ตอนที่ 649 พ่อของลูก เหตุใดเจ้าถึงน่ารักได้ขนาดนี้
เจียงโม่หานทำจิตใจให้สงบแล้วตั้งใจฟังที่นางพูดพร้อมกับดวงตาที่เปียกชื้น…ปีหน้าเขาจะมีเจ้าตัวน้อยคลานเล่นกับพื้น ปีถัดไปลูกก็จะเรียกท่านพ่อได้แล้ว ในปีถัดไปอีกก็หาอาจารย์คนแรกให้ลูก ในบ้านจะมีเสียงอ่านตำราของเด็กเพิ่มขึ้นมา ! !
แค่ก แค่ก รองผู้ตรวจการผู้แสนดีใจที่จะได้เป็นพ่อคน เจ้าคิดไกลไปหน่อยกระมัง ทำให้คนอื่นรู้สึกเห็นใจเด็กที่ยังไม่เกิดมาคนนี้ ยังไม่ทันคลอดก็โดนบิดาจัดการชีวิตให้ทุกอย่างแล้ว
“บัณฑิตน้อย เจ้า…ร้องไห้หรือ ? เจ้าไม่ชอบเด็กหรือไร ? ” หลินเว่ยเว่ยใช้มือเช็ดน้ำตาที่หางตาให้เจียงโม่หาน…หรือว่า…หรือว่าลูกของบัณฑิตน้อยในชาติก่อนจะเสียชีวิตแบบไม่ดี ?
“ชอบ ! ชอบอยู่แล้ว ! ชอบมาก ๆ เลยล่ะ ! ขอแค่เป็นลูกของเจ้า ข้าก็ชอบหมดเลย ! ! ” เจียงโม่หานกลัวเด็กในครรภ์จะได้ยินคำพูดของมารดาแล้วพาลไม่ชอบบิดาคนนี้ เขาพูดต่ออีก “ข้ากำลังดีใจต่างหาก ! ดีใจจนร้องไห้ ใช่ ดีใจจนร้องไห้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะเสียงดังลั่น “บัณฑิตน้อย เจ้าน่ารักจริง ๆ…หืม เหตุใดเจ้ากลับมาในเวลานี้ ? ทิ้งงานมาหรือ ? คาดไม่ถึงเลยว่าคนบ้างานอย่างเจ้าก็จะทิ้งงานเป็นกับเขาด้วย ? ”
เจียงโม่หานผละมือออกจากหน้าท้องของนางอย่างอาลัยอาวรณ์ “ใต้เท้าผู้ตรวจการให้ข้าลางานครึ่งวัน…เทียบกับเจ้าแล้วงานจะนับว่าเป็นอะไรได้ มันต้องยืนอยู่ห่าง ๆ โน้น ! ”
ขณะมองท่าทางนี้ของเจียงโม่หาน ความรู้สึกไม่สบายใจของหลินเว่ยเว่ยก็หายไปทันที นางที่ในสองชาตินี้อายุรวมกันมากกว่า 40 ปี ก็เพิ่งตั้งครรภ์เป็นครั้งแรก ในขณะดีใจ นางเองก็กังวลไปด้วย…เทคโนโลยีทางการแพทย์ในสมัยโบราณมีจำกัด นางกังวลเกี่ยวกับลูกในครรภ์ กลัวการคลอดลูก กลัวว่าระหว่างนี้ลูกจะเป็นอะไรไป…
แต่เมื่อเห็นคนตรงเบื้องหน้าแล้ว จู่ ๆ นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา นางรู้ว่าเขาจะอยู่คอยกันลมพายุให้นางตลอดไป
ในขณะที่รองผู้ตรวจการรูปงามกำลังพูดว่า “เชิญหมอมาดูอาการอีกรอบดีไหม” นางก็จับมือเขาไว้แน่น ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “วางใจได้ ข้าแข็งแรงอย่างกับแม่วัว ลูกก็ต้องแข็งแรงเหมือนลูกวัวแน่นอน ท่านหมอเหลียงมาตรวจให้แล้ว ข้าแข็งแรงดีทุกอย่าง”
“ตอนเจ้าแล่ปลาไม่ได้อาเจียนหรอกหรือ ? ต่อไปไม่ต้องส่งอาหารให้ข้าแล้ว ข้ากินอาหารของร้านสองสามีภรรยาตรงข้ามที่ทำงานก็ได้ ของที่เจ้าทำไปพวกนั้น ไม่รู้ลงกระเพาะใครบ้าง ! ” เจียงโม่หานแอบตัดสินใจว่าจะให้ห้องครัวเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับภรรยา ห้ามเข้าใกล้แม้แต่ก้าวเดียว…แต่น่าเสียดาย…คำพูดของเขาจะใช้ได้หรือ !
หลินเว่ยเว่ยรับปาก แต่ในใจลอบคิดว่า…ด้วยความเลือกกินของสามี ผ่านไปไม่ถึงเดือนต้องผอมเป็นไม้เสียบผีแน่นอน ! วัตถุดิบมีสาวใช้คอยจัดการ นางยืนขยับปากสั่งอยู่ห่าง ๆ อย่างไรก็คงไม่อาเจียนเพราะกลิ่นคาวปลาอีกหรอก ?
ในเวลานี้ นางกำนัลเข้ามารายงานว่าแม่ทัพหลิน ภรรยาและคุณชายทั้งสองมาถึงตำหนักแล้ว หลังกลับจากตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว แม่ทัพหลินก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์เมืองหลวง สำหรับการวางตัวของเขาที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือนั้น หลินเว่ยเว่ยพอใจมากจึงอนุญาตให้พาท่านแม่กลับไปอยู่ที่จวนด้วยกันได้
แต่เสี่ยวเอ้อร์ฮว๋าไม่พอใจสุด ๆ…นักกินตัวน้อยคนนี้ไม่อยากไปจากพี่รองและยิ่งไม่อยากห่างจากฝีมือทำอาหารของพี่รอง ! ตอนอยู่ที่เรือนสกุลเจียง เขามักเห็นบ้านพี่เขยและพี่สาวเป็นบ้านของตัวเองและยังครอบครองเรือนที่อยู่ใกล้พี่รองที่สุดด้วย หลังกลับมาเมืองหลวงในช่วงครึ่งปีนี้ เขาแทบใช้เวลากว่าครึ่งอยู่ที่สกุลเจียงจนพวกเพื่อนบ้านต่างเข้าใจผิดว่าเขาเป็นน้องชายแท้ ๆ ของรองผู้ตรวจการเจียง !
“พี่รอง ได้ยินว่าท่านตั้งครรภ์แล้ว ! ประเดี๋ยวข้าก็จะกลายเป็นน้าชายแล้วใช่หรือไม่ ? ” ตัวเอ้อร์อว๋ายังไม่ทันมาถึง เสียงก็มาก่อนแล้ว พอเขาเข้ามาก็รีบวิ่งมาที่ขอบเตียงทันที
เจียงโม่หานรีบเข้าไปขวางแล้วแค่นเสียงดุเขา “โตขนาดนี้แล้วยังทำตัวไม่สำรวมแบบนี้อีกหรือ ? ”
หลินจื่อถิงที่กลายเป็นหนุ่มน้อยรูปงามแล้ว แม้จะไม่กลัวบิดาตัวเอง แต่ไม่กล้าขึ้นเสียงกับพี่เขยรองคนนี้เลย…ด้านหนึ่งเป็นเพราะเคารพ อีกด้านคือมีความน่าเกรงขามมาเกี่ยวข้อง ตัวเขาที่เพิ่งโดนสั่งสอนจึงเข้าไปอยู่ข้างเตียงอย่างว่าง่าย เมื่อกลับมาเผชิญหน้ากับพี่รองแล้ว ใบหน้าของเขาก็เปื้อนยิ้มอีกครั้ง “พี่รอง ข้ามาหาหลานแล้ว ! ”
“หลานของเจ้าอยู่ที่ฉือหลี่โกวโน้น ! ถ้าเจ้าคิดถึงเขาขนาดนั้นก็กลับไปหาสิ ! ” คนพูดคือหลินจื่อเหยียนที่อายุ 18 ปีแล้ว เขาได้รูปร่างสูงใหญ่มาจากแม่ทัพหลินและน่าจะสูงเกิน 1.80 หมี่แล้วกระมัง
แต่เมื่อเทียบกับบิดาของเขาแล้ว ร่างกายยังผอมไปหน่อย หลินเว่ยเว่ยรู้ว่าน้องชายคนโตไม่ใช่บัณฑิตที่อ่อนแอ เพราะเรียนวรยุทธกับหลีชิงมาหลายปีจึงต่อสู้กับคนธรรมดาได้สบาย
“ไอโหยว ! หลินจู่เหรินของพวกเรากลับมาแล้วหรือ ? มาถึงเมื่อใด ? ไม่เห็นแจ้งให้ทราบสักคำ ในสายตายังมีพี่สาวคนนี้อยู่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยหยอกหลินจื่อเหยียน
หลินจื่อเหยียนรีบอธิบาย “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงเมื่อคืน ตอนเช้าเผลอนอนหลับจนเพลิน เพิ่งตื่นได้ไม่นานก็ได้ข่าวจากตำหนักหมินอ๋อง บอกว่าพี่รองจะเป็นแม่คนแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะรอท่านแม่ ข้าก็ขี่ม้ามาก่อนตั้งนานแล้วล่ะ ! ”
“ข้างนอกหิมะตก เจ้ายังคิดจะขี่ม้าบนถนน ? ไม่กลัวตกมาคอหักหรือไร ? ” หลินเว่ยเว่ยมองน้องชายคนโตตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า…อืม ดูสุขุมขึ้นมาก ดูท่าแล้วตอนเดินทางกลับไปร่วมการสอบจะทำให้เขาได้รับประสบการณ์บางอย่าง
หลินจื่อเหยียนสอบเซียงซื่อได้อันดับสาม เขาจึงไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร มักรู้สึกว่าทำให้พี่เขยรองผิดหวัง เขากำม้วนกระดาษไว้ในแขนเสื้อเงียบ ๆ โดยไม่ได้เอาออกมา…การพบกันครั้งนี้ ไฉนเลยพี่เขยรองจะมีกะจิตกะใจมาชี้แนะบทความให้เขา
หลังจากนางหวงสนทนากับหมินหวางเฟยและนางเฝิงเสร็จแล้วก็มานั่งข้างหลินเว่ยเว่ย ก่อนจะมองบุตรสาวด้วยใบหน้าเบื้อนยิ้ม “ตอนเที่ยงนี้รู้สึกคลื่นไส้หรือไม่ อยากอาเจียนหรือเปล่า ? อยากกินอะไรก็บอก แม่จะทำให้เจ้ากินเอง”
หลินเว่ยเว่ยพูด “ท่านแม่ ที่เรือนก็มีแม่ครัวเจ้าค่ะ ถ้าไม่ไหวก็ยังมีเหมยหยิงอีกคน ตอนนี้ฝีมือนางไม่แพ้ลูกแม้แต่น้อย ! ไฉนเลยจะให้ท่านต้องแสดงฝีมือเจ้าคะ ? อีกอย่างถ้าลูกกล้าใช้ท่าน แม่ทัพหลินจะไม่หยิบแส้มาเฆี่ยนลูกเลยหรือเจ้าคะ ! ”
แม่ทัพหลินที่ยืนอยู่นอกฉากกั้นก็รีบพูดว่า “เจ้ารอง เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล ! แม้แต่ด่าเจ้า พ่อยังไม่เคยทำเลยสักครั้ง แล้วจะลงมือกับเจ้าได้ลงคอหรือไร ? พูดก็พูดเถิด เมื่อใดเจ้าจะเลิกกวนโดยเรียกพ่อว่าแม่ทัพหลินสักที ? ก่อนพ่อตายจะมีวันนั้นหรือไม่ ? ”
“ท่านแม่ ดูเขาสิเจ้าคะ ! ในวันมงคลเช่นนี้กลับพูดอะไรก็ไม่รู้ ! ” หลินเว่ยเว่ยตัวขี้ฟ้องกำลังยืมมือมารดาผู้อ่อนโยนไปจัดการบิดาที่หยาบกระด้าง !
นางหวงถลึงตาไปทางฉากกั้นลม ก่อนจะหันมาพูดกับบุตรสาวว่า “กลับไปแล้วแม่จะจัดการเขาเอง ! เมื่อครู่แม่หมายความว่าตอนตั้งครรภ์ สตรีจะเรื่องเยอะ แม้คนอื่นทำได้ดีขนาดไหนก็กินได้แค่คำเดียว แต่ถ้าเป็นของที่คนในครอบครัวทำก็ยังพอจะกินได้มากหน่อย ตอนที่แม่ตั้งครรภ์เจ้า ไม่ว่าได้กลิ่นอาหารอะไรในช่วงสามเดือนแรกก็อาเจียนหมด แม้แต่น้ำดีก็ยังอาเจียนออกมาเลย ต่อมาพ่อเจ้าทำบะหมี่ไข่ที่ง่ายมาก ๆ ให้กิน เรื่องรสชาติใช้คำธรรมดามาบรรยายไม่ได้ แต่แม่กินแล้วไม่อาเจียน ส่วนอย่างอื่นแม้จะเป็นอาหารทะเลหรือของป่า แม่ก็กินไม่ลงทั้งนั้น ! ”
หลินเว่ยเว่ยกะพริบตา “ท่านแม่เจ้าคะ ตอนพวกท่านหนีภัยสงครามยังมีอาหารทะเลหรือของป่าให้กินด้วยหรือ ? ”
นางหวงยิ้มขณะเอานิ้วจิ้มหน้าผากนาง “แม่พูดเปรียบเปรยเท่านั้น เจ้าเด็กคนนี้จะซื่อไปถึงไหน ! ”