บทที่ 647 หลายหยา

บทที่ 647 หลายหยา

อี้ฝานรู้สึกกระดากอาย แต่ก็ไม่วายเอ่ยบางสิ่งเพื่อแก้ไขให้นางเข้าใจเสียใหม่

“ไม่ใช่ว่าข้าประมาท เพียงแต่แรงระเบิดของเทพอสูรที่ข้าพบในทะเลสาบลาวาใต้พิภพนั้นทรงพลังเกินไป ข้าเองก็อับจนหนทางที่จะหลบหลีกมัน”

“เทพอสูร…”

หลังจากได้ฟังความจริงจากปากอี้ฝาน หญิงสาวผู้เฝ้าสุสานก็ช่วยสลายพลังแห่งจิตวิญญาณในร่างกายอี้ฝานเสร็จพอดี ทว่าจู่ ๆ นางก็หันหน้าไปที่ใดที่หนึ่งพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นประสานกันและเริ่มภาวนาอย่างเงียบ ๆ

“เทพอสูรเองก็น่าสงสารอยู่ไม่น้อยเลย”

นั่นคือสิ่งที่นางเอ่ยออกมา

“ข้าก็คิดเช่นนั้น”

อี้ฝานเอ่ยประชด

เขาลุกขึ้นบัดฝุ่นบนกางเกง ก่อนจะมองไปรอบ ๆ

“กระบี่ข้าอยู่ที่ใด ข้าไม่มีอาวุธติดตัวเลย และยามนี้ข้าจำเป็นต้องใช้มันอย่างมาก”

“อยู่กับผู้มาเยือนคนใหม่”

หญิงสาวผู้เฝ้าสุสานชี้ไปทางหอคอยหน้าตาประหลาดถัดจากลานจัตุรัส

“คนผู้นั้นเก็บหินเหล็กไฟที่ท่านทิ้งไว้ไปด้วย เขาบอกกับข้าว่าจะช่วยนำไปเพิ่มระดับเสริมความแข็งแกร่งให้อาวุธชิ้นนั้น และหินเหล็กไฟนั่นก็เป็นชิ้นส่วนสำคัญในการเพิ่มระดับอาวุธ”

อี้ฝานเดินไปยังหอคอยที่หญิงสาวบอก พลันได้ยินเสียงเคาะเหล็กมาจากใต้ผืนดิน เขาเดินลงบันไดไปยังห้องใต้ดินก็พบกับคนแคระหั่วฉีที่เป็นผู้จุดเตาเผาโลหะและกำลังทุบบางอย่างบนทั่ง

“โอ้ เจ้ามาแล้ว”

ทันทีที่เห็นอี้ฝานเดินลงบันไดมา คนแคระช่างตีเหล็กก็หันมาทักทายเขาพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้านี่มันแข็งแกร่งเสียจริง ลงไปเยือนเมืองใต้พิภพของเมืองต้องห้ามเพียงไม่นาน เมืองทั้งเมืองก็พลันทลายลง เจ้าลงไปทำสิ่งใดที่นั่นกันแน่?”

“ไปแลกเปลี่ยนความรู้กับเทพอสูร”

อี้ฝานพูดจบก็ยิ้มเจื่อน

“…อืม เจ้าพอใจก็ดีแล้ว”

คนแคระหั่วฉีเอ่ยตอบอย่างเฉยชา

“จริงสิ… ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริง ๆ ที่แนะนำสถานที่ดี ๆ เช่นนี้ให้ข้า อยู่ที่นี่จิตใจข้าไม่ฟุ้งซานมีสมาธิตีเหล็กโดยที่ไม่ต้องคอยหวาดระแวงพวกเสียสติอย่างคนคลั่งกับอสูรที่อยู่ข้างนอก”

ผ่านไปครู่หนึ่ง คนแคระหั่วฉีก็หันไปยิ้มให้อี้ฝานพร้อมเอ่ยบางสิ่ง

“เช่นนั้นเพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจึงทำสิ่งนี้ให้เจ้า ดูสิ”

เขาลากห่อผ้าสีขาวที่ดูเหมือนมีบางสิ่งเรียวยาวอยู่ข้างในออกมาจากทางด้านหลัง ทันทีที่ดึงของสิ่งนั้นออกมา ใบมีดสีดำเงาวับสลักด้วยอักขระสีแดงพลันปรากฏแก่สายตา

“นี่มัน…”

อี้ฝานจับด้ามกระบี่เพื่อยกกระบี่ใหญ่สีดำขึ้นมา หลังจากได้รับพลังของเทพอสูรในทะเลสาบลาวา ตอนนี้ความแข็งแกร่งทางกายของเขาเรียกได้ว่าเพียงพอที่จะยกอาวุธที่เดิมทีเป็นของหุ่นกลเหล็กสีดำเหวี่ยงไปมาได้สบาย ๆ

“ข้าสลักอักขระเข้าไปเพื่อเพิ่มพลังและความทนทาน เจ้าสามารถเสริมพลังที่เจ้ามีเข้าไปในกระบี่ได้เต็มที่ และไม่ต้องกังวลใด ๆ เพราะมันรองรับพลังทุกรูปแบบที่มีบนโลกใบนี้”

พูดจบคนแคระหั่วฉีก็เอ่ยถาม

“กระบี่นี่สุดยอดไปเลยใช่หรือไม่”

“มันเป็นอาวุธที่ทรงพลังมาก”

อี้ฝานลองเหวี่ยงมันอีกสองครั้ง ประกายไฟปลิวว่อนไปตามวิถีของคมกระบี่

“ขอบคุณเจ้ามาก หั่วฉี”

“สู้มือเปล่า เจ้ามีแต่จะแพ้พ่าย อยากได้เงินก็ต้องทำงาน อยากออกจากที่นี่ก็ต้องมีอาวุธ ข้าได้ยินแม่นางน้อยตาบอดผู้นั้นพูดว่ายามนี้เจ้าอยู่ท่ามกลางอสูรในดินแดนยมโลก ทว่าไร้ซึ่งอาวุธป้องกันตัว หากไม่มีอาวุธดี ๆ สักชิ้น เจ้าจะหลุดพ้นจากดินแดนเช่นนั้นได้อย่างไร และเจ้าก็คงไม่อยากติดอยู่ที่นั่นตลอดไปใช่หรือไม่?”

อี้ฝานพยักหน้าเห็นด้วย …จากนั้นเขาก็โดนหั่วฉีไล่ออกมา

หากโลกนี้ยังไม่สูญสิ้น ทั้งคนแคระและค้อน ทั่ง และเตาเผาเหล็กของเขายังต้องทำหน้าที่ต่อไป และเขาไม่ต้องการให้อี้ฝานยืนเป็นก้างขวางคออยู่ตรงนั้น

เมื่ออี้ฝานกลับมาที่จัตุรัส หญิงสาวผู้เฝ้าสุสานก็หันหน้ากลับมาทางที่เขาอยู่

ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ผู้เฝ้าสุสานสาวก็พูดเบา ๆ

“ท่านนักรบ ระหว่างที่เดินทางในแดนยมโลกท่านต้องระวังตัวให้มากนะ อสูรเป็นศัตรูที่อันตรายที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา เดิมทีดินแดนแห่งความมืดใต้พื้นพิภพเคยมีเจ้าแห่งยมโลกเป็นผู้ดูแลและปราบปรามอสูรพวกนั้น ทว่าข้าได้ยินหั่วฉีพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันในแดนยมโลก ยามนี้เกรงว่าแม้แต่เจ้าแห่งยมโลกเองก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน”

อี้ฝานเอ่ยปลอบนางสองสามคำ ก่อนจะถอดแหวนในมือออก

ทุกสิ่งอย่างที่อยู่ตรงหน้าพลันเลือนหายไปราวกับสายหมอกลวงตา จากนั้นเขาก็กลับไปยังยมโลกอันมืดมิดที่ยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า

เสียงอสูรดังขึ้นรอบ ๆ ตัว ทันใดนั้นอสูรระดับต่ำหลายตัวก็พุ่งเข้าหาอี้ฝานภายใต้ความมืด อี้ฝานกะชับกระบี่ใหญ่สีดำในมือแน่นพร้อมเหวี่ยงมันไปมา ประกายไฟจากคมกระบี่ลุกโชนกวาดล้างเหล่าอสูรในทันที

จากนั้นเขาก็เดินทางเข้าไปในความมืดลึกขึ้นเรื่อย ๆ

อี้ฝานมาถึงประตูยมโลกด้วยแสงจากพลังลาวาในร่างกาย

หน้าประตูใหญ่มีอสูรอ้วนพุงพลุ้ยตัวสูงใหญ่ถือมีดกระบี่เปื้อนเลือดอยู่ในมือยืนขวางทางเขาไว้

ข้างในพุงอันใหญ่โตของมันมีแสงริบหรี่ส่องออกมาราวกับบั้นท้ายหิ่งห้อย …คาดว่าก่อนหน้านี้มันคงกลืนกินวิญญาณสิ่งมีชีวิตไปมากโข

แต่ถึงอย่างนั้นอี้ฝานก็ไม่คิดหวาดหวั่นแต่อย่างใด หากเทียบกับนักรบแห่งขุนเขาและเทพอสูรแล้ว อสูรตัวสูงนี้อ่อนแอกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่อี้ฝานกวัดแกว่งกระบี่ดำ พลังพิโรธของเทพอสูรในตัวเขาก็หลอมรวมเข้ากับกระบี่ดำ คมกระบี่พลันพุ่งตรงไปหาอสูรตัวนั้นทันใด!!

การต่อสู้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว อี้ฝานผ่าอสูรตั้งแต่หัวลงมาถึงท้องอ้วน ๆ ของมัน

ท่ามกลางเสียงโหยหวน อสูรล้มลงพื้นดินสั่นสะเทือนสามครั้ง ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วท้องฟ้า

แสงแห่งจิตวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากท้องของมันไปทุกทิศทุกทาง จิตวิญญาณที่ทรงพลังบางส่วนก็ลอยแทรกซึมเข้าไปในร่างกายอี้ฝาน

ทว่ามีหนึ่งในบรรดาจิตวิญญาณเหล่านี้ที่แตกต่างจากจิตวิญญาณอื่น ๆ

“โอ๊ย!”

คนผู้นั้นสวมผ้าคลุมผมและชุดเกราะสีขาว รูปร่างท่าทางดูเหมือนจะเป็นสตรี นางกลิ้งไปบนพื้นสองตลบเผยให้เห็นดวงหน้าพริ้งพราวประดุจแสงดาว

นางเป็นนักบุญข้ารับใช้ทวยเทพ เช่นเดียวกับหลายเส้อที่เขาพบก่อนหน้านี้ และที่สำคัญคือเป็นสตรีอย่างที่เขาคาดไว้

อี้ฝานเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านางพร้อมยื่นมือไปหานักบุญ

“สวัสดี ยินดีที่ได้พบ”

เขาเอ่ยทักทายนาง

“เอ่อ… สวัสดี”

นักบุญเอ่ยตอบ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมืออี้ฝานพร้อมลุกขึ้นจากพื้นด้วยความเขินอาย

“ท่านช่วยข้าไว้ แถมยังฆ่าอสูรตัวนี้ได้ เช่นนั้นท่านต้องเป็นนักรบหรือไม่ก็ยอดวีรบุรุษเป็นแน่ ไม่ทราบว่าข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไร?”

“ข้ามาจากสุสาน นามของข้าคืออี้ฝาน”

อี้ฝานเอ่ยตอบ

ทันทีที่ได้ยินว่าคนผู้นี้มาจากสุสาน นักบุญก็สำรวจเสื้อผ้าอาภรณ์ที่อี้ฝานส่วมใส่ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ที่แท้ท่านก็คือนักรบอี้ฝาน ขออภัย ข้าล่วงเกินท่านแล้ว”

“เจ้าเป็นข้ารับใช้ของทวยเทพใช่หรือไม่?”

อี้ฝานมองหน้านางพร้อมเอ่ยถาม

“ก่อนหน้านี้ข้าได้พบกับข้ารับใช้ทวยเทพผู้หนึ่งที่วิหารแห่งหนึ่งในเมืองหลวงหมิงกวง เขามีนามว่าหลายเส้อจากเทวาลัยของเจ้าแห่งรุ่งอรุณ เขายังบอกด้วยว่าน้องสาวของเขาก็หนีออกมาเช่นกัน”

“หลายเส้อคือพี่ชายของข้า”

นักบุญหญิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นทาบอกพร้อมโค้งคำนับให้อี้ฝาน

“ข้ามีนามว่าหลายหยา ข้าเป็นหนึ่งในดวงดาวนับแสนที่คอยรับใช้เจ้าแห่งรุ่งอรุณ ข้าขอฝากตัวด้วย”

“อืม ข้าก็เช่นกัน”

อี้ฝานที่กำลังมองหลายหยาก็เกิดความสงสัย จึงเอ่ยถามขึ้นทันใด

“ข้าขอถามเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่ เหตุใดข้ารับใช้ของเจ้าแห่งรุ่งอรุณถึงได้เดินทางมายังแดนยมโลก แถมยังติดอยู่ในท้องของอสูรตนนั้นอีก”

“เรื่องนี้… อันที่จริงหลังจากฟ้าถล่มไม่ได้มีเพียงข้ากับพี่ชายที่หนีออกมาจากเทวาลัย ยังมีหญิงผู้สูงศักดิ์ผู้หนึ่งหนีออกมาจากที่นั่นเช่นกัน และข้าก็ติดตามนางมา”

ต่อมาหลายหยายังกระซิบบอกอย่างเก้อเขินอีกกว่า

“ด้วยเหตุนี้ เมื่อข้ามาถึงที่นี่ก็พบกับอสูรตัวใหญ่ ทว่ากำลังของข้าอ่อนแอนักจึงถูกมันดูดกลืนเข้าไป ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยสังหารมัน ข้าจึงหลุดออกมาได้”