติดหล่มอยู่กลางทาง

คนรถซ่อมอยู่หนึ่งสองชั่วยาม ตอนที่รถม้าขึ้นไปถึงตีนเนิน ท้องฟ้าก็มีแสงสว่างให้เห็นรำไรแล้ว

ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยตื่นแต่เช้าจะไปลงสวนลงนากัน เมื่อเห็นรถม้าคันคุ้นตา จึงส่ายหัวกันอย่างเห็นขัน ท่านอ๋องแห่งแคว้นจะมาอะไรอีก ตระกูลเฉียวปฏิเสธไปแล้วนี่ เหตุใดถึงยังมาที่บ้านเขาอย่างไม่รู้จักอับอายอีก

ยิ่นอ๋องถูกผู้คนมองด้วยสายตาประหลาดจนหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด ย่ำเท้าขึ้นเขาไปอย่างขุ่นเคือง

เฉียวเวยตกใจตื่นจากเสียงตะคอกด้วยความเดือดดาลของยิ่นอ๋อง จิ่งอวิ๋นหลับไม่ลึก จึงสะดุ้งตื่นตัวสั่นด้วยเสียงของเขา เฉียวเวยตบต้นแขนบุตรชาย ปลอบเขาอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงคลุมเสื้อคลุม เดินออกจากห้องไปด้วยสายตาเย็นยะเยือก นางมองใบหน้าขุ่นเคืองของยิ่นอ๋องแล้วตะคอกถามว่า “ท่านอ๋องมาตะโกนโหวกเหวกที่บ้านข้าแต่เช้า คิดจะทำอะไร”

ยิ่นอ๋องมองนางด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนจะเอ่ยอย่างโกรธไม่หายว่า “เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่”

เฉียวเวยอ้าปากหาวทีหนึ่ง เอ่ยเรื่อยๆ ว่า “เรื่องอะไรที่ว่าข้าทำใช่หรือไม่น่ะ”

ยิ่นอ๋องเดือดดาล “เรื่องลูก!”

เฉียวเวยปรายตามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ “หมายความว่าอย่างไร”

ยิ่นอ๋องอธิบายไม่ถูก จึงหันไปเอ่ยกับขันทีหลิวและองครักษ์สองคนที่อุ้มเด็กทั้งสามขึ้นเนินมาว่า “ยังไม่รีบพาขึ้นมาให้ข้าอีก!”

พวกเขาเลยเร่งฝีเท้า แค่ชั่วพริบตา ก็ขึ้นกันมาถึงบนเนิน

เณรน้อยนอนสบายกันอยู่ในอ้อมแขนของทั้งสาม แต่ใบหน้า “จันทร์ต้องหลบ บุปผาต้องอาย” ของพวกเขานั้น แค่มองก็รู้ว่าคือยิ่นอ๋องน้อย หากพวกเขาไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของเขา พูดไปคงไม่มีใครเชื่อ!

เฉียวเวยยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ข้าคิดว่าจิ่งอวิ๋นเหมือนท่านมากแล้วนะ แต่พอเห็นพวกเขา ข้าถึงได้รู้ว่าจิ่งอวิ๋นกับท่านไม่เหมือนกันสักนิด!”

อะไรที่เรียกว่าเหมือน เด็กพวกนี้สิที่เหมือน!

คิ้วนั้น สันจมูกนั้น ปากเล็กๆ นั้น ใบหน้ารูปไข่นั้น โขกมาจากยิ่นอ๋องชัดๆ!

เฉียวเวยเดินเข้าไป จับมือยิ่นอ๋องน้อยคนที่หนึ่งกับยิ่นอ๋องน้อยคนที่สองมา นางเอ่ยเสียงเบาด้วยความตกใจว่า “ดูมือพวกเขาสิ! สั้นๆ ป้อมๆ ! เหมือนท่านเป๊ะเลย!”

ยิ่นอ๋องมีใบหน้าที่สวรรค์ต้องขุ่นเคือง มนุษย์ต้องโอดครวญ น่าเสียดายที่มือของเขาไม่น่ามองสักเท่าไร ถึงแม้จะขาวผ่องดั่งหยก แต่นิ้วมือกลับเรียวยาวไม่พอ ยิ่งรวมกับการฝึกวิทยายุทธมานานปี ตรงข้อนิ้วมีก้อนเนื้อตายปูดขึ้นมา จึงยิ่งดูไม่น่ามองเข้าไปใหญ่

คนทั่วไปมองดูแล้วอันที่จริงก็ไม่แย่เท่าไรนัก แต่สำหรับเฉียวเวยที่เห็นมือเรียวยาวงดงามยิ่งกว่ามือของนักเปียโนของจีหมิงซิวมาจนชินตา มือของยิ่นอ๋องจึงอัปลักษณ์จนเทียบกันไม่ได้

ยิ่นอ๋องมองสตรีตรงหน้าอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แทบอยากจะกางกรงเล็บฉีกทึ้งนางให้เป็นชิ้นๆ!

เฉียวเวยหัวเราะจนหยุดไม่อยู่ นางกลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยทั้งสามตื่น จึงพยายามกดเสียงให้เบา “ยินดีกับท่านด้วยนะท่านอ๋อง ได้เป็นบิดาของบุตรชายทีเดียวสามคน จะว่าไปคนเป็นบิดาอย่างท่านจะใส่ใจให้เต็มที่สักหน่อยได้หรือไม่ อย่าให้บุตรของท่านแต่งกายเช่นนี้สิ เดี๋ยวคนจะคิดว่ามารดาของพวกเขาเป็นแม่ชี…”

คงไม่ได้เป็นแม่ชีจริงๆ กระมัง

เช่นนั้นก็ไม่แปลกที่จีหมิงซิวจะหาพวกเขาไม่พบ ใครจะคิดว่ายิ่นอ๋องจะไปหลับนอนกับแม่ชีคนหนึ่งได้ พอเสร็จกิจแล้วคนเขายังสะบัดก้นหนีไปอีก

เฉียวเวยละอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง!

ยิ่นอ๋องโกรธจนตัวสั่นไปหมด “เจ้าอย่าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะติดกับ! ข้าขอเตือนเจ้า วิธีการนี้ของเจ้าใช้กับข้าไม่ได้ผล! ต่อให้เจ้าหาเด็กที่หน้าเหมือนกับข้ามาหนึ่งร้อยคน ข้าก็ไม่มีทางยอมรับ!”

เฉียวเวยหุบยิ้ม ขมวดคิ้วด้วยท่าทางแปลกๆ “ท่านคิดว่าข้าเป็นคนหาพวกเขามา”

“หรือว่าไม่ใช่”

“จะใช่หรือ แม้แต่ท่านไปเจอพวกเขาที่ไหนข้ายังไม่รู้เลย…”

“ข้าเจอพวกเขาที่หน้าประตู!” ยิ่นอ๋องเอ่ยด้วยความไม่พอใจ

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “อ๋า มาหาถึงที่หรือ แค่พวกเขาสามคน? แม่ของพวกเขาเล่า”

ยิ่นอ๋องเอ่ยแดกดันว่า “นั่นคงต้องถามเจ้าแล้ว ว่าเหตุใดเจ้าทำอะไรถึงไม่ทำให้เต็มที่หน่อย จะทำก็ทำให้ครบ ดีร้ายอย่างไรก็ควรหามารดาเด็กสักคนมาด้วย แล้วค่อยส่งไปที่จวนอ๋องของข้าสิ!”

เฉียวเวยเบิกตาโต “ก็บอกแล้วว่าข้าไม่ใช่คนทำ! ท่านลองดูหน้าตาของเด็กเหล่านี้ ดูมือของพวกเขาสิ! พรืด!”

พอเห็นมือป้อมๆ สั้นๆ ของพวกเขา เฉียวเวยก็อดอยากหัวเราะขึ้นมาอีกไม่ได้

สีหน้าของยิ่นอ๋องดำคล้ำจนแทบจะกลายเป็นถ่าน

เฉียวเวยกระแอมเบาๆ เอ่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “แม้แต่จิ่งอวิ๋นก็ยังไม่เหมือนท่านเพียงนี้เลย ข้าจะไปหาเด็กที่เหมือนท่านเช่นนี้มาจากที่ไหน ซ้ำยังหามาทีเดียวสามคนเด้วย ท่านเห็นข้าเป็นเซียนหรือไร จิ่งอวิ๋นมีเพียงเล็กน้อยที่เหมือนท่าน ยังถูกท่านเข้าใจผิดว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เวลานี้มีท่านฉบับย่อส่วนมาแล้ว เหตุใดท่านกลับไม่ยอมรับ ท่านพูดมาตามตรงเถอะ ท่านมีใจให้ข้าไม่เสื่อมคลายใช่หรือไม่ บอกว่าเป็นพ่อเด็กเป็นเพียงข้ออ้าง คิดจะหลอกข้ากลับจวนถึงเป็นเรื่องจริง”

“เจ้า…” ยิ่นอ๋องโกรธจนอกแทบระเบิด เหตุใดถึงมีสตรีน่าไม่อายเช่นนี้อยู่ด้วย เขาจะชอบพอคนที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเขาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างนั้นหรือ สติเขายังไม่ได้ฟั่นเฟือนเสียหน่อย! คนที่เขาชอบคือกุลสตรีที่อ่อนหวานมากคุณธรรมอย่างจื้ออวี้โน่น ไม่ใช่คนที่สวยแต่รูป วันๆ เอาแต่ลงไปใช้แรงงานอยู่กับดินกับทราย ไม่รู้จักการขับลำนำแต่กลอน… อย่างภรรยาผู้โหดร้าย

เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พูดไม่ออกแล้วสิท่า ข้าพูดถูกใจดำสิท่า ท่านอ๋อง ท่านล้มเลิมความคิดนี้เถอะ นอกเสียจากว่าบุรุษทั่วทั้งใต้หล้าล้วนตายกันหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าไม่มีทางคิดที่จะใช้ชีวิตอยู่กับท่านแน่! อ้อ ไม่สิ ต่อให้ตายกันหมดโลกก็ยังไม่เอา ใครเขาอยากได้แตงกวาที่ใช้ไปทั่วกัน”

พูดอะไรเลอะเทอะของนางนี่

ยิ่นอ๋องฟังไม่เข้าใจ แต่พอเดาได้ว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน ยิ่นอ๋องตั้งสติ “เจ้าอย่าคิดจะจูงจมูกข้าเดิน ข้าเอาพวกเขากลับมาส่งให้เจ้าแล้ว ข้าขอเตือนเจ้าไว้ว่า อย่ามาเล่นลูกไม้อะไรกับข้าอีก! ข้าไม่ใช่คนที่จะหลงกลเจ้าง่ายๆ!”

เฉียวเวยอึ้งไป “ท่านบ้าไปแล้วหรือไร เด็กพวกนี้จะเป็นข้าที่ส่งไปที่จวนท่านได้อย่างไร หากข้ามีความสามารถเช่นนั้น จะถูกท่านตามตอแยมาตั้งนานเช่นนี้หรือ”

ยิ่นอ๋องขมวดคิ้ว “ข้าก็ไม่รู้ว่าใครที่มีความสามารถเช่นนี้ แต่พวกเขามาปรากฏตัวที่จวนของข้าหลังจากเจ้าบอกว่าข้าจะมีบุตรสามคนจริงๆ เจ้าลองบอกมาให้ข้าฟังที เรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญหรือ”

เฉียวเวยตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “ต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่!”

แน่นอนว่าปากนางตอบกลับอย่างรวดเร็ว ในใจนางกลับเริ่มร้องตะโกนแล้ว เรื่องที่นางปั้นแต่งขึ้นมา เหตุใดถึงเป็นความจริงไปได้

ยิ่นอ๋องไม่เชื่อนาง สองตาประหนึ่งคบเพลิง “เจ้าอย่าคิดจะลวงหลอกข้าได้เลย!”

เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เด็กพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าสักนิด!”

“เจ้าก็ต้องพูดเช่นนี้แหละ! หลิวฉวน!”

ยิ่นอ๋องจะออกคำสั่งทันที ขันทีหลิวก้าวเข้ามา ยิ่นอ๋องส่งสายตาให้เขา

“ท่านอ๋อง…” ขันทีหลิวลังเล

ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงเย็นว่า “เดี๋ยวนี้ข้าสั่งการเจ้าไม่ได้แล้วใช่หรือไม่”

“ข้าน้อยรับบัญชา” ขันทีหลิวถอนหายใจด้วยความหนักอก เขาอุ้มเด็กเข้าไปในห้องแล้วให้องครักษ์ทั้งสองตามมา

สายตาเฉียวเวยพลันสั่นไหว “ท่านคิดจะทำอะไร”

ยิ่นอ๋องตอบอย่างยากจะปกปิดความรังเกียจว่า “เด็กที่เจ้าหามา เจ้าเก็บไว้เองเถอะ ข้าไม่สนใจ!”

เฉียวเวยไม่กล้าเชื่อหูตัวเองเลยสักนิด “ท่านบ้าไปแล้วหรือ ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ข้า! ท่านดูหน้าพวกเขาสิ โขกออกมาจากพิมพ์เดียวกับท่านชัดๆ! ท่านจะไม่ยอมรับได้อย่างไร”

นัยน์ตายิ่นอ๋องมีแววประชดประชันวาบผ่าน “เดิมทีข้าก็เคยคิดกับจิ่งอวิ๋นเช่นนี้ แต่เจ้าตอบข้าว่าอย่างไร เจ้าบอกว่า ในโลกนี้มีคนหน้าตาเหมือนกันมากมาย แค่เพียงใบหน้าไม่เพียงพอที่จะยืนยันว่าเป็นบุตรของข้าได้ เวลานี้ ข้าก็จะใช้คำพูดของเจ้าตอบเจ้ากลับ”

เฉียวเวยกลับเป็นฝ่ายหายใจได้อากาศเย็นยะเยือก!

หนทางช่างหมุนวน สวรรค์ละเว้นใครด้วยหรือ!

ยิ่นอ๋องพาทุกคนกลับไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

เฉียวเจิงตื่นขึ้นมาแต่เช้า พอลึมตาขึ้น ตรงหน้าเตียงก็มีดวงตาอยู่สามคู่ ทั้งหมดกำลังมองมาที่เขากันตาแป๋ว เขาตกใจจนตัวสั่น เกือบจะกระโดดลงจากเตียง!

“พวกเจ้าเป็นใครกัน”

เด็กทั้งสามเพียงแค่มองเขา เบะปากแล้วหมุนตัวเดินออกไป

วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นไม่ต้องไปเข้าเรียนพอดี เมื่อในบ้านมีเด็กเพิ่มมาสามคน จึงยินดียิ่งนัก และไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน จับจูงพวกเขาไปเล่นสนุกกันที่เรือนหลัง

มิตรสหายระหว่างเด็กกับเด็กมักเกิดขึ้นได้ง่ายดายเป็นพิเศษ ชิงช้า ม้าไม้ บ่อทราย ดีดลูกแล้ว ไม่นานก็คุ้นเคยกลมกลืนกัน

เฉียวเจิงแต่งกายเรียบร้อยเดินเข้าไปในห้องครัว มองไปทางบุตรสาวที่กำลังหั่นผักอยู่แล้วเอ่ยด้วยความมึนงงว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ อย่าบอกข้านะว่าพวกเขาก็เป็นหลานของข้าเช่นกัน”

เฉียวเวยยักไหล่ “ข้าท้องทีเดียวห้าคน ท่านประเมินข้าสูงไปจริงๆ!”

เจ้าหัวไชเท้าทั้งสามเห็นได้ชัดว่าอายุไล่เลี่ยกับจิ่งอวิ๋นและวั่งซู ซ้ำยังหน้าตาเหมือนยิ่นอ๋องมาก จะต้องตั้งท้องในคืนนั้นแน่

พวกนางต่างมีสัมพันธ์กับบุรุษ ต่างอยู่ในช่วงไข่ตก ต่างตั้งครรภ์ ซ้ำยังให้กำเนิดกันออกมาได้ เช่นนี้ต้องเป็นเหตุบังเอิญมากเพียงใด ถึงได้ทำให้เกิดภาพเช่นในวันนี้ได้

น่ากลัวว่าถูกลอตเตอร์รี่ก็ยังไม่เป็นเช่นนี้

เฉียวเวยส่งเสียงจึ๊ๆ พลางส่ายหน้า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น เหตุใดถึงปากพระร่วงขึ้นมาได้”

เฉียวเจิงเงียบไป ผ่านไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็คว้าหัวไหล่เฉียวเวยไว้ “แม่เจ้ายังไม่ตาย รีบพูดเร็ว!”

เฉียวเวยเผยอปาก “เอ่อ… แม่ข้ายังไม่ตาย?”

“พวกเราต้องหาท่านแม่เจ้าพบ!”

“พวกเราต้องหาท่านแม่ข้าพบ?” เฉียวเวยพูดซ้ำราวกับหุ่นยนต์แต่ก็ยังเจือแววสงสัย

เฉียวเจิงยิ้มด้วยความสบายใจ ตบไหล่บุตรสาวแล้วเดินออกไป

เฉียวเวยแปลกใจไปหมด

พริกไทยในเรือนเล็กหมดแล้ว ปี้เอ๋อร์จึงมาขอยืม พอเข้ามาในครัว ก็โผเข้าไปหาเฉียวเวยราวกับไฟลาม “ฮูหยินๆ! เด็กในลานนั้นมันเรื่องอะไรกัน ลูกของใครหรือ”

เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “ของท่านยิ่นอ๋อง”