เล่ม 1 ตอนที่ 169-1 ชีวิตพ่อบ้าน เปิดโปง

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 169-1 ชีวิตพ่อบ้าน เปิดโปง

ยอดหญิงงามเป็นคนที่คุยเก่งมากทีเดียว นางพูดคุยอย่างไหล่รื่นกับเฉียวเวยอยู่ตลอดทั้งเช้า แทบจะเป็นว่าเฉียวเวยถามอะไร นางก็ตอบอย่างนั้น ถ้ารู้ไม่มีไม่บอก ถ้าบอกไม่มีบอกไม่หมด เรื่องที่เฉียวเวยไม่ถาม นางก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเอง ท่าทางตอนยอมรับผิดดูจริงใจยิ่งนัก

กรรมต้องมีเหตุ หนี้ต้องมีเจ้า ในเมื่อเรื่องหาแพะรับบาปในปีนั้นเกิดขึ้นจากพี่รอง เฉียวเวยก็จะไม่เอาบัญชีความแค้นนี้ไปลงกับยอดหญิงงาม แน่นอนว่าหากจะบอกว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับยอดหญิงงามเลยสักนิดก็คงไม่ถึงขั้นนั้น อย่างน้อยที่แน่ชัดก็คือนางเป็นฝ่ายขืนใจยิ่นอ๋องก่อน ถึงได้ทำให้พี่รองของนางคิดกระทำแผนร้ายเช่นนั้น แต่หากจะให้ล้างแค้นกับนางด้วยเหตุผลข้อนี้ เฉียวเวยก็รู้สึกเกินไปสักหน่อย

หกปีที่ไม่ได้รับอิสระ ต่อให้ได้เนื้อมากกว่านี้ คิดดูแล้วก็คงไม่เอร็ดอร่อยเท่าไรนัก

เฉียวเวยตบบ่านาง บัญชีนี้ของพี่รองเจ้า ข้าจดจำไว้แล้ว วันหน้าหากได้พบ จะต้องเอาคืนเป็นสองเท่าแน่ ส่วนเจ้า มาจากไหนก็กลับไปทางนั้นเถอะ สตรีด้วยกันจะหาเรื่องกันเองไปไย

อีกอย่างต่อให้ไม่ต้องให้ข้าเรื่องเจ้า ชีวิตของเจ้าก็ไม่มีง่ายดาบเช่นนั้น แค่จวนแม่ทัพตัวหลัวก็พอให้เจือหืดขึ้นคอแล้ว แน่นอนว่าหากแม่ทัพตัวหลัวยินดีที่จะสู้ตัวกับตัวกับอย่างงามอย่างเจ้า เรื่องนี้ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

เฉียวเวยเอ่ยรับคำขอโทษจากยอดหญิงงามอย่างใจกว้าง แต่กระนั้นยอดหญิงงามก็ดูว่ายังพูดคุยไม่หนำใจ ดูไม่มีท่าทีจะกลับไปสักนิด ยิ่งเมื่อเห็นเฉียวเวยไม่ติดใจกับเรื่องในปีนั้นแล้ว นางยิ่งรู้สึกว่าเฉียวเวยเป็นสตรีที่มีจิตใจกว้างขวาง จึงพูดคุยเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับบนเกาะกับเฉียวเวยต่อ

เฉียวเวยเป็นคนที่ต้องทำงาน งานบ้านตั้งมากมายเหล่านั้นยังไม่ต้องพูดถึง ตอนกลางวันเด็กๆ ยังต้องกลับมากินข้าว จึงไม่มีเวลาพูดคุยเป็นเพื่อนนางไปตลอด จึงเอ่ยขึ้นว่าเจ้าลำบากเดินทางมาไกลแล้ว ในเมื่อข้ารับคำขอโทษของเจ้าไว้แล้ว เช่นนั้นก็จะไม่รบกวนเวลาพร้อมหน้าพร้อมตาของสามีภรรยาอย่างพวกเจ้าก็แล้วกัน

ยอดหญิงงามเอ่ยว่า “เมื่อคืนชุลมุนกันอยู่ทั้งคืน ยิ่นอ๋องยังหลับอยู่เลย ไม่เป็นไรหรอก!”

คำว่าชุลมุนของเจ้านี้เป็นชุลมุนเดียวกับที่ข้าเข้าใจหรือไม่

ขอล่ะ อย่าได้เอาเรื่องในมุ้งมาบอกข้าเลย!

ข้าไม่อยากรู้สักนิด!

“ใครอยู่ข้างบนหรือ” เฉียวเวยถาม

ยอดหญิงงามกระซิบบอกที่ข้างหูเฉียวเวยอย่างมีลับลมคมใน

เฉียวเวยเบิกตาโต ทรงพลังเพียงนี้เชียวหรือ สมกับเป็นฝ่ายรุกจริงๆ!

ยอดหญิงงามนึกย้อนไป “จึ๊ รสชาติของมารน้อยช่างถูกปากเหลือเกิน!”

รสชาติของหมิงซิวของข้าดีกว่าอีก

เฉียวเวยลอบคิดภาพนางโถมเข้ามาหมิงซิวจนล้มลง ใจนางฟูฟ่องเป็นดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ก่อนจะมองขึ้นไปบนฟ้า แล้วต้องตกใจที่คิดได้ว่า หากยังไม่ทำกับข้าวอีก เด็กๆ กลับมาจะต้องแขวนท้องรอกันแล้ว นางจึงเอ่ยส่งแขกอย่างอ้อมๆ “ขอโทษด้วยนะ แม่นางเสี่ยวเวย ข้ายังมีงานต้องไปทำที่ครัวอีกนิดหน่อย”

ยอดหญิงงามเอ่ยว่า “ข้าไปคุยกับเจ้าที่ห้องครัวก็ได้ ข้าไม่เรื่องมากเรื่องสถานที่”

คนชนเผ่าเกาเย่ว์ของพวกเราเรียบง่ายมาก ยังไงก็ได้ คบหาได้ง่ายมาก

เฉียวเวยกระตุกมุมปาก แล้วเดินเข้าห้องครัวไป

ยอดหญิงงามก็เดินตามเข้ามาจริงๆ

เฉียวเวยเริ่มทำกับข้าว นางก็พูดอะไรของนางไปเรื่อยไม่หยุด

“นี่เจ้าไม่ได้คุยกับใครมาหลายปีแล้วหรือ” เฉียวเวยถาม

ยอดหญิงงามพลันตาเป็นประหาย “เจ้ารู้ได้อย่างไร ข้าอยู่บนเกาะมาหกปี ในเรือนมีแต่สาวใช้ใบ้ทั้งนั้น ใช่สิ เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้วนะ ถ้ำฉานซือบนเกาะของพวกเรา ข้าจะบอกให้นะ ถ้ำนั้นเป็นถ้ำผีสิง ข้างในชอบมีผีมาหลอก คนทั้งชนเผ่านอกจากข้าแล้วไม่มีใครกล้า…”

เฉียวเวยหั่นแครอทอยู่อันหนึ่ง “เรื่องผีหลอกก็คงเป็นเจ้าที่ปล่อยข่าวออกไปเช่นกันกระมัง”

ยอดหญิงงามยิ้มแหยๆ “แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็รู้เหรอ คนบนเกาะพวกนั้นอยากจะหาทางเข้าไปยังชนเผ่าลึกลับ พวกเขาจะต้องไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครกล้าไปแน่นอน ไม่เช่นนั้นหากมีคนไปทุกวัน ก็ไม่ต่างอะไรกับสวนผัก ใครจะเชื่อว่ามีทางเขาลึกลับ จริงหรือไม่ พวกเขาก็เลยตั้งแผงที่หน้าทางเข้า ขายพวกยันต์กันผี เทียนส่องสว่างอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย ขายดีมากทีเดียว!”

เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ใช่ว่าข้างในยังมีคนแต่งตัวเป็นผี ออกมาหลอกให้ผู้คนกลัว?”

ยอดหญิงงามตกใจ “ตายแล้ว เจ้ารู้ได้อย่างไรอีกแล้วนี่ บอกมาตามตรง เจ้าเคยไปที่ชนเผ่าเกาเย่ว์ใช่หรือไม่”

เรื่องนี้ต้องไปเองด้วยหรือ หลักการก็เหมือนกับบ้านผีสิงในยุคปัจจุบันไม่ใช่หรือ คิดไม่ถึงว่ายอดหญิงงามที่ดูเนื้อตัวจ้ำม่ำ กลับมีหัวการค้าอย่างมากเช่นนี้

ยอดหญิงงามพูดเรื่องของนางต่อไป

เฉียวเวยทำงานของตนไป

จุดไฟ ล้างผัก หั่นผัก ผัดกับข้าว

ทำอยู่ตั้งนานกว่าจะทำกับข้าวห้าอย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่างกับหมั่นโถวหนึ่งเข่งเสร็จ พอหันไปอีกที จามชามบนโต๊ะก็ว่างเปล่าหมดแล้ว

ยอดหญิงงามหัวเราะแหะๆ “ข้าแค่ชิมไปสองคำเอง”

คำหนึ่งของเจ้ากินกินหัววัวได้ทั้งหัวหรือ สองคำถึงได้กินอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะหมดได้น่ะ

ถ้าจะทำกับข้าวใหม่คงไม่ทันแล้ว เฉียวเวยก้มลงใหญ่หยิบโหลในตู้ชามที่ใส่ไข่เยี่ยวม้าเอาไว้ออกมา พอเปิดออก ข้างในยังมีไข่เยี่ยวม้าอยู่เมื่อไรกัน มีแต่เปลืองไข่ทั้งนั้น!

เฉียวเวยหันขวับไปมองยอดหญิงงาม

ยอดหญิงงามหัวเราะแหะๆ

เฉียวเวยปิดโหลด้วยความปวดใจ ในใจคิดว่าจะต้องกลับไปให้ยิ่นอ๋องชดเชยมาให้ได้ แต่ตอนนี้ต้องแก้ปัญหาเรื่องปากท้องก่อน เมื่อเช้าต้มพะโล้ไก่ป่าตัวหนึ่ง เดิมทีคิดจะส่งไปให้ป้าหลัว ตอนนี้คงต้องเอามากินก่อนแล้ว

ช่วงนี้ไก่ป่าฉลาดกันยิ่งนัก ไม่ค่อยมีตัวไหนหลุดเข้ามาในตะกร้าเลย จับยากโดยแท้!

แต่กระนั้นชั่วขณะที่เฉียวเวยเปิดฝาชามออก ความเย็นยะเยือกในใจก็พุ่งเสียบสมองดังสวบๆๆ!

ไก่เล่า

ไก่ของนางเล่า!

ยอดหญิงงามเรออออกมาเสียงดัง

เฉียวเวยพอเขาใจแล้วว่าเหตุใดบ่าวไพร่ที่คอยคุมยอดหญิงงามถึงจะต้องเป็นคนใบ้ คนที่ทำอาหารให้ยอดหญิงงามกิน จะต้องเป็นคนที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะพูดจา ไม่อย่างนั่นคงทำนางกินให้อิ่มไม่ได้!

แล้วยังเด็กสามคนนั่นอีก

เฉียวเวยหยิบเมล็ดทานตะวันห่อหนึ่งออกมาจากในห้อง แล้วเอามาวางที่โต๊ะ

ยอดหญิงงามทำท่าไม่เคยกินมาก่อน

เฉียวเวยคิดในใจว่ายอดเยี่ยมมาก

ยอดหญิงงามยกเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งในห้องครัว นางมองเฉียวเวยอยู่ไกลๆ ระหว่างที่แกะก็คอยพูดคุยกับเฉียวเวยไปด้วย

ใช่แล้ว แกะ

เพื่อให้นางเสียเวลา เฉียวเวยจึงไม่ได้สอนนางให้ใช้ฟันแทะ

ความเร็วในการกินของยอดหญิงงามลดลงตามที่คิดไว้

เมล็ดทานตะวันเหล่านั้นเฉียวเวยคั่วเองกับมือ มีทั้งหมดห้ากลิ่น มีกลิ่นสาระแหน่ กินเนื้อวัว…กลิ่นเนื้อวัวนั่นนางลองคั่วดูเล่นๆ ดูว่าจะอร่อยหรือไม่ รสชาติไม่ค่อยถูกปากคนอื่นเท่าไร ทุกคนจึงไม่ได้ชอบกินนัก แต่เมื่อมาอยู่ในมือยอดหญิงงาม ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

รสเนื้อหรือ…

เด็ดที่สุด!

ยอดหญิงงามกินเมล็ดทานตะวัน เฉียวเวยทำกับข้าวใหม่อีกรอบ เรียกได้ว่าสงบเรียบร้อยมากทีเดียว!

จนเมื่อเฉียวเวยใกล้จะทำเสร็จ จู่ๆ บ้านบนเนินก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญโผล่มา

“พี่เฉียว! พี่เฉียว! พี่อยู่หรือไม่”

ชัดเจนว่าเป็นเสียงของตัวหลัวหมิงจู

เฉียวเวยงุนงงเล็กน้อย เจ้าเด็กนี่เหตุใดถึงขึ้นมาหานางถึงบนเนินได้อีกคน ที่อยู่ของนางเป็นความลับที่รู้กันไปทั่วเมืองหลวงแล้วอย่างนั้นหรือ

“พี่เฉียว! พี่…” ตัวหลัวหมิงจูตามหาไปทีละห้อง ในที่สุดนางก็ได้เจอเฉียวเวยที่ห้องครัว สายตาที่ร้อนใจพลันสว่างวาบ “พี่เฉียว!”

นางโผเข้าไปหาเฉียวเวยราวกับนกนางแอ่น

เฉียวเวยเบี่ยงตัวหลบ นางโผไปเจอแต่อากาศ หัวชนกับตู้เก็บจาน เจ็บจนต้องสูดปากซี๊ด

เฉียวเวยโบกมีดในมือ “แม่นาง ข้ากำลังหั่นผักอยู่นะ ไม่กลัวจะเจ็บตัวหรือไร”

ยอดหญิงงามเหลือบมองมีดในมือเฉียวเวยแล้วหัวเราะหึๆ “มีดเล่มเล็กแค่นั้น เอาไว้ตัดเล็บกระมัง”

ตัวหลัวหมิงจูเห็นยอดหญิงงามที่นั่งแทะเมล็ดอยู่ด้านหนึ่ง ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวคือช่างเป็นชาวนาที่บึกบึนเหลือเกิน ไม่เสียแรงที่ลงที่นาไปทำงานทุกวัน แข็งแรงกว่าสตรีในเมืองหลวงมากนัก!

ตัวหลัวหมิงจูรีบดึงสายตากลับแล้วมองไปทางเฉียวเวย “พี่เฉียว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

เฉียวเวยถามว่า “เกิดเรื่องกับบ้านเจ้า หรือว่าเกิดเรื่องกับบ้านข้า”

“บ้านข้า”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “บ้านเจ้าเกิดเรื่อง แล้วเหตุใดถึงมาหาข้าเล่า”

ตัวหลัวหมิงจูเอ่ยด้วยความร้อนใจว่า “ข้า…ข้าก็อยากมาเล่าให้เจ้าฟังน่ะสิ!”

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจากอาการเมาสุรา แล้วองค์ชายรองร้องแร่บอกจะยกเลิกการหมั้นหมายเป็นต้นมา ตัวหลัวหมิงจูก็เลื่อมใสเฉียวเวยมากจนแทบอยากจะลงไปคารวะให้ติดพื้น ไม่เพียงซาบซึ้งในตัวนาง แต่ยังชอบนางมาก ไม่ว่าจะทำอะไรมักคิดถึงนางเป็นคนแรก ครั้งนี้ก็เหมือนกัน พอเกิดเรื่องที่บ้าน นางก็นั่งไม่ติด ไปหาหลี่อวี้เพื่อถามที่อยู่ของเฉียวเวย แล้วรีบมาทันที

เฉียวเวยหั่นผักของตนต่อไปเรื่อยๆ แม่สาวน้อยเอ๋ย ข้าสร้างปัญหายากให้เจ้าแล้ว อย่าคิดว่าข้าเป็นองค์กรเพื่อสังคมหรืออะไร ที่ข้าจัดการเรื่ององค์ชายซยงหนูให้ไม่ใช่เพื่อช่วยเจ้า แต่เพื่อแกล้งเฉียวอวี้ซีต่างหาก

ตัวหลัวหมิงจูกะพริบตาปริบๆ พลางเอ่ยว่า “พี่เฉียว เจ้ารู้จักพี่เขยของข้ากระมัง”

รู้สิ ท่านยิ่นอ๋องอย่างไร

เฉียวเวยเหลือบไปมองยอดหญิงงามที่อยู่ฝั่งตรงข้าม นางกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ทันคิดสักนิดว่าพี่เขยที่เด็กสาวคนนี้เอ่ยถึงคืออาหลี่ว์ต๋าแห่งต้าเหลียงที่มีบุตรด้วยกันกับนางสามคน

เฉียวเวยหันไปส่งสายตาให้ตัวหลัวหมิงจู ถ้าไม่อยากตายก็หยุดพูดเดี๋ยวนี้

ตัวหลัวหมิงจูซื่อบื้อไม่ทันได้มอง พูดต่อไปว่า “ที่บ้านพี่เขยข้าจู่ๆ ก็มีสตรีที่โหดร้ายโผล่มา/บ้าพลัง! ไม่เพียงกักบริเวณพี่เขยข้า แต่ยังจัดการองครักษ์ของพี่เขยขาจนล้มกันระเนระนาดไปหมด! นางยังจะบังคับให้พี่เขยข้าแต่งงานกับนางด้วย! พี่เขยข้ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว เหตุใดจะต้องไปแต่งงานกับนางอีก นางก็อาศัยว่าตนคลอดบุตรมาสามคนแล้วดีกมาหรือไร หรือว่าพี่สาวข้าจะคลอดไม่ได้อย่างนั่นหรือ พี่สาวข้าสวยเพียงนั้น เด็กที่เกิดจากนางจะต้องงดงามไม่เป็นรองใครแน่นอน จะสู้เด็กที่เกิดจากยัยโหดเหี้ยมคนนั้นไม่ได้เชียวหรือ!”

ยอดหญิงงามที่แทะเมล็ดทานตะวันอยู่พลันชะงัก สายตาประหลาดมองไปทางตัวหลัวหมิงจู

เฉียวเวยก่ายหน้าผาก ไปกันใหญ่แล้วแม่นางเอ้ย

ตัวหลัวหมิงจูถูกสายตาที่ไม่มีปิดบังสักนิดของยอดหญิงงาม มองจนทำตัวไม่ถูกไปหมด คิ้วเรียวพลันขมวด หันไปเบิกตามองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ “เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดถึงเอาแต่มองข้าอยู่นั่น”

ยอดหญิงงามหัวเราะหึหึ “ขอโทษทีนะ ข้าก็คือหญิงเหี้ยมผู้นั้นเอง”

ตัวหลัวหมิงจู “…”

ตัวหลัวหมิงจูเกินในจวนแม่ทัพ โตในจวนแม่ทัพ เกิดมาไม่เคยกลัวใครทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นนางจะขึ้นชื่อว่าเป็นแม่นางน้อยอารมณ์ร้อนเสียด้วย ไม่ต้องทำอะไรก็เดือดเองได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้เจอศัตรูหัวใจของพี่เขยของนางเช่นนี้เลย เรียกได้ว่าความอดทนเป็นศูนย์ทีเดียว

ตัวหลัวหมิงจูมีเรื่องลงไม้ลงมือกับยอดหญิงงาม ผลสุดท้ายแน่นอนว่าตัวหลัวหมิงจูเป็นฝ่ายถูกตีจนสะบักสะบอม

เฉียวเวยไม่มีพื้นที่ให้ห้ามปรามเลยด้วยซ้ำ เพราะเป็นตัวหลัวหมิงจูที่ยกชามซีอิ้วราดตัวยอดหญิงงามก่อน

เฉียวเวยปวดใจไปหมด ทุกอย่างแลกมาด้วยหยาดเหงื่อรู้หรือไม่ นี่บังอาจมาเทซีอิ้วของนางจนหกหมด จะถูกตีก็ควรแล้ว!

ตัวหลัวหมิงจูกลับจวนแม่ทัพไปพร้อมหน้าบวมจมูกเขียว

บุตรสาวที่รักถูกทำร้าย ไม่ต้องบอกเลยว่าแม่ทัพตัวหลัวจะเดือดดาลเพียงใด รีบบุกไปถึงจวนยิ่นอ๋องทันที

ท่านอ๋องท่านอ๋องอะไรกันไม่เรียกแล้ว ตะโกนก้องว่า “หลี่ยิ่น เจ้าไสหัวมาหาข้าเดี๋ยวนี้” ป้ายหน้าจวนยิ่นอ๋องที่อุตส่าห์เอาขึ้นไปแขวนขึ้นใหม่ได้ ถูกสะเทือนจนหล่นลงมาอีกครั้ง

ยิ่นอ๋องก็อยากจะไส่หัวออกไปเหมือนกัน แต่เขาถูกเจ้าเด็กสามคนดึงทึ้งไว้จนไปไหนไม่ได้ ชีวิตพ่อบ้านนี้ช่างรันทดเหลือหลาย อย่าว่าแต่ประตูใหญ่จวนอ๋องเลย แม้แต่ประตูเรือนก็ยังออกไปไม่ได้

เขาแกล้งทำเป็นหลับก็แล้ว แต่พอเขานอนลงบนเตียง ก็เห็นเด็กคนที่หนึ่ง สอง สามปีนขึ้นเตียงเขามาเบียดกันอยู่ในผ้าห่ม

เขาสั่งให้ขันทีหลิวทำขนมมาเต็มโต๊ะใหญ่ เดิมทีคิดว่าพอมีอะไรให้กิน พวกนางจะลืม “บิดาอย่างเขาไปเสีย แต่ใครจะรู้ว่าพวกเด็กทั้งสามกลับเอาช้อนมารุมจ่อที่ปากจะป้อนเขา

เขาตัดสินจะไปทำธุระส่วนตัว!

แต่แม้แต่ไปเข้าเพิงสุขา เจ้าเด็กทั้งสามก็ยังจะตามไปด้วย!