บทที่ 638 ยุคสมัยแห่งมรรคาสวรรค์ เหล่าจื่อคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 638 ยุคสมัยแห่งมรรคาสวรรค์ เหล่าจื่อคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

“นิกายเหรินยังไม่ลืมรากเหง้าของตน”

หานเจวี๋ยที่กำลังสอดส่องแดนเซียนอยู่ยิ้มพลางเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ ทุกครั้งที่ปิดด่านครบพันปี เขาจะสอดส่องแดนเซียนอยู่เสมอ

การที่หลี่เต้าคงคอยดูแลเผ่ามนุษย์ ทำให้เขารู้สึกชื่นชม

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เขาพึงพอใจอย่างแท้จริงคือความเคลื่อนไหวของเหล่าอริยชน ทั้งหมดล้วนหาทางเพิ่มพูนพลังให้มรรคาสวรรค์

เวลานี้ เหล่าอริยชนไม่สนใจแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างสำนักแล้ว ต่างเทศนาธรรมให้สรรพสิ่งโดยไม่บังคับให้เข้าร่วมสำนัก

มีพวกเขาคอยดูแลมรรคาสวรรค์ ทำให้มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้น หานเจวี๋ยก็ฝึกบำเพ็ญอย่างสบายใจได้ ไม่ต้องกังวลอีก

หานเจวี๋ยสอดส่องหานอวี้ต่อ

หานอวี้คอยดำเนินการดูแลช่วยเหลือเผ่ามนุษย์ให้หลี่เต้าคง ยามนี้มีตำแหน่งเป็นรองเพียงจักรพรรดิมวลมนุษย์แห่งเผ่ามนุษย์ แม้แต่จักรพรรดิมวลมนุษย์ก็ยังต้องเกรงใจเขา

หานอวี้ที่เดินทางไปทั่วหล้าตามลำพังในที่สุดก็ลงหลักปักฐานแล้ว แต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรในเผ่ามนุษย์

สำหรับบุตรธิดาของหานอวี้ หานเจวี๋ยไม่สนใจ ลำดับอาวุโสแตกต่างกันเกินไป เหตุผลที่เขาเฝ้ามองหานอวี้ เพียงเพราะหานอวี้หน้าตาเหมือนตนก็เท่านั้น

หากว่ากันตามจริงแล้ว ความจริงเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกต่อหานอวี้มากนัก

สิ่งที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือ หลงเฮ่าไปคลุกคลีอยู่กับหานอวี้ คาดว่าคงเป็นเพราะหานอวี้หน้าตาเหมือนหานเจวี๋ย

“เจ้าเด็กแสบคนนี้ไม่ไปดูแลควบคุมเผ่ามังกร มัวแต่ทำอะไรอยู่ที่นั่น”

หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง แต่เขาก็ไม่คิดจะไปตักเตือนหลงเฮ่า หากว่าหลงเฮ่าส่อแววว่าจะหักหลังเขา วันหน้าค่อยขับไล่ออกจากสำนักก็ได้

ถึงอย่างไรจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็ไม่ได้อาวรณ์บุตรชายคนนี้อยู่แล้ว

หานเจวี๋ยหลับตาลงอีกครั้ง เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญ

….

กาลเวลาผันผ่าน หลังจากแดนเซียนเข้าสู่สภาวะสงบสุข เวลาก็ผ่านไปรวดเร็วยิ่ง

หมื่นปีผ่านไปดั่งฝันฉากหนึ่ง

ในที่สุดการทะลวงสู่ระดับเบิกฟ้าเสรีระยะกลางของหานเจวี๋ยก็ใกล้เข้ามาแล้ว

ไม่ได้ทะลวงขั้นมาเกือบสามหมื่นปีแล้ว เขารู้สึกไม่ชินเลยจริงๆ

คุณสมบัติด้อยลงอยู่บ้าง

หานเจวี๋ยลอบทอดถอนใจกับตัวเอง

แน่นอน เขาแค่บ่นเล่นเพราะเบื่อหน่ายเท่านั้น

ด้วยระดับความเร็วในการทะลวงขั้นของเขา สามารถทำให้ผานกู่โกรธจนฟื้นคืนชีพกลับมาได้เลย

หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย แดนเซียนสงบสุขเหลือเกิน ทำให้เขาแทบจะหย่อนยานแล้ว ต้องสำรวจแวดวงสหายเพื่อสร้างความกดดัน

[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารมรรคาลึกลับ] x8920312

[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสิ่งอัปมงคลลึกลับ] x444032

[โจวฝานศิษย์ของท่านได้รับการถ่ายทอดมรรคจากอริยะเจ็ดวิถีศัตรูคู่อาฆาตของท่านผ่านความฝัน พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[สือตู๋เต้าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหลี่เต้าคงสหายของท่าน] x3

[ซูฉีศิษย์ของท่านดูดซับดวงชะตาวัฏจักร ก้าวเข้าสู่ระดับครึ่งอริยะ]

[จอมอริยะเสวียนตูสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสหายของท่านตระหนักรู้มหามรรค บุกเบิกฟ้าดิน]

….

เขาตรวจดูจดหมายครั้งล่าสุดคือเมื่อสองพันปีก่อน ระยะนี้แดนเทพหวนปัจฉิมยังคงครึกครื้นนัก

ข่าวจอมอริยะเสวียนตูเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับนั้นดึงดูดความสนใจของหานเจวี๋ย

หวังว่าจะมิใช่การสาปแช่งกันภายในมรรคาสวรรค์

เมื่อไล่อ่านลงไปอีก ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงบุกเบิกฟ้าดิน

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

หลังจากบุกเบิกฟ้าดินแล้วตำแหน่งของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงอาจจะเกิดความเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับหลี่มู่อีในอดีต เริ่มให้ความสนใจกับมรรคาสวรรค์ของตน

อย่างไรก็ตามตอนนี้ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงยังไม่หวนกลับมา จึงไม่มีผลกระทบต่อมรรคาสวรรค์ชั่วคราว

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงนับว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในมรรคาสวรรค์ ตัวตนในระดับเดียวกับเขาล้วนไม่อาจเข้าสู่มรรคาสวรรค์ได้ ทว่าปรมาจารย์ลัญจกรสรวงพำนักอยู่ในชั้นฟ้าที่สามสิบสามตลอดปี เทียบเท่ากับอริยะมรรคาสวรรค์

มองลงไปที่เส้นทางสายหนึ่ง ทุกๆ โอกาสวาสนาและการทะลวงระดับทำให้ผู้คนรู้สึกสับสน

จากกล่องจดหมายเห็นได้ว่า แดนเซียนเจริญก้าวหน้า ยุคสมัยอันแสนรุ่งโรจน์มาเยือนแล้ว

ยุคสมัยอันสงบสุขในอดีต อริยะไม่เผยตัวสู่โลก ในอดีตหากช่วงใดอริยะเผยตัวสู่โลก นั่นคือมหันตภัยใหญ่จะมาเยือน

ผู้ทรงพลังคนหนึ่งของนิกายฉ่านประกาศว่านับจากนี้คือยุคสมัยแห่งมรรคาสวรรค์ เป็นยุคสมัยที่สรรพสิ่งมุ่งเน้นพัฒนามรรคาสวรรค์ บ่งชี้ว่าเป้าหมายของสรรพสิ่งมรรคาสวรรค์หันเหจากการต่อสู้กันเองไปสู่การขยายขอบเขตมรรคาสวรรค์

ในยุคสมัยแห่งมรรคาสวรรค์ อริยะมีบทบาทมากมายยิ่ง แต่ด้วยความประสงค์ของเหล่าอริยชนรายอื่น อริยะสวรรค์เกรียงไกรเปี่ยมกุศลเป็นที่รู้จักของสรรพสิ่ง มีเทวรูปอริยะสวรรค์เกรียงไกรเปี่ยมกุศลตั้งอยู่ทั่วปวงสวรรค์หมื่นโลกา เพื่อเรียกแรงศรัทธามหาศาลให้หานเจวี๋ย แปรเปลี่ยนเป็นดวงชะตา

สำหรับเรื่องนี้ หานเจวี๋ยมิได้ดูดซับดวงชะตา แต่กักเก็บไว้ในโลกอนธการ เอาไว้ใช้ในภายหลัง

เขาไม่อยากผสานรวมกับมรรคาสวรรค์

หากวันใดวันหนึ่งมรรคาสวรรค์ต้านการโจมตีไม่อยู่จริงๆ และล่มสลายลง หานเจวี๋ยต้องเผ่นหนีอย่างแน่นอน

หลังอ่านจดหมายจบ หานเจวี๋ยก็เริ่มวิวัฒนาการดูว่าเป็นผู้ใดที่สาปแช่งจอมอริยะเสวียนตู

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนหกหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

มากขนาดนี้เชียวหรือ!

ต้องเป็นอริยะมหามรรคแน่!

ดำเนินการ!

เงาร่างหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองหานเจวี๋ย คำบรรยายปรากฏขึ้นตรงหน้า

[โพธิสัตว์จุนที: อริยะมหามรรค มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต ผู้ก่อตั้งสำนักพุทธ เกิดความเกลียดชังในตัวท่าน เนื่องจากท่านตัดบ่วงกรรมระหว่างเขาและฉิวซีไหล ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

คนผู้นี้!

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว เขากำลังคิดจะลงมือกับจุนทีอยู่พอดี

หลังจากเทพบุพกาลแสร้งดับสูญ แดนเทพหวนปัจฉิมโกลาหลวุ่นวาย ไม่มีเวลามาก่อกวนมรรคาสวรรค์ ดังนั้นหานเจวี๋ยถึงไม่ได้สาปแช่งต่อ แต่ตอนนี้โพธิสัตว์จุนทีกลับลงมือกับจอมอริยะเสวียนตู เขาจำเป็นต้องสะกดยับยั้ง

เขาสามารถอาศัยเหตุนี้ชักนำภัยไปหาผู้อื่นแทน ทำให้โพธิสัตว์จุนทีคิดว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคือเหล่าจื่อแห่งนิกายเหริน

ยิ่งคิดหานเจวี๋ยก็รู้สึกว่าเข้าท่า

เขาไม่กลัวที่จะหาเรื่องเหล่าจื่อ ถึงอย่างไรเหล่าจื่อก็เป็นศิษย์คนแรกของบรรพชนเต๋า พลังลึกล้ำเกินหยั่งวัด

หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งโพธิสัตว์จุนที

ห้าวันต่อมา อายุขัยของเขาลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว แน่นอน หากนำมาเทียบกับอายุขัยทั้งหมดของหานเจวี๋ย นับว่าลดลงช้าราวกับเต่าคลาน

….

แดนเทพหวนปัจฉิม วัดเสียงอัสนี

จุนทีมาหาเจียอิ๋น เอ่ยเสียงขรึม “เจ้าแดนต้องห้ามอันธการเริ่มสาปแช่งข้าอีกแล้ว”

เจียอิ๋นขมวดคิ้ว ให้เขานั่งสมาธิโคจรพลัง

“เขากำลังหยั่งเชิงอยู่ หรือคิดจะลงมือสังหาร” เจียอิ๋นถาม

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการมีพลังถึงขั้นที่สาปแช่งเทพบุพกาลจนตายได้ หากต้องการสาปแช่งให้ตายจริงๆ จุนทีก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว

เนื่องจากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการแข็งแกร่งเกินไป เจียอิ๋นถึงได้คิดว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการมิได้มาจากมรรคาสวรรค์ แต่อยู่ในส่วนลึกของฟ้าบุพกาล เขาเตือนไม่ให้จุนทีไปยั่วโทสะเจ้าแดนต้องห้ามอันธการอีก

“ข้าไม่รู้…” จุนทีเอ่ยด้วยสีหน้ามืดครึ้ม

เขาดูโกรธเคือง ทว่าในใจกลับว้าวุ่นยิ่ง

แม้แต่เทพบุพกาลยังต้านไม่อยู่ นับประสาอะไรกับเขา!

เจียอิ๋นถามต่อ “เหตุใดจู่ๆ เขาถึงสาปแช่งเจ้า เจ้าทำอันใดลงไปใช่หรือไม่”

ต่อหน้าเจียอิ๋น จุนทีมิเคยปิดบังซ่อนเร้น

เมื่อทราบสาเหตุ เจียอิ๋นก็ตำหนิอีกฝ่ายยกใหญ่ “เหตุใดเจ้าถึงสาปแช่งจอมอริยะเสวียนตู ไม่ต้องเอ่ยถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเลย เหล่าจื่อใช่คนที่เจ้าจะยั่วยุได้หรือ แม้เหล่าจื่อจะปิดด่านอยู่ตลอด แต่เสวียนตูเป็นศิษย์สืบทอดเพียงคนเดียวของเขา เขาต้องปกป้องแน่อยู่แล้ว”

จุนทีคับข้องใจยิ่งนัก เขากัดฟันเอ่ยไปว่า “เจ้าแดนต้องห้ามอันธการจะใช่เหล่าจื่อหรือไม่ สาเหตุที่ก่อนหน้านี้ข้าสงสัยหานเจวี๋ย เป็นเพราะหานเจวี๋ยทำลายแผนการของพวกเรา ทว่าการทรยศของจอมอริยะเสวียนตูก็ทำให้นิกายเหรินดูน่าสงสัยเช่นกัน พอไปถึงมรรคาสวรรค์จอมอริยะเสวียนตูก็ผูกมิตรกับหานเจวี๋ยทันที ข้านึกสงสัยด้วยซ้ำว่าหานเจวี๋ยจะได้รับการสนับสนุนจากนิกายเหริน! อริยะคนใหม่ของนิกายเหรินแห่งมรรคาสวรรค์ก็แปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับหานเจวี๋ย จอมอริยะเสวียนตูก็ไม่ถือสาเลยสักนิด”

เจียอิ๋นเอ่ยเบาๆ “ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ประเด็นมิได้อยู่ที่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการคือผู้ใด แต่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการสามารถสังหารพวกเราได้”

จุนทีเงียบไป

เจียอิ๋นถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยว่า “นับตั้งแต่ออกจากมรรคาสวรรค์ มรรคจิตของเจ้าก็เหิมเกริมลำพอง สูญเสียความรอบคอบระมัดระวังเช่นในอดีตไป”

จุนทีเอ่ยอย่างไม่ยินยอมอยู่บ้าง “เช่นนั้นยามนี้ควรทำอย่างไรดี เขายังคงสาปแช่งข้าอยู่เลย!”

เจียอิ๋นลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “ข้าจะไปพบเหล่าจื่อเสียหน่อย แต่ถ้าเขาต้องการแช่งเจ้าให้ตายจริงๆ ข้าก็คงช่วยเจ้าไม่ได้เช่นกัน”

………………………………………………………………