ตอนที่ 168-1 สู่ขอ

เฉียวเวยได้เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ในฉากที่มีพละกำลังมากที่สุดฉากหนึ่ง บุรุษคนหนึ่งที่มีวรยุทธ์แก่กล้า รูปร่างแข็งแกร่งกำยำ แขนขามีกล้ามเป็นมัดๆ และมีมันสมองที่ก็นับว่าไม่ธรรมดาคนหนึ่ง ถูกโถมเข้าหาจนล้มลงกับพื้นทั้งอย่างนั้น พละกำลังมหาศาลที่พุ่งเข้ามานั้น แทบจะกระแทกจนทำให้พื้นหินบุ๋มลงไปเป็นรูใหญ่

ผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน ทำให้ป้ายหน้าจวนอ๋องที่จะหล่นมิหล่นแหล่ หล่นลงมากระแทกตรงข้างเท้าขันทีหลิวในที่สุด ขันทีหลิวตกใจจนกระโดดไกลออกไปสามฉื่อ!

เฉียวเวยอยู่ห่างไปสิบเมตรยังสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากใต้เท้า แม้แต่นางยังรู้สึกเจ็บแทนยิ่นอ๋อง

ยิ่นอ๋องก็ไม่รู้ว่าถูกทับจนมึนงงหรือสลบไปแล้วกันแน่ จึงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ สักนิด

ที่แท้เจ้าก็เป็นหญิงงามเช่นนี้ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ที่แท้เจ้าก็เป็นยิ่นอ๋องเช่นนี้ หล่อเหลาน่าหลงใหล

เฉียวเวยหัวเราะพรืดออกมา กลับขึ้นรถม้าด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส

สิ่งที่เกิดขึ้นในจวนอ๋อง สารถีกวนพอได้ยินอยู่บ้าง แต่เพราะถูกรถม้าบังไว้ เขาจึงไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกเพียงว่าพื้นสั่นสะเทือนอย่างหนัก ม้าเองก็ตกใจไปด้วย ซ้ำยังมีคนโก่งคอตะโกนบางอย่างขึ้นมาอีก เสียงนั้นดังก้องเกินไปจนเขาต้องเอามือปิดหู จึงได้ยินไม่ชัดว่าคนผู้นั้นตะโกนว่าอะไรกันแน่ แต่เขาเดาว่าจะต้องเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพคนใดมาแน่ๆ คนเขายังเป็นท่านอ๋องเสียอีก การจะมียอดฝีมือมาเยือนจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เขาไม่ได้พูดอะไรมาก พอเห็นเฉียวเวยเดินหัวเราะหึหึกลับมา จึงถามด้วยความใส่ใจว่า “เสี่ยวเฉียว เหตุใดถึงอารมณ์ดีเพียงนี้”

ยิ่นอ๋องตามหาคนดีในชีวิตพบแล้ว นางจะไม่ดีใจได้หรือ

ปลายคิ้วและหางตาของเฉียวเวยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซ่อนอย่างไรก็ไม่มิด “มีญาติห่างๆ คนหนึ่ง ภรรยาและบุตรที่พลัดพรากกันไปหลายปี ในที่สุดก็ได้อยู่พร้อมหน้ากันแล้ว ข้าเลยดีใจแทนเขา”

“เป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ”

“ใช่แค่นั่นที่ไหน ภรรยาเขายังเป็นยอดหญิงงามแห่งชนเผ่าอีกด้วย ซ้ำยังคลอดคุณชายน้อยที่น่าเอ็นดูประหนึ่งหยกให้เขาถึงสามคนทีเดียว”

ตอนเด็กทั้งสามเข้าไปจวนอ๋อง ยังเป็นเณรน้องสามคนอยู่เลย สารถีกวนจึงคิดไปไม่ถึงพวกเขา เพียงเอ่ยว่า “ตระกูลเจ้ามีเคล็ดลับอะไรกันแน่ เหตุใดถึงคลอดแฝดสามได้ง่ายเช่นนี้”

เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ “หากสารถีกวนอยากรู้เคล็ดลับ ไว้วันหน้าข้าจะช่วยถามให้?”

สีหน้าสารถีกวนดูรับไม่ไหว “ไม่ล่ะๆ ข้าอายุปูนนี้แล้ว คงไม่พยายามแล้วล่ะ ลูกชายข้าก็ยังเล็ก”

สารถีกวนมีลูกในวัยกลางคน เวลานี้บุตรชายยังอายุไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ

หัวข้อสนทนาจึงหยุดที่เท่านี้

สารถีกวนค่อยๆ เคลื่อนรถม้าออกไป “จะไม่ไปถนนชิ่งเฟิงจริงๆ หรือ”

นางก็คิดอยากไปอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อครู่คอยชมความสนุกอยู่นานเกินไป นี่ก็เริ่มเย็นแล้ว หากไปที่ถนนชิ่งเฟิงอีก คงออกจากเมืองไม่ทัน

เฉียวเวยถอนหายใจ “ไม่ไปแล้ว ที่บ้านยังมีเด็กๆ รออยู่”

สารถีกวนเอ่ยยิ้มๆ “มีลูกเล็กก็หาเวลาไม่ได้เช่นนี้เอง!”

รถม้าเคลื่อนออกจากจวนอ๋อง

จากจวนอ๋องไปถึงประตูเมืองทางใต้ต้องผ่านถนนที่คึกคักรุ่งเรืองหลายเส้น เฉียวเวยให้สารถีกวนหยุดรถม้า ส่วนตนลงจากรถไปเดินหาอยู่รอบหนึ่ง นางตั้งใจจะหาเกาลัดคั่วน้ำตาลไปให้วั่งซูจอมเขมือบสักหน่อย แต่ก็จนใจที่หาไม่เจอเลย

สารถีกวนจึงบอกว่า “เวลานี้จะไม่มีเกาลัดให้กินหรอก ต้องรออีกสักเดือน ทางใต้ยังเพิ่งจะออกผลเอง”

เฉียวเวยก็เดาได้ว่าเกาลัดพวกนั้นหมิงซิวน่าจะให้ขนมาจากทางใต้ แค่เพียงอยากลองดู เผื่อดวงจะดี เพราะถึงอย่างไรเมื่อคืนนางก็รับปากวั่งซูไว้แล้วว่าวันนี้จะให้เกาลัดนาง แต่ตอนนี้ดูท่าคนเป็นแม่อย่างนางต้องเสียคำพูดเสียแล้ว

“เฮ่อ”

เฉียวเวยถอนหายใจเบาๆ “กลับกันเถอะ สารถีกวน”

สารถีกวนไปส่งเฉียวเวยถึงปากหมู่บ้าน ค่ารถเฉียวเวยจ่ายให้ร้านเช่ารถไปแล้ว แล้วยังให้เงินพิเศษกับสารถีกวนไปอีกเล็กน้อย สารถีกวนอายุมากแล้ว ออกมาแล่นรถก็ลำบากไม่น้อย หนำซ้ำแต่ละครั้งนางยังเดินทางไกลอีกด้วย

สารถีกวนขอบคุณเฉียวเวย ออกจากหมู่บ้านไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เสี่ยวเฉียว กลับมาแล้วหรือ” ตาเฒ่าซวนจื่อทักทายเฉียวเวย “ท่านอ๋องคนนั้นมาสู่ขอที่บ้านอีกแล้วหรือ ข้าเห็นรถม้าเขากลับมาอีกแล้ว”

ในหมู่บ้านนี้ปิดเรื่องอะไรไม่ได้เลยจริงๆ เสียด้วย แค่มีเรื่องอะไรนิดหน่อยก็รู้กันทั่วไปหมด

เฉียวเวยยิ้มๆ “ไม่ใช่ เขามาให้พ่อข้าช่วยตรวจโรคให้ต่างหาก”

เฉียวเจิงมีวิชาการแพทย์ล้ำเลิศ คนในหมู่บ้านต่างรู้ดี โรคฝีดาษของเอ้อร์โก่วจื่อก็ได้เฉียวเจิงเป็นคนรักษาให้

ตาเฒ่าซวนจื่อไม่ได้สงสัยเป็นอื่น เขาถามไถ่เฉียวเวยอีกสองสามประโยคก็กลับเข้าบ้านไป

เฉียวเวยเดินขึ้นเนิน ยังไม่ทันเดินเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของบุตรทั้งสอง เมื่อเห็นแสงไฟที่เหลืองอ่อนจากในห้อง ในใจก็ค่อยๆ มีความอบอุ่นเอ่อล้นขึ้นมา

ลูกเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้ ตาทึ่มอย่างยิ่นอ๋องนั่น มีบุตรน่ารักๆ ตั้งสามคนกลับไม่รู้จะจักทะนุถนอม ซ้ำยังเอาพวกเขามาทิ้งไว้ที่นี่อีก ที่นางส่งกลับไปให้ก็เพราะใจดีหรอกนะ หากใจร้ายสักหน่อยคงเอาไปขายให้คนอื่นแล้ว จะให้เสียใจไปทั้งชีวิตเลย!

แน่นอนว่า เฉียวเวยยังไม่รู้ว่าเด็กสามคนนั่นไม่ใช่บุตรชายที่น่ารักน่าเอ็นดู แต่เป็นบุตรสาวสามคนที่ออกจะเย็นชา แต่ต่อให้รู้ สำหรับนางแล้ว บุตรสาวกับบุตรชายก็ไม่มีอะไรต่างกัน

เฉียวเวยเข้าไปในห้อง ซาลาเปาต้องทั้งสองกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นที่ปูด้วยหนังเสือผืนหนึ่ง คนที่นั่งอยู่บนหนังเสือด้วยกันยังมีเสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ พวกเขาทั้งสี่กำลังกอดเกากัดคั่วน้ำตาล เลียๆ กินๆ กันอยู่

หนังเสือนี้เฉียวเวยได้มาจากภูเขาที่อยู่ด้านหลังศาลบรรพชนของตระกูลเฉียว เสื้อตัวนั้นแก่มากแล้ว ดังนั้นหนังเสือจึงใหญ่มาก แทบจะปูทั้งเตียงได้เลยทีเดียว

แต่กระนั้นสิ่งที่เฉียวเวยสนใจไม่ใช่หนังเสือที่ไม่รู้ถูกเอามาปูอยู่ในห้องโถงตั้งแต่เมื่อไร แต่เป็นเกาลัดคั่วน้ำตาลในมือของทั้งสี่มากกว่า

เกาลัดคั่วน้ำตาลที่หมิงซิวให้มากินหมดไปแล้ว ที่ยังกินไม่หมดก็ถูกวั่งซูเอามาเลียแล้วเก็บใส่กระเป๋าที่เอวของตนจนหมด เกาลัดคั่วน้ำตาลที่มาใหม่และกำลังร้อนๆ เหล่านี้มาจากที่ไหนกัน

“ท่านแม่!” จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเอ่ยทักทายเสียงหวาน

เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์หันมาเหลือบมองเฉียวเวยทีหนึ่ง แล้วหันไปกินเกาลัดกันต่อ

เฉียวเวยถามว่า “เกาลัดพวกนี้มาจากไหนกัน”

วั่งซูยิ้มตาหยีตอบว่า “ท่านลุงหมิงซื้อมาให้น่ะสิ!”

เฉียวเวยเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “ท่านลุงหมิงของพวกเจ้ามาที่นี่หรือ”

วั่งซูพยักหน้าหงึกหงักราวกับซอยกระเทียม “ใช่แล้วๆ! กำลังเล่นหมากรุกอยู่ในห้องท่านตา!”

เฉียวเวยไปที่ห้องเฉียวเจิง ก็เห็นทั้งสองกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ดวลหมากรุกกันอยู่อย่างเมามัน

นอกหน้าต่างคือพระจันทร์เต็มดวง กลิ่นหอมจากดอกเฉียงเวยผสมกับกลิ่นต้นหญ้าและกลิ่นดิน ลอยอ่อนๆ ตามลมเข้ามา ท้องฟ้ายามราตรีเงียบสงบ

ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน ต่างมีใบหน้าที่หล่อเหลาด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นต้นสนดกหนาตากน้ำค้าง อีกคนหนึ่งคือต้นไผ่ใต้เงาจันทร์ที่โดดเด่นเหนือผู้ใด ไม่มีใครพูดอะไร แค่เพียงนั่งอยู่อย่างนั้น ภาพเช่นนั้นยิ่งงดงามราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของศิลปินเอก

เฉียวเวยมองจนใจแทบจะละลาย บิดาของนางหล่อเหลาเพียงนี้ คู่รักของนางก็หล่อเหลาเช่นกัน ชาติที่แล้วนางไม่เจอหนุ่มหล่อ ชาตินี้พวกเขาเป็นของนางทั้งหมด!

“กลับมาแล้วหรือ” จีหมิงซิวหันไปมองนางเล็กน้อย สายตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น ประหนึ่งสระน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่มีกลีบดอกเถาโปรยรายไกลไปเป็นสิบลี้

ใจดวงน้อยๆ ของเฉียวเวยเต้นตึกตักๆ ไปหมด เวลาอยู่ต่อหน้าบิดาของนาง อย่าโปรยเสน่ห์ใส่นางจะได้หรือไม่ เดี๋ยวนางก็เผยพิรุธออกมาหมดหรอก!

เฉียวเวยพยายามตั้งสติ จับหน้าอกที่ใจเต้นตึกตักเอาไว้ นางเดินเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกตัวว่านี่เป็นท่าทางเอกลักษณ์ของลิงน้อยตัวหนึ่ง เลยขนหัวลุก รีบเอามือลง “ท่านพ่อ คุณชายหมิง พวกท่านกำลังเดินหมากกันอยู่หรือ”

“กลับมาแล้วหรือ” เฉียวเจิงตบเก้าอี้ข้างตัว เป็นการบอกให้บุตรสาวนั่งลง “ตาข้าแล้ว?”

“ใช่ขอรับ” จีหมิงซิวตอบด้วยสีหน้าจริงจังยิ่ง จากนั้นก็หันไปกะพริบตาปริบๆ ให้เฉียวเวยที่เพิ่งนั่งลง

มุมปากเฉียวเวยพลันยกขึ้น แล้วหันไปรินชาให้ทั้งสอง

เฉียวเจิงหยิบหมากสีขาวขึ้นมา ไม่รู้ว่าควรจะวางตรงไหนดี เขาจ้องเขม็งไปที่กระดาน ท่าทางคิดหนักยิ่งนัก

จีหมิงซิวอาศัยช่วงที่เขามีสมาธิ ขยับไปจับมือเฉียวเวยที่อยู่ใต้โต๊ะ

รูม่านตาของเฉียวเวยพลันหดตัว!

ท่านพ่อนางนั่งอยู่นี่นะ! อีตานี่ใจกล้าเกินไปหน่อยแล้ว!?

สีหน้าจีหมิงซิวดูไม่ออกสักนิดว่ามีอะไรเปลี่ยนไป มือซ้ายจับมือนางไว้ วางอยู่บนตักที่อ่อนนุ่มของนาง หัวแม่มือถูไถหลังมือนางเบาๆ ทั้งอบอุ่นและหวานซึ้ง

ริมฝีปากของเฉียวเวยยกขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่

“วางตรงไหนดีนะ” เฉียวเจิงพึมพำ

เฉียวเวยร้อนตัว พอได้ยินเสียงเฉียวเจิง ก็จะรีบดึงมือกลับทันที

จีหมิงซิวจับมือนางไว้แน่น ไม่เปิดโอกาสให้นางหลบหนีเลยสักนิด สีหน้าสงบนิ่งราวกับผิวน้ำที่ไร้ซึ่งระลอกคลื่น เขาเอ่ยว่า “นายท่านเฉียว หากตานี้เดินผิด ข้าจะชนะแล้วนะขอรับ”

เฉียวเจิงนับว่าเดินหมากได้เก่งพอตัว น้อยนักที่จะได้พบกับคู่ต่อสู้ แต่วันนี้กลับถูกรุกไล่จนต้องคิดหนักยิ่งนัก เขาเค้นสมองใช้ความคิด แล้วจู่ๆ ดวงตาก็พลันสว่างวาบ แล้ววางหมากสีขาวลง!

จีหมิงซิวเอ่ยว่า “วิเศษ วิเศษจริงๆ”

หมากตานี้ เฉียวเจิงชนะแล้ว

เฉียวเจิงเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “นานแล้วที่ไม่ได้วางหมากสนุกๆ เช่นนี้ พ่อหนุ่มนี่ฝีมือวางหมากไม่เลว!”

จีหมิงซิวยิ้มเล็กน้อย “นายท่านเฉียวออมมือให้แล้ว”

“ฮ่าๆ!” เฉียวเจิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

เฉียวเวยไม่เคยเห็นบิดาของตนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเช่นนี้มาก่อน ตอนบิดานางออกจากบ้านไป หมิงซิวยังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม ยังไม่เป็นขุนนาง ทั้งสองตระกูลแค่เพียงได้ชื่อว่ามีการหมั้นหมายระหว่างกัน แต่อันที่จริงไม่ได้ไปมาหาสู่กันเท่าไรนัก พูดให้ชัดก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่หมิงซิวได้มีปฏิสัมพันธ์กับบิดาของนาง แต่เขาก็ทำให้บิดาของนางอารมณ์ดีได้เพียงนี้แล้ว

เฉียวเจิงถามถึงเด็กน้อยทั้งสาม พอได้รู้ว่าพวกเขาถูกส่งกลับจวนอ๋องกันไปหมดแล้ว หนำซ้ำมารดาแท้ๆ ก็ตามหาจวนอ๋องจนพบแล้ว จึงวางใจลงได้สักที

ถึงแม้จะไม่ถูกใจยิ่นอ๋องนัก แต่เด็กน้อยก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เขาไม่คาดหวังจะให้เด็กๆ ต้องตกระกำลำบาก

เฉียวเวยไปต้มน้ำที่ห้องคัว

จีหมิงซิวไปทำธุระส่วนตัว พอเดินไปได้ครึ่งทาง ก็เปลี่ยนจุดหมาย เดินเข้าห้องครัวไป

เวลาเฉียวเวยรอให้น้ำเดิน นางมักจะทำความสะอาดเตา แต่แล้วจู่ๆ เอวนางก็ถูกคนกอดรัดจากทางด้านหลัง

มือที่ถือผ้าขี้ริ้วของเฉียวเวยพลันชะงัก “ไม่กลัวพ่อข้ามาเห็นเข้าหรือ”

จีหมิงซิวจึงตอบว่า “พ่อเจ้าดูจะชอบข้ามากนะ เห็นก็เห็นไปสิ”

จะได้จัดการเรื่องแต่งงานไปเสียเลย

เฉียวเวยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “พ่อข้ารู้เพียงว่าเป็นคนหนุ่มที่ไม่เลวคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นพ่อของลูกๆ ที่เดิมทีในวัดร้าง…”

จีหมิงซิววางคางลงบนหัวไหล่นาง เอ่ยอย่างงอแงว่า “ฟ้าดินมีเมตตา ทั้งๆ ที่เจ้า… รู้ว่าข้าเป็นใคร แต่ก็ยังไม่ไปหาข้า”

นี่ไปกันใหญ่แล้ว

เฉียวเวยไม่ตอบอะไร

“เหตุใดถึงไม่ไปหาข้า เจ้ารังเกียจข้าเพียงนั้นเชียวหรือ” จีหมิงซิวเอ่ยด้วยความน้อยใจ

บัญชีเก่าในปีนั้น หากจะมานั่งฟื้นฝอยก็คงยุ่งไปกันใหญ่ นางไม่มีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมติดมาด้วยเลย แค่พอได้รู้เรื่องในอดีตจากปากพวกยิ่นอ๋องกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมาเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งก็คือเจ้าของร่างเดิมเคยตามตอแยยิ่นอ๋องไม่ปล่อยมาก่อนจริงๆ

คนที่เจ้าของร่างเดิมเคยหลงรักอาจจะเป็นยิ่นอ๋องจริงๆ แต่เมื่อได้พบว่าตนกับหมิงซิวมีอะไร…แล้ว จึงทั้งไม่ยอมไปให้หมิงซิวรับผิดชอบ และไม่มีหน้าไปหายิ่นอ๋อง ซึ่งก็พอจะอธิบายได้

เพียงแต่นิสัยนางก็ดื้อรั้นเกินไปสักหน่อย สนใจแต่ความรู้สึกของตนเอง แต่กลับไม่สนใจว่าบุตรทั้งสองจะอยู่อย่างไร ดูสิว่านางให้เด็กทั้งสองหิวโซจนเป็นอะไรไปแล้ว!

เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ข้ามีเรื่องสนุกมาเล่าให้ฟัง”

จีหมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าสำนักเฉียว เจ้าเปลี่ยนเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะ”

เฉียวเวยหรี่ตาลง ในที่สุดก็ได้รู้ว่าพวกคำพูดแก่แดดเหล่านั้นของวั่งซู นางไปเลียนแบบใครมา “เรื่องโชคร้ายของยิ่นอ๋อง อยากฟังหรือไม่”

“ฟัง”

เฉียวเวยพรรณนาฉากที่สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วแผ่นดินและภูเขาตรงหน้าจวนยิ่นอ๋องให้เขาฟัง จากนั้นก็ตามด้วยการบรรยายที่เป็นเอกลักษณ์ของตน “…สาวใช้นางนั้นงดงามจริงๆ นะ เหนือผู้ใดในโลกหล้า ตอนยิ่นอ๋องเห็นนางถึงกับตาค้างไปเลยทีเดียว ข้าขอเดิมพันว่า ยิ่นอ๋องจะต้องคิดว่านางต่างหากที่เป็นแม่ของเด็กๆ แต่น่าเสียดายที่สวรรค์ไม่ยอมให้คนได้ดั่งใจ นางเป็นเพียงสาวใช้… ยิ่นอ๋องจะต้องคิดว่า สาวใช้ยังงามเพียงนี้ เจ้านายของนางจะต้องยิ่งงามไปอีกเป็นแน่ แต่ใครจะรู้ คนที่มากลับเป็นสตรีบ้าพลังนางหนึ่ง จึ๊ๆ ล้ำเลิศ ล้ำเลิศจริงๆ! พลาดละครฉากใหญ่ที่ล้ำเลิศเช่นนี้ไปเสียแล้ว น่าเสียดายนัก”

นัยน์ตาจีหมิงซิวมีรอยยิ้มยินดีบนความทุกข์ของผู้อื่นวาบผ่าน “ยอดหญิงงามแห่งชนเผ่าเกาเย่ว์ คิดแล้วคงต่างกับคนทั่วไปมากนัก”

“ก็ใช่น่ะสิๆ” ต่างกับคนทั่วไปมากจริงๆ เรียกได้ว่าสูงเทียมฟ้าทีเดียว

จีหมิงซิวเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นคนของชนเผ่าเกาเย่ว์ ก็ไม่แปลกที่ไห่สือซานจะตามหาไม่พบ”

“พวกเขาเก่งมากหรือ” เฉียวเวยถาม

จีหมิงซิวคิดแล้วตอบว่า “ความสามารถนั้นมีอยู่ แต่กลับไม่ใช่เพราะเหตุนี้ทั้งหมด ชนเผ่าเกาเย่ว์เป็นชนเผ่าที่อยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง นับว่าอยู่ในอาณาเขตน่านน้ำของต้าเหลียง แต่คนของชนเผ่าเกาเย่ว์ไม่มาหาสู่กับคนจงหยวนไม่มากนัก และไม่ยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของจงหยวน จึงอยู่อย่างเฉยชาเช่นนั้นมาตลอด ไห่สือซานน่าจะคิดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีจากชนเผ่าเกาเย่ว์”

เฉียวเวยพยักหน้า แต่ไม่นานก็ขมวดคิ้วอีก “ชนเผ่าเกาเย่ว์ไม่ยอมรับว่าเป็นส่วนนหึ่งของจงหยวน แล้วฮ่องเต้ไม่สนใจหรือ”

จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “มีอะไรจะต้องสนใจกัน คนของชนเผ่าเกาเย่ว์ไม่ไปมาหาสู่กับจงหยวน และไม่ไปมาหาสู่กับผู้มีอำนาจคนอื่นด้วย ไม่มีใจทะเยอทะยานที่จะครอบครองใต้หล้า ไม่สร้างความวุ่นวายในผืนน้ำ ทั้งยังไม่มีทรัพยากรอะไรมากมายนัก ราชสำนักได้พวกเขามา ก็แค่เพิ่งคนที่พูดภาษาฮั่นเพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย สู้ให้พวกเขาอยู่กันอย่างสงบบนเกาะไปดีกว่า พวกเขาอยู่กันอย่างสงบสุข ราชสำนักก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ต่างฝ่ายต่างสบายใจด้วยกันทั้งคู่”

เฉียวเวยทำเสียงจึ๊ๆ พลางส่ายหน้า “ราชสำนักก็ร้ายไม่หยอกนะนี่… ซู่ซินจงมีเหมืองทอง ซ้ำยังเป็นป้อมปราการของหนานจ้าว ราชสำนักเลยพยายามทุกวิถีทางคิดอยากผนวกพวกเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนชนเผ่าเกาเย่ว์แร้นแค้นไม่มีอะไร ราชสำนักยังคร้านแม้แต่จะอยากได้”

จีหมิงซิวเอ่ยต่อว่า “ชนเผ่าเกาเย่ว์ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรดีเลยเสียทีเดียว”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ยอดหญิงงามแห่งชนเผ่าเกาเย่ว์ที่มีพลังพอยกภูเขาย้ายแม่น้ำได้?”

จีหมิงซิวถึงกับหัวเราะ หยิกแก้มคนที่แสนจะมีอารมณ์ขัน “มีข่าวลือบอกว่า เกาะของชนเผ่าเกาเย่ว์ เป็นปากทางเข้าไปยังชนเผ่าลึกลับ”

เฉียวเวยเข้าใจทันที “ในเมืองเป็นทางเข้าที่สำคัญเช่นนั้น ก็น่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ลองเสี่ยงดวงไปที่เกาะนั้นนี่ เหตุใดถึงไม่มีใครคิดจะผนวกชนเผ่าเกาเย่ว์มาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง หากได้เป็นเจ้าของเกาะแห่งนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ยึดครองทางเข้าแล้วหรอกหรือ”

จีหมิงซิวเอ่ยสบายๆ ว่า “มีคนจำนวนไม่น้อยขึ้นไปเสี่ยงดวงที่เกาะนั้นจริงๆ แต่ก็ล้มเหลวกลับมาทุกครั้ง ดังนั้นถึงได้บอกว่าเป็นข่าวลือ ชนเผ่าเกาเย่ว์ เป็นอาณาเขตของต้าเหลียง จะสนหรือไม่สนเป็นเรื่องของราชสำนัก แต่หากคิดจะผนวกพวกเขาไปเป็นส่วนหนึ่ง ราชสำนักก็ไม่มีนางนิ่งเฉยแน่นอน”

เฉียวเวยเบ้ปาก “หมาหวงก้าง”

จีหมิงซิวโยนเกาลัดเม็ดหนึ่งใส่นาง “ห้ามพูดซี้ซั้ว!”

เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา พอคิดอะไรได้จึงพูดต่อว่า “ไม่ได้บอกว่าคนของชนเผ่าเกาเย่ว์ไม่ไปมาหาสู่กับคนจงหยวนหรอกหรือ แล้วเหตุใดยิ่นอ๋องถึงได้ไปมีสัมพันธ์กับยอดหญิงงามของพวกเขาได้เล่า คืนนั้น พวกล้วนติดตามฮ่องเต้ลงเจียงหนานไปลาดตระเวน ปักหลักกันอยู่ในค่าย นั่นถือเป็นพื้นที่สำคัญทางการทหารกระมัง เหตุใดนางถึงไปที่นั่นได้ อีกอย่างหัวนางใหญ่ออกปานนั้น เหตุใดถึงเข้าออกค่ายได้อย่างอิสระโดยไม่ถูกผู้ใดพบเห็นได้เล่า”

จีหมิงซิวเอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบๆ ว่า “เรื่องนี้คงต้องถามเจ้าตัวหญิงงามเองแล้ว”

จวนยิ่นอ๋อง ในที่สุดยิ่นอ๋องก็ฟื้นจากที่สลบไปเสียที เขาใช้ชีวิตว่ายี่สิบกว่าปี ฝึกวรยุทธ์มาสิบเจ็ดปีจนมีร่างกายกำยำดั่งเหล็กกล้ามานานแล้ว แต่กลับถูกสตรีโถมเข้าใส่จนสลบไปกลางถนน หากพูดกันไปนับว่าเสียศักดิ์ศรีของผู้ชายคนหนึ่งมากจริงๆ

แต่กระนั้นเมื่อยิ่นอ๋องได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มประหนึ่งดอกไม้ที่หญิงราวกับขนมเปี๊ยะก้อนโตตรงหน้าเตียง เขาก็แทบอยากให้ตัวเองสลบไปอีกครั้ง!

“ท่านพ่อของลูกเอ๋ย ฟื้นแล้วหรือ” ยอดหญิงงามถามพร้อมส่งตาหวาน