บทที่ 638 ทรงไม่ตำหนิองค์รัชทายาทอีกแน่นอน

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 638 ทรงไม่ตำหนิองค์รัชทายาทอีกแน่นอน

บทที่ 638 ทรงไม่ตำหนิองค์รัชทายาทอีกแน่นอน

ครั้นองครักษ์ได้ยินเสียงขององค์จักรพรรดิ ก็ยิ่งตัวสั่นเทิ้ม

ตอนนี้เขาปรารถนาแค่อย่าให้องค์หญิงจาวเอ๋อเข้าไปรายงานความหยาบคายเมื่อครู่ของเขาเป็นพอ

ในใจของสวีกุ้ยเฟยฝังใจแต่เรื่องร้องขอแทนองค์รัชทายาท ไฉนเลยจะใส่ใจความหยาบคายที่องครักษ์ปฏิบัติต่อนาง

สถานะในวังของนางตอนนี้เป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านาง ดังนั้นนางจึงไม่ได้เก็บพวกที่ชอบมองผู้อื่นต่ำต้อยเหล่านี้อยู่ในสายตา

องค์จักรพรรดิกระชับจาวเอ๋อในอ้อมกอด แล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปในตำหนัก เขาวางจาวเอ๋อลง นางจึงทำความเคารพองค์จักรพรรดิ

“หม่อมฉันน้อมทักทายองค์จักรพรรดิเพคะ”

“จาวเอ๋อน้อมทักทายเสด็จพ่อเพคะ”

“ลุกขึ้นเถอะ ดึกดื่นเพียงนี้แล้ว พวกเจ้ามาทำไม?” องค์จักรพรรดิได้เจอจาวเอ๋อ สภาพจิตใจจึงสดชื่นขึ้นเล็กน้อย

องค์จักรพรรดิกล่าวพลางกวักมือเรียกให้ลูกสาวเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง แต่ไม่ลืมจะเอ่ยถามสวีกุ้ยเฟย

“หม่อมฉันได้ยินมาว่าองค์รัชทายาททรงกระทำความผิด ในฐานะที่เป็นแม่เลี้ยงขององค์รัชทายาทย่อมมีส่วนรับผิดชอบด้วย ดังนั้นจึงตั้งใจมาน้อมรับความผิดเพคะ”

“เจ้าทราบเรื่องแล้ว?”

“เพคะ” แม้จะอยู่กับองค์จักรพรรดิมาเนิ่นนานเพียงนี้ แต่สวีกุ้ยเฟยก็ยังเดาอารมณ์ขององค์จักรพรรดิไม่ออก บางครั้งคำพูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้องค์จักรพรรดิทรงกริ้วได้ แต่บางครั้งคำพูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้องค์จักรพรรดิทรงแย้มสรวลได้ ทุกสิ่งยิ่งชัดเจนขึ้นหลังจากมีองค์รัชทายาท ไม่ว่าจะทรงกริ้วหรือทรงมีความสุขก็ล้วนไม่แน่นอนทั้งนั้น

“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ก็ต้องลงโทษเจ้าด้วย”

“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ทำผิดเรื่องอันใดหรือ?” จาวเอ๋อที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดขององค์จักรพรรดิได้ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อขององค์จักรพรรดิ และเอ่ยอย่างระมัดระวัง

“ก็เสด็จแม่ของเจ้าไม่อบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทให้ดี ต้องได้รับโทษฐานที่อบรมสั่งสอนไม่ดี”

“แต่เสด็จแม่ดีกับจาวเอ๋อนะเพคะ จาวเอ๋อรักเสด็จแม่ เสด็จพ่อไม่ลงโทษเสด็จแม่ไม่ได้หรือเพคะ?” แม้ว่าองค์หญิงจาวเอ๋อจะยังทรงวัยเยาว์ แต่ก็เข้าใจเสด็จพ่อของตัวเองมาก

ในสายตาของจาวเอ๋อ เสด็จพ่อไม่ใช่องค์จักรพรรดิที่เฝ้ามองผืนปฐพี แต่เป็นบิดาที่มีความเมตตาคนหนึ่ง ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยเกรงกลัวเสด็จพ่อนัก

“จาวเอ๋อ เจ้ายังเด็ก ทำผิดก็ต้องได้รับการลงโทษ แต่พ่อเห็นแก่หน้าของจาวเอ๋อ งั้นจะลงโทษเสด็จแม่ของเจ้าด้วยการงดให้เงินเดือนเป็นเวลาสองเดือนดีไหม?”

“เช่นนั้นเงินเดือนของเสด็จแม่ก็ไม่มีแล้วนะสิ แล้วจะพอพาจาวเอ๋อออกไปกินขนมนอกวังไหมเพคะ?” องค์หญิงจาวเอ๋อเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสามาก

บางทีอาจเพราะในวันปกติล้วนอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างสับสนวุ่นวาย เวลานี้ครั้นได้เห็นความไร้เดียงของธิดาตัวเอง หัวใจขององค์จักรพรรดิจึงเกิดความหวั่นไหวอยู่เนือง ๆ แม้ว่าจะมีเจตนาไม่ดีต่อผู้อื่น แต่จาวเอ๋อยังเข้าข้างตนเสมอ

“งั้นพ่อจะให้เงินแก่จาวเอ๋อเพิ่มสองสามตำลึง จาวเอ๋อก็ให้เสด็จแม่พาเจ้าออกไปซื้อขนม ดีหรือไม่?”

“อื้อ เสด็จพ่อใจดีที่สุดเลย” ครั้นได้ยินคำพูดขององค์จักรพรรดิ จาวเอ๋อก็คลี่ยิ้มอย่างเบิกบาน แต่ก็ยังไม่ลืมชื่นชมองค์จักรพรรดิ

“จาวเอ๋อจะนึกถึงพ่อบ้างไหมนะ?”

“แน่นอนเพคะ แต่เสด็จพ่อไม่เสด็จมาหาจาวเอ๋อนานมากแล้ว ดังนั้นจาวเอ๋อจึงต้องไปอยู่กับเสด็จย่า จาวเอ๋อคิดว่าถ้าทำให้เสด็จย่าทรงพอพระทัย เสด็จพ่อจะได้เบิกบานใจไปด้วย”

“ฮ่า ๆๆ จาวเอ๋อช่างกตัญญูรู้คุณยิ่งนัก” ครั้นได้ยินคำพูดของนาง จิตใจขององค์จักรพรรดิก็พลันเกิดความหวั่นไหว

เขาไม่ได้เสด็จไปเยี่ยมเยือนไทเฮานานมากแล้ว คาดไม่ถึงว่าจาวเอ๋อจะมีจิตใจเช่นนี้ ดูท่าสวีกุ้ยเฟยคงจะอบรมสั่งสอนนางเป็นอย่างดี

ครั้นนึกได้ สวีกุ้ยเฟยยังคงคุกเข่าไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นแต่อย่างใด

“ไม่ใช่ว่าข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้นแล้วรึ เหตุใดเจ้ายังคุกเข่าอยู่อีก?”

“หม่อมฉันเป็นแม่เลี้ยงขององค์รัชทายาท บัดนี้องค์รัชทายาททรงกระทำความผิด หม่อมฉันสมควรได้รับโทษเช่นเดียวกับองค์รัชทายาทเพคะ” การยืนหยัดของสวีกุ้ยเฟยไม่เพียงแต่ไม่ทำให้องค์จักรพรรดิหวั่นไหวแล้ว ตรงกันข้ามกลับทำให้องค์จักรพรรดิทรงกริ้วยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย

ในใจของนางมีแค่องค์รัชทายาท ไม่มีจาวเอ๋อเลยรึ?

จาวเอ๋ออ้อนวอนแทนนาง สวีกุ้ยเฟยไม่คิดจะชื่นชมเลยสักนิด บัดนี้จึงบังเกิดความรังเกียจในใจ แม้แต่สายตาที่จับจ้องสวีกุ้ยเฟยก็ยังเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

“เสด็จพ่อ เสด็จพี่องค์รัชทายาทเป็นอะไรหรือ?” แม้ว่าจาวเอ๋อจะยังวัยเยาว์ แต่ก็ตระหนักรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศได้อย่างรวดเร็ว จึงได้ชิงพูดขึ้น

“พี่ชายของเจ้ากระทำความผิด ถูกพ่อลงโทษด้วยการกักขังให้สำนึกผิดบาปอยู่ในตำหนัก”

“แบบนั้นก็ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้อีกนะสิเพคะ?”

“ถูกต้อง”

“น่าสงสาร จาวเอ๋อชอบออกไปวิ่งเล่นทุกหนทุกแห่งเป็นที่สุด ถ้าวันหนึ่งจาวเอ๋อกระทำความผิด เสด็จพ่อห้ามลงโทษจาวเอ๋อนะเพคะ ถูกขังให้สำนึกผิดบาปอยู่ในตำหนัก จาวเอ๋อกลัว”

ขณะพูด องค์หญิงจาวเอ๋อได้แสดงท่าทีหวาดกลัวมากออกมา เหมือนจะคิด ๆ แล้วก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

“ในสายตาของจาวเอ๋อ ถูกกักขังให้สำนึกผิดบาปน่ากลัวเพียงนี้เลยรึ?”

“อื้อ เสด็จพ่อทรงไม่ทราบ ก่อนหน้านั้นจาวเอ๋อเคยกระทำความผิดมากมาย แต่ทุกครั้งเสด็จแม่จะให้เหตุผลอย่างละเอียดกับจาวเอ๋อเสมอ ต่อมาจาวเอ๋อจึงไม่เคยกระทำความผิดซ้ำอีก ดังนั้นเสด็จพ่อให้เหตุผลกับเสด็จพี่องค์รัชทายาทดีหรือไม่เพคะ แบบนี้เสด็จพี่องค์รัชทายาทคงไม่กล้ากระทำความผิดซ้ำอีกแล้ว”

“เสด็จแม่ของเจ้าสั่งสอนเจ้าเช่นนี้รึ?”

“ใช่เพคะ เสด็จแม่บอกจาวเอ๋อเสมอ พี่น้องต้องปรองดองกัน แต่ในฐานะที่จาวเอ๋อเป็นน้องสาวก็ต้องให้ความเคารพต่อผู้เป็นพี่ถึงจะถูกต้อง แม้ว่าจาวเอ๋อจะหวาดกลัวเสด็จพี่มาก แต่จาวเอ๋อก็ยังพยายามทำทุกอย่างตามความปรารถนาของเสด็จแม่เสมอ”

องค์จักรพรรดิมองจาวเอ๋อ ด้วยสายตาไม่เข้าใจ

เขาย่อมรู้ว่าความสัมพันธ์ของจาวเอ๋อและองค์รัชทายาทไม่ค่อยดีนัก แต่เพราะจาวเอ๋อเป็นธิดาของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ขอร้องให้จาวเอ๋อทำการอันใดมากนัก

องค์รัชทายาทน่าจะรู้จักจุดอ่อนของตนเองเป็นอย่างดี คงไม่มีวันทำสิ่งใดต่อจาวเอ๋อแน่นอน

แต่วันนี้จาวเอ๋อมาขอร้องให้องค์รัชทายาทด้วยตนเอง แต่เขาคาดไม่ถึง จึงหันไปมองสวีกุ้ยเฟยที่อยู่ด้านข้าง องค์จักรพรรดิต้องยอมรับว่านางอบรมสั่งสอนจาวเอ๋อได้เป็นอย่างดี

“ช่างเถอะ สวีกุ้ยเฟยเจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ” เขามองจาวเอ๋อ แล้วหันไปมองสวีกุ้ยเฟยอีกครั้ง องค์จักรพรรดิจึงให้สวีกุ้ยเฟยลุกขึ้น

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

“ในเมื่อองค์รัชทายาทเป็นลูกเลี้ยงของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทอย่างละเอียดเหมือนกับที่สั่งสอนจาวเอ๋อ อย่าให้เขากระทำการบุ่มบ่ามอีก เรื่องในครานี้ โชคดีที่ไม่ได้ร้ายแรงมากนัก มิเช่นนั้นต่อให้ข้าอยากปล่อยเขา หลินเหราและเซี่ยเชียนก็คงไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่”

“องค์จักรพรรดิทรงชี้แนะถูกต้อง หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”

“เจ้านะเจ้า ก่อนหน้านั้นข้าทำไม่ดีกับเจ้าบ้าง เป็นอันว่าข้าชดเชยให้เจ้าก็แล้วกัน ต่อไปเจ้าต้องอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทและจาวเอ๋อให้ดี องค์รัชทายาทคือว่าที่จักรพรรดิแห่งแผ่นดินในอนาคต ทุกย่างก้าวล้วนต้องตริตรองอย่างถี่ถ้วน ส่วนจาวเอ๋อในฐานะที่เป็นองค์หญิงแห่งแผ่นดินก็ต้องได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดีเช่นกัน เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

“หม่อมฉันเข้าใจเพคะ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงชี้แนะ” สวีกุ้ยเฟยเข้าใจ ที่องค์จักรพรรดิทรงตรัสเช่นนี้ นั้นหมายความว่าเขาจะไม่ลงโทษองค์รัชทายาทอีก

ครั้นเห็นบุตรสาวที่ยังนั่งซุกอยู่ในอ้อมกอดขององค์จักรพรรดิ ก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งอย่างมากในใจ แต่ครั้นเห็นจาวเอ๋อแสดงท่าทีล้อเลียนอยู่ในอ้อมกอดขององค์จักรพรรดิ ท่าทางพิสดารนั้นไม่รู้ไปเลียนแบบใครมา