บทที่ 621 แรงกดดัน

บทที่ 621 แรงกดดัน

ชมหลานสาวเสร็จ ก็มองพวกหลานชายด้วยสายตารังเกียจ

“พวกแกนี่เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ คิดว่าฉันรักแค่เสี่ยวเถียนเรอะ? ข้าวที่ให้พวกแกกินมาได้ตั้งหลายปีเสียเปล่าหมดสินะ!”

หลานชายมองหน้ากันด้วยความสับสน ไม่รู้จะพูดอะไรดี

แต่เสี่ยวเถียนแทบกลั้นขำไว้ไม่อยู่ ถ้าบ้านอื่นก็คงบอกลูกสาวเป็นพวกเลี้ยงเสียข้าวสุก แต่กลับครอบครัวเรา ทำไมดันเป็นลูกชายไปเสียได้? อย่าว่าแต่เสี่ยวเถียนเลย หลานชายคนอื่น ๆ ก็ด้วย

ทำไมพวกเราถึงเลี้ยงเสียข้าวสุกล่ะ? พวกเราไม่ได้ทำให้บ้านเราสามารถยืนหยัดได้และมอบความรุ่งโรจน์ให้เหมือนกันหรือ?

แต่หลังจากนั้นก็มีคนเข้าใจ เพราะการมีเสี่ยวเถียน มันเลยทำให้ไอ้เรื่องความรุ่งโรจน์จึงไม่ใช่ของพวกเรา

ส่วนเรื่องยืนหยัดได้ใครทำก็เหมือนกันแหละ ไม่ต้องเยอะหรอก!

เสี่ยวเถียนมองซ้ายมองขวา ฉับพลันถึงเข้าใจ

ย่าพูดมีเหตุผล

พวกพี่ ๆ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ

เรื่องซื้อบ้านและแต่งงานอะไรนี่มีค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ ถ้าสภาพครอบครัวเราในตอนนี้ไม่ดีก็คงไม่มีปัญญาจ่ายหรอก

ส่วนคุณปู่ซูเสาหลักของบ้านแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดมาตลอด ยังไงหลานก็เยอะอยู่แล้ว ไม่ต้องสนใจหรอก! เมื่อทุกอย่างได้รับการตัดสินแล้ว เราดำเนินการในวันถัดไปเลย

คุณย่าซูกระตือรือร้น แกแจกแจงเลยถ้าหลังเลิกเรียนหรือช่วงวันหยุดมีเวลาก็ให้ไปดูบ้านด้วย

ทั้งยังให้คนช่วยไปสอบถามด้วย

ด้วยความช่วยเหลือของหญิงชรา หลานชายคนที่หก เจ็ด แปด และเก้าที่ไม่คิดจะซื้อบ้านก็ตัดสินใจซื้อเหมือนกัน

ถึงจะหาเงินได้ไม่เท่าพี่ ๆ แต่มันก็ไม่ได้น้อยเกินไป ถึงจะซื้อไวไปหน่อย แต่เราจะกลายเป็นเจ้าของบ้านกันแล้ว แค่คิดว่าจะมีบ้านเป็นของตัวเอง เด็กทั้งสี่ดีใจกันมาก

ถ้าตอนนี้ยังอยู่หงซิน สภาพชีวิตจะยังเป็นแบบนี้ที่ไหนล่ะ?

เสี่ยวเถียนตื้นตันใจที่พี่ ๆ กำลังจะเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่อายุยังน้อย

คุณย่าเป็นคนที่เก่งจริง ๆ แกไม่ปล่อยให้พวกพี่ ๆ ยอมแพ้ตั้งแต่เริ่มเลย

ไม่งั้นคงได้ใช้เวลาเป็นสิบปีถึงจะมีเงินซื้อบ้านในเมืองหลวงเป็นของตัวเองจริง ๆ

แต่เสี่ยวเถียนก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมชาติที่แล้วย่าถึงไม่ใจกล้าแบบนี้บ้าง

ถ้าแกใจกล้าหาญแบบนี้ ครอบครัวเราคงสบายกว่านี้หรือเปล่า?

แต่เสี่ยวเถียนจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่า ตอนนั้นแกเป็นแค่หญิงชราบ้านนอกคนหนึ่งจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

อาศัยในพื้นที่เล็ก ๆ อย่างกองชุมชนหงซิน ไม่เคยเห็นโลกกว้าง แล้วจะไปเอาความกล้ามาจากไหน?

แถมในยามที่สายลมแห่งการปฏิรูปพัดผ่านมายังประเทศจีน กลับเป็นดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือของเราที่พัดผ่านมาน้อยเสียอย่างนั้น

อีกหลายปีกว่าจะมีคนเริ่มทำธุรกิจ

ตอนนั้นสุขภาพแกก็แย่พอจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว เพราะงั้นเราอย่าไปพูดถึงอีกเลย

แต่ในครั้งนี้มันกลับต่างออกไปเพราะแกได้ใช้ชีวิตในเมืองหลวง ได้เห็นอะไรเยอะแยะไปหมด จึงเข้าใจได้โดยปริยาย และก่อให้เกิดความคิดแบบนี้ขึ้น

แถมชีวิตแกยังราบรื่นตั้งแต่ออกเดินทาง ทั้งยังหาเงินได้มหาศาลจึงมีความมั่นใจมากขึ้น!

คนเฒ่าคนแก่คิดถึงแต่ลูกหลาน คุณย่าซูก็เหมือนกัน

เวลาเป็นเรื่องลูกหลานแกคิดหนักเสมอ

ในฐานะที่เป็นคนแก่ แกคิดตลอดต่อให้เรามั่นคงแล้ว แต่ปัญหาแรกที่นึกถึงอยู่ตลอดเลยคือเรื่องบ้าน จึงต้องมีคนเป็นหลังคาไว้คอยคุ้มหัวเอาไว้

แต่เรื่องนี้ไม่ต้องแสวงหาก็เจออยู่ดี ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ค่อย ๆ สอบถามเถอะ

พวกเด็ก ๆ เปิดเรียนกันแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันทำหน้าที่

หลังเลิกเรียน เสี่ยวเถียนเพิ่งรู้ว่าโรงเรียนของเราเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข ตั้งแต่ประตูโรงเรียนกระทั่งถึงสนาม ทุก ๆ ที่มีป้ายสีแดงและคำขวัญเต็มไปหมด

เด็กสาวไล่อ่าน พวกเขาแสดงความยินดีกับนักเรียนที่สอบได้คะแนนดี

ในหมู่นั้น ชื่อที่กล่าวถึงมากที่สุดคือฉืออี้หย่วน เด็กหนุ่มที่มีผลการเรียนดีที่สุดในโรงเรียน

และตอนนี้เขาที่เป็นนักเรียนอันน่าภาคภูมิใจของเรา ได้ไปเรียนคณะวิศวกรรมโยธาที่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงแล้ว

ตามที่คิดมาตลอดคือ อนาคตจะสร้างบ้านและสร้างหลาย ๆ หลัง

รองลงมาพี่สองพี่น้องเสี่ยวลิ่วและเสี่ยวชี

ทั้งสามถือเป็นความภาคภูมิใจของครูในโรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดเลย

บอกเลยว่าสร้างประวัติศาสตร์ผลการสอบของโรงเรียนก็ว่าได้

เป็นปกติหากครูของเราอย่างฮวางเหวินป่ายจะพูดถึง

รวมถึงพวกนักเรียนที่มาชื่นชมเราพี่น้องที่ห้องด้วย

และทุกครั้งที่พูดถึงเสี่ยวลิ่วกับเสี่ยวชี พวกเขาจะพูดลักษณะที่อยากให้เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วเอาเป็นเยี่ยงอย่างอะไรทำนองนี้

เสี่ยวเถียนไม่สนใจ

เธอเชื่อว่าตนสามารถเหนือกว่าพวกเขาได้ในทุก ๆ ด้าน แต่ที่น่าแปลกใจมากกว่าคือพี่แปดกลับดูเครียด กระสับกระส่ายทั้งในห้องและนอกห้อง นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย

“พี่แปด ทำไมเครียดจังเลยคะ?” เธอไม่เข้าใจว่าทำไม

แต่ให้โรงเรียนยกย่องพี่ชายคนอื่น ๆ แต่เราก็สนิทกันไม่ใช่หรือไง จะกดดันได้ยังไง?

“เสี่ยวเถียน เธอบอกพี่หกพี่เจ็ดทำข้อสอบได้ดี แล้วถ้าพี่สอบได้ไม่ดี จะเป็นยังไงหรือ?”

น้ำเสียงเขาเบามาก ฟังดูก็รู้ว่าไร้ความมั่นใจ

เด็กสาวมองพี่ชายด้วยสายตาโง่เขลา ไม่คิดว่าจะเกิดปัญหานี้กับคนที่บ้าน

เหลือเวลาอีกหนึ่งปีก่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่พี่แปดกลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว ถ้าถึงเวลานั้นจะทำยังไงล่ะ?

หรือครูฮวางพูดกดดันเกินไป?

เธอสับสน อยู่ ๆ ก็คิดว่าตนควรมีความรู้ด้านจิตวิทยาเพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อยไหม จะได้ช่วยปลอบประโลมจิตใจพี่ ๆ ให้มีสภาพจิตใจที่ดีที่สุดไง?

โดยเฉพาะพี่แปด ถ้าสภาพจิตใจยังเป็นแบบนี้อยู่ อาจส่งผลต่อการสอบได้ และถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเรา ต่อให้เรียนไปก็คงไม่ได้คะแนนดี ๆ หรอก

แต่เสี่ยวเถียนเคยรู้ที่ไหนว่าสาเหตุที่พี่ชายเป็นแบบนี้ไม่ใช่แค่เสี่ยวลิ่วกับเสี่ยวชีหรอก แต่เป็นเพราะตัวเสี่ยวเถียนเองด้วย และไอ้ความสามารถรอบด้านนี่แหละ ที่ทำให้คนอื่นเขากดดันกันไปหมด

เสี่ยวปายังเด็กอยู่เลยแต่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ความอดทนทางจิตใจจึงสู้คนที่อายุ 17-18 ปีไม่ได้สักนิด

ยิ่งผลการเรียนไม่ได้ต่างไปจากเสี่ยวจิ่ว ผู้ที่เรียนไม่ได้เรื่องด้วยแล้ว นับได้ว่าไม่มีใครเหนือกว่าใครเลยมากกว่า

เขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเสี่ยวเถียน จึงกดดันกว่าเสี่ยวจิ่วกว่า

ถ้าเป็นคนแปลกหน้า เสี่ยวปาคงไม่ต้องมาห่วงหรอก แต่คนเก่ง ๆ พวกนี้มาจากครอบครัวเขาเอง มันจึงต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง!

“พี่แปด จริง ๆ ไม่ต้องห่วงก็ได้นะ เหลือเวลาอีกตั้งปีแน่ะ”

เสี่ยวเถียนพูดห้วน ๆ ทว่ากลับรู้สึกมันดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไร พูดเองยังไม่อยากจะฟังเลย กลับคนอื่นแล้วยิ่งยากกว่าเดิมอีก