บทที่ 632 ทั้งสองคนพบกัน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 632 ทั้งสองคนพบกัน

บทที่ 632 ทั้งสองคนพบกัน

ฉินเย่จือห่วงเพียงความปลอดภัยของกู้เสี่ยวหวานในอ้อมแขน จึงไม่ต้องการต่อสู้กับชาวบ้านมากเกินไป

ทว่ามีผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉินเย่จือขมวดคิ้วพลางมองไปที่กู้เสี่ยวหวานในอ้อมแขนของเขา สภาพของนางในตอนนี้แทบจะไม่เหมือนคนที่มีชีวิตอีกต่อไป ครั้นฉินเย่จือเห็นนางในสภาพนี้ก็รู้สึกเจ็บรวดร้าวราวกับว่ามีใครบางคนตัดแบ่งหัวใจของเขาออกไปครึ่งหนึ่ง ความเจ็บปวดนั้นแสนสาหัสยิ่งนัก

ฉินเย่จือไม่ได้คิดอีกต่อไป เขาบินออกไปโดยใช้แขนโอบรอบกู้เสี่ยวหวานไว้และเหยียบไหล่ของคนเหล่านั้น กระโดดสองสามก้าวตรงไปถึงที่ปลอดภัย จากนั้นเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

ฝูงชนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังตกตะลึงอีกครั้งเมื่อเห็นทักษะที่ยอดเยี่ยมของฉินเย่จือ พวกเขาไม่สามารถปิดปากได้เป็นเวลานาน

ไม่มีใครประหลาดใจมากไปกว่าหลี่ฝาน

เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะพบฉินเย่จือในหมู่บ้านอันห่างไกลแห่งนี้ ทั้งฉินเย่จือยังอยู่กับกู้เสี่ยวหวานอีก

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หลี่ฝานก็หันหลังกลับและวิ่งไปในทิศทางที่ฉินเย่จือจากไปโดยไม่ได้คิดเรื่องอื่น

เมื่อเขาไปถึงบ้านของกู้เสี่ยวหวาน ประตูยังคงเปิดอยู่ ซึ่งเมื่อเขาเข้าไปข้างใน เขาก็เห็นฉินเย่จือวางกู้เสี่ยวหวานลงบนเตียง

รถม้าที่อยู่ข้างหลังเขาตามมาถึงอย่างรวดเร็ว หลี่ฝานรีบลากชายคนหนึ่งออกจากรถม้ามาโดยไม่ยั้งคิด

ยามรถม้าจอดกะทันหัน ชายที่นั่งอยู่รถม้าแทบถูกแรงกระแทกจนหน้าคว่ำ แต่ก่อนที่เขาจะได้ตั้งหลักก็มีมือหนึ่งยื่นเข้ามาฉุดเขาจากข้างนอกอีก

หลังจากเหยียบลงบนพื้น ในที่สุดเขาผู้นั้นก็เห็นหลี่ฝาน ซึ่งอีกฝ่ายดึงเสื้อผ้าของเขาอีกครั้งและเร่งฝีเท้าอย่างร้อนใจ “เร็วเข้า ๆ!”

โชคดีที่ระหว่างทางที่หลี่ฝานเดินทางมา เขาได้พาหมอพานมาจากโรงหมอหุยซุนด้วย เนื่องจากเขากลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

โชคดีที่เขาตัดสินใจถูก!

หลังจากเข้ามาในห้องแล้ว ฉินเย่จือก็ส่งเสียงตะคอกด้วยความระแวดระวัง “ผู้ใดกัน ออกไปเสีย!”

ครั้นหลี่ฝานได้ยินเสียงถ้วยชาลอยออกมา เขาเคยมีประสบการณ์ในการรับมือกับศิลปะการต่อสู้ของฉินเย่จือมาก่อน เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็เตรียมใจไว้แล้ว จึงดึงหมอพานหลบ ถ้วยชาบินผ่านคิ้วของหมอพานไปอย่างฉิวเฉียด

เพียงรู้สึกว่ามีลมกระโชกผ่านหว่างคิ้วของเขา หมอพานก็กลัวจนขาอ่อนปวกเปียกแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น

หลี่ฝานดึงแขนเขาขึ้นมาและพูดกับคนข้างในว่า “ข้าเอง…”

เพียงสองคำ ฉินเย่จือก็จำทันทีได้ว่าเป็นใคร

ไม่มีเสียงใด ๆ จากข้างในอีกต่อไป ทางหลี่ฝานก็ลากหมอพานเข้าไป

เมื่อเห็นฉินเย่จือ หลี่ฝานก็ประสานมือขึ้นก่อนโค้งคำนับและพูดตรงเข้าประเด็น “นี่คือหมอพานจากโรงหมอหุยซุน มีความเชี่ยวชาญในการรักษคน เหตุใดท่านไม่ให้เขาดูกู้เสี่ยวหวานล่ะ!”

ฉินเย่จือย่อมรู้ว่าหลี่ฝานกับกู้เสี่ยวหวานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไร ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่แม้แต่จะสบตากัน

ฉินเย่จือเอียงร่างของเขาไปด้านข้าง เมื่อเห็นเช่นนี้ หมอพานรีบแบกกล่องยาบนหลังเดินตรงไปหากู้เสี่ยวหวาน

เขาสัมผัสที่หน้าผากของกู้เสี่ยวหวาน ก่อนอุทานว่า “สวรรค์ มันร้อนมาก!”

เดิมการแสดงออกของฉินเย่จือตึงเครียด เมื่อเขาได้ยินหมอพานพูดประโยคดังกล่าว การแสดงออกของเขาก็ยิ่งตึงเครียดกว่าเดิม

หลี่ฝานยืนอยู่ข้าง ๆ เดิมทีคิดว่าจะหาโอกาสที่จะพูดคุยกับฉินเย่จือสักสองสามคำ แต่สายตาของฉินเย่จือมักจะจับจ้องอยู่ที่กู้เสี่ยวหวาน โดยภายในดวงตาของเขามีความกังวลอยู่ลึกล้ำ เขาไม่ได้เหลือบมองไปที่หลี่ฝานด้วยซ้ำ

หลี่ฝานรู้สึกอายเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใกล้ชิดกับฉินเย่จือเพียงนี้ ซึ่งความรู้สึกกดดันจากร่างกายของเขาทำให้เขารับไม่ไหวเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอยไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว และยืนอยู่ข้างหลังฉินเย่จือ

หลังจากไม่ต้องเผชิญหน้ากับฉินเย่จือ หัวใจของเขาก็มั่นคงขึ้นเล็กน้อย

จากนั้นเขาก็ทำเช่นเดียวกับฉินเย่จือคือ จ้องไปยังกู้เสี่ยวหวานที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล

ทันใดนั้น ฉินเย่จือก็ดูเหมือนจะนึกถึงบางสิ่งได้ จึงหันหลังกลับและเดินออกไปข้างนอก

หลี่ฝานไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร เขาจึงวิ่งตามไป

ทว่าฉินเย่จือเพียงวิ่งเข้าไปในครัว โดยตักน้ำจากอ่างไม้ หยิบผ้าเช็ดหน้าแล้วเดินออกมา

เมื่อหลี่ฝานเห็นเขาทำสิ่งนี้ เขาก็ผวาหนัก เขาเอื้อมมือไปรับมัน แต่ฉินเย่จือที่ย้อนกลับมานั้นไม่แม้แต่จะมองเขา แต่เดินเข้าไปในห้องพร้อมกับอ่างไม้ในมือ

ครั้นหลี่ฝานตามเข้ามา เขาก็เห็นฉินเย่จือบิดผ้าเช็ดหน้าเปียกในอ่างให้หมาด แล้ววางไว้ที่หน้าผากของกู้เสี่ยวหวาน

ส่วนผ้าเช็ดหน้าอีกผืน เขากำลังเช็ดตัวของกู้เสี่ยวหวานอย่างอ่อนโยน

มีความเป็นห่วงกังวลและความรักอย่างลึกซึ้งในดวงตาของเขา หลี่ฝานไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน

ถูกต้อง ต่อหน้าเขา ฉินเย่จือมักมีท่าทีที่ห่างเหินและไม่แยแสต่อเขาเสมอ เป็นไปไม่ได้เลยจะมีโอกาสได้เห็นเขาอ่อนโยนขนาดนี้

มันเหมือนกับว่าฉินเย่จือที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในขณะนี้เป็นคนแปลกหน้า

ทว่ามันก็ถือได้ว่าเป็นคนแปลกหน้า!

เขารู้เพียงว่าคนผู้นี้คือเจ้านายของเขา ส่วนที่เหลือเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย

ไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะเขาเป็นแค่ข้ารับใช้

ข้ารับใช้จะรู้จักเจ้านายของตนได้อย่างไร

หลี่ฝานมองฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ ก่อนมองไปที่กู้เสี่ยวหวานที่กำลังนอนอยู่บนเตียง คิ้วของเขาขมวดแน่นยิ่งขึ้น เขาเป็นกังวล

กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของกู้เสี่ยวหวาน

หมอพานจับชีพจรของกู้เสี่ยวหวานและกลอกตา ท่าทางดูเป็นกังวล

เด็กคนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก!

เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของหมอพาน ฉินเย่จือก็ตกใจ มือที่เช็ดหน้าผากของกู้เสี่ยวหวานพลันชะงัก หัวใจของเขาดิ่งลงและถามอย่างเย็นชา “เกิดอะไรขึ้น?”

น้ำเสียงนั้นสั่นไหวเล็กน้อย

หมอพานขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เด็กคนนี้มีไข้สูงมาหลายวันแล้ว ข้าเกรงว่าแม้นางจะตื่นขึ้น แต่นาง…”

หมอพานไม่ได้พูดต่อ แต่แววตากังวลฉายชัด

หัวใจของฉินเย่จือจมลง ก่อนเขาพูดอย่างเฉียบขาด “ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด ก็ต้องปลุกนางขึ้นมาให้ได้!”

เมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันจากร่างกายของฉินเย่จือ หมอพานรู้สึกสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นปกคลุมทั่วร่างกายของเขาจนหายใจไม่ออก

“ข้าทราบ เพียงแต่ว่าครั้งนี้ข้าไม่ได้เตรียมยามามากมายขนาดนั้น!” หมอพานพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว

ทั้งสองมาถึงทางตัน หลี่ฝานก้าวไปข้างหน้าและเสนอว่า “ไม่เช่นนั้น ท่านหมอพาน ท่านก็บรรเทาอาการไข้ของสาวน้อยเสี่ยวหวานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจึงพานางไปทำการรักษาที่โรงหมอในเมืองให้เร็วที่สุด หากเป็นเช่นนี้จะได้ไม่ชักช้า ดีหรือไม่?”

ฉินเย่จือพยักหน้า

เมื่อเห็นว่าฉินเย่จือเห็นด้วย หมอพานก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก