บทที่ 646 ล่องเรือเสร็จสิ้น

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 646 ล่องเรือเสร็จสิ้น

บทที่ 646 ล่องเรือเสร็จสิ้น

เมื่อล่องเรือเสร็จ หลินจื้อและไป๋หรูปิงก็กลับมาถึงจุดขึ้นฝั่งอีกครั้ง คุณหนูคนอื่นต่างกลับไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงแต่คุณหนูชุดสีฟ้าเมื่อครู่ผู้นั้นที่ยังอยู่ ดูเหมือนว่าถ้าไม่เจอหลินจื้อก็จะไม่ยอมแพ้

หลังจากประคองไป๋หรูปิงลงจากเรืออย่างระมัดระวังแล้ว หลินจื้อก็วางใจ

แต่ดูเหมือนคุณหนูชุดสีฟ้าผู้นั้นจะไม่พอใจเอามาก ๆ จนเดินเข้ามาตรงหน้าหลินจื้อภายใต้การประคองของสาวใช้ ขวางทางไป๋หรูปิงและหลินจื้อไว้

“คุณหนู ท่านคือ…”

“เจ้ากับเขาเป็นอะไรกัน?” คุณหนูชุดสีฟ้าเชิดหน้าถาม ด้วยท่าทางหยิ่งผยองเต็มที่

“เขาคือศิษย์พี่ของข้า”

“ในเมื่อมีความสัมพันธ์เป็นแค่ศิษย์พี่และศิษย์น้องกัน ก็อย่าออกมาด้วยกัน เช่นนั้นจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด”

“หมายความว่าอย่างไร?”

เพราะความสัมพันธ์ในครอบครัว คุณหนูที่เคยติดต่อสัมพันธ์กับตนมาตลอดล้วนแต่มีมารยาและใจกว้างทั้งสิ้น ไป๋หรูปิงจึงไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน

“หมายความว่าข้าชอบเขา ถ้าเจ้าเข้าใจแล้วก็เชิญกลับไปคนเดียว ข้าจะจ้างรถม้าไปส่งเจ้าเอง ส่วนคุณชายท่านนี้ ข้าอยากพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว ข้าพูดชัดเจนเช่นนี้แล้ว เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

ไป๋หรูปิงคาดไม่ถึงว่าคุณหนูตัวน้อยตรงหน้าผู้นี้จะกล้าหาญเพียงนี้ จึงอดหันไปมองหลินจื้อไม่ได้ ความหมายที่สะท้อนทางแววตาคู่นั้นพอเข้าใจได้อย่างชัดเจน ว่าการที่เขาหน้าตาดีก็มีความผิดไปแล้วหนึ่งกระทง

“ไม่ทราบว่าคุณหนูท่านนี้เป็นบุตรีของจวนขุนนางท่านไหน?” ครั้นหลินจื้อเห็นท่าทางหยิ่งผยองของหนูชุดสีฟ้า ก็ไม่ได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด หากแต่เอ่ยถามอย่างสุภาพ

“ข้าเป็นคุณหนูจากจวนใต้เท้าฝ่ายตรวจการทั่วไป ถ้าเจ้าไปกับข้า เชื่อเลยว่าท่านพ่อจะต้องไม่ว่าสิ่งใด ถึงอย่างไรเขาก็อยากได้ลูกเขยที่มีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่แล้ว”

“แต่ข้าไม่ได้ชอบคุณหนู เหตุใดจะต้องไปกับคุณหนูด้วยเล่า”

“ไม่ชอบ ข้าก็ไม่ได้บังคับ นานวันเข้าเดี๋ยวก็ชินไปเอง” คุณหนูชุดสีฟ้าดูเหมือนจะขบขันกับวาจาของหลินจื้ออยู่มากโข

คำว่าชอบคำนี้ เดิมทีมันเป็นเพียงมายา ไฉนเลยจะจับต้องได้จริง

“ต้องขอประทานอภัยด้วย คุณหนูของใต้เท้าฝ่ายตรวจการทั่วไปใช่หรือไม่? เมื่อครู่ข้าลืมบอกไป นอกจากเขาจะเป็นศิษย์พี่ของข้าแล้ว เขายังเป็นสามีในอนาคตของข้าอีกด้วย เราสองคนได้หมั้นหมายกันภายใต้การเห็นด้วยของทั้งสองตระกูลแล้ว”

หลินจื้อกำลังจะพูดบางอย่าง แต่ถูกไป๋หรูปิงตัดบทไปเสียก่อน

แต่เหตุการณ์ต่อจากนั้นกลับทำให้เขาประหลาดใจ เขาไม่เคยเห็นท่าทางของศิษย์น้องเช่นนี้มาก่อน เหมือนสุนัขหวงก้างอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขาเหนือความคาดหมายมาก

“เจ้าเป็นใคร?” คุณหนูชุดสีฟ้ามองไป๋หรูปิง ด้วยสีหน้าที่แย่กว่าเมื่อครู่ นางคาดไม่ถึงว่าสองคนตรงหน้าจะหมั้นหมายกันแล้ว

แต่แล้วอย่างไร ตราบใดที่ทั้งสองคนยังไม่แต่งงานกัน นั่นก็เท่ากับว่านางยังมีโอกาส

“นางเป็นใครไม่สำคัญ เพราะนางคือคนในหัวใจของข้า คุณหนู ข้าคิดไม่ถึงว่าการอบรมสั่งสอนมารยาทของตระกูลใต้เท้าฝ่ายตรวจการจะหละหลวมเพียงนี้ ดูท่าแล้วหากข้ามีเวลา คงต้องเชิญใต้เท้าฝ่ายตรวจการมาอบรมบ่มเพาะเสียหน่อยว่าควรสั่งสอนลูกหลานรุ่นหลังอย่างไร”

ใบหน้าของหลินจื้อแสดงออกอย่างมั่นใจ ถ้าคนอื่นเขาไม่มีทางล่วงเกินแน่

แต่ใต้เท้าฝ่ายตรวจการ เห็นได้ชัดว่าความผิดพลาดในช่วงก่อนหน้านั้นยังไม่ได้รับการแก้ไข ตอนนี้หากเพิ่มบทลงโทษฐานไร้ความสามารถในการสั่งสอนบุตรอีกหนึ่งกระทง เกรงว่าคงต้องแบกรับผลที่ตามมาไม่หวาดไม่ไหวแน่ ถ้าสตรีตรงหน้าผู้นี้ไม่เข้าใจอีก เขาสามารถสาดเกลือใส่บาดแผลของนางให้เจ็บช้ำไปอีกเท่าตัวโดยไม่ใส่ใจใยดีได้

“เจ้า…เจ้าเป็นใครกัน?” ครั้นได้ยินคำพูดขของหลินจื้อ คุณหนูชุดสีฟ้าผู้นั้นก็กระวนกระวายใจขึ้นมา

ปกติแล้วยามที่นางประกาศนามของผู้เป็นพ่อข้างนอกมักไม่มีใครกล้าต่อต้านนาง ถึงกระนั้นพ่อของตนก็มีสิทธิ์ตักเตือน

แต่วันนี้ นางเจอดีเข้าเสียแล้ว ไฉนเลยหลินจื้อจะเกรงกลัวฝ่ายตรวจการ

“ข้าเป็นใครนะหรือ? เกรงว่าคุณหนูคงจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ข้าจะบอกคุณหนูแล้วกันว่า บิดาของข้าคือท่านแม่ทัพหลินเหรา ส่วนข้า แม้ว่าจะไม่ได้โดดเด่นเหมือนท่านพ่อ แต่ตอนนี้ก็ข้ารับหน้าที่ดูแลสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ดังนั้นคุณหนูหลีกทางได้หรือยังขอรับ?”

อารมณ์ของหลินจื้อในตอนนี้ไม่ดีนัก กว่าจะได้ออกมาเที่ยวเล่นที่ทะเลสาบกับศิษย์น้องไม่ใช่เรื่องง่าย ใครเลยจะรู้ว่าจะต้องมาเจอกับคนที่ขัดหูขัดตาเช่นนี้

ท่าทางหยิ่งผยองดูหมิ่นผู้น้อยนี้ ช่างน่าสะอิดสะเอียนมาก กล่าวจบก็จูงมือไป๋หรูปิงจากไป

คุณหนูชุดสีฟ้าคาดไม่ถึงว่าคนที่ตัวเองชมชอบ จะเป็นผู้ที่ตนไม่ควรล่วงเกิน นี่ถือว่าเป็นหายนะครั้งใหญ่ ไม่รู้กลับไปแล้วตนจะถูกบิดาดุด่ากว่ากล่าวอย่างไรบ้าง

ในตอนที่หลินจื้อจากไป นางก็ยังไม่ได้สติกลับมา ยังคงจ้องเขม็งไปยังหลินจื้อและไป๋หรูปิงที่จากไป

“คุณหนู….” สาวใช้อยากจะพูดบางอย่าง ปกติแล้วคุณหนูมักทำตัวหยิ่งจนเคยตัว นายท่านก็ตามใจ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ

ตอนนี้นางได้ล่วงเกินขุนนางชั้นสูงเข้า ไม่รู้ว่าคุณหนูจะได้รับโทษจากนายท่านอย่างไรบ้าง

“เรื่องในวันนี้ ห้ามให้ท่านพ่อรู้เด็ดขาด เจ้าเข้าใจหรือไม่?” ดูเหมือนจะเพิ่งนึกถึงความสำคัญของเรื่องได้ คุณหนูชุดสีฟ้าจึงได้เอ่ยเตือนสาวใช้ด้วยเสียงทุ้มต่ำ รีบประจบประแจงตั้งแต่แรก

“เจ้าค่ะ”

“กลับจวนเถอะ มัวรออะไรอยู่” หลังจากพูดจบ คุณหนูชุดสีฟ้าก็พาสาวใช้เดินจากไปอย่างขุ่นมัว

อีกด้านหนึ่ง ไป๋หรูปิงไม่มีกระจิตกระใจจะนึกถึงเรื่องของคุณหนูชุดสีฟ้าเมื่อครู่ เพราะความสนใจของตัวเองได้ถูกมือของศิษย์พี่ที่กำลังจูงมือของตนดึงไปหมดแล้ว

เหตุใดศิษย์พี่ถึงได้จูงมือของนางอย่างไม่สะทกสะท้านเช่นนี้? บางครั้งนางก็รู้สึกว่าการได้เข้าใกล้ศิษย์มักทำให้หัวใจของนางเต้นแรงทุกครั้ง

หลังจากเดินมาถึงถนน หลินจื้อก็ปล่อยมือของไป๋หรูปิง ถึงอย่างไรศิษย์น้องก็เป็นสตรี เขาจะทำลายชื่อเสียงของศิษย์น้องให้มัวหมองก่อนแต่งงานไม่ได้ การชื่นชอบคนคนหนึ่งต้องคิดไตร่ตรองถึงนางด้วย

ผู้คนบนถนนพลุกพล่านไปมา เสียงเอ็ดตะโรดังกึกก้องอย่างไม่ขาดสาย ในระหว่างที่เดินนั้น นางมักรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่

แม้ว่าไป๋หรูปิงจะออกไปข้างนอกบ่อย แต่ก็ไป ๆ กลับ ๆ แค่ร้านหยกอวี้ฝูและเรือนพักพิงเท่านั้น น้อยมากที่จะมีเวลาได้เดินเล่นเอื่อยเฉื่อยอยู่บนถนนอย่างในวันนี้ ยิ่งไปกว่านั้นข้างกายของนางก็ยังมีคนที่ตนชื่นชอบ ความรู้สึกที่ปะทุอยู่ในใจจึงย่อมแตกต่าง

ขณะที่กำลังครุ่นคิดนั้น ก็ได้หันไปมองหลินจื้อที่อยู่ข้างกายที่แสดงท่าทางเหมือนกลั้นหัวเราะไม่ได้

“ศิษย์พี่หัวเราะอะไรเจ้าคะ?”

“ไม่มีอะไร ข้าแค่ไม่เคยเห็นศิษย์น้องปกป้องใครมาก่อน ช่างน่ารักยิ่งรัก” กล่าวพลางนึกถึงท่าทางที่ไป๋หรูปิงต่อกรกับสตรีผู้นั้นอย่างไม่ลดละเมื่อครู่ ช่างแตกต่างจากนางในวันปกติมากโข

“ศิษย์พี่ไม่โกรธข้าใช่ไหม?”

“เหตุใดถึงพูดเช่นนี้?”

“ในบรรดาตระกูลขุนนางชั้นสูง จวนหลังของตระกูลไหน ๆ ก็ต้องมีภรรยาเอกและอนุภรรยา อย่างน้อยก็ต้องมีอนุภรรยาสองคน แต่ครั้นเห็นคุณหนูเมื่อครู่ผู้นั้นมีใจให้ศิษย์พี่ก็ทนไม่ได้ ทำไมจะต้องทนให้สตรีนางอื่นอยู่กับศิษย์พี่ด้วย ข้ารู้ดีว่าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง แต่ข้าไม่มีทางจำนนให้ตัวเองแน่นอน ศิษย์พี่คิดว่าข้าเป็นสตรีที่ไม่รู้ความหรือไม่?”

ไป๋หรูปิงพูดความจริงเพราะนางสัมผัสได้ ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อถึงตาตัวเองจึงได้รู้ถึงความยากเย็นแสนเข็ญ

เห็นได้ชัดว่าตนชื่นชอบว่าที่สามีในอนาคตเพียงนั้น แต่ทำไมจะต้องทนเห็นสตรีนางอื่นไปเสพสุขกับสามีของตัวเองด้วย สตรีเช่นนี้น่าเก็บไว้ข้างกายหรือ? ถึงอย่างไรนางก็ทำไม่ได้

ไป๋หรูปิงจึงอดนึกถึงหลินซือไม่ได้ เคยได้ยินอาซือพูดว่า เจี่ยงเถิงสัญญาณกับนาง ว่าจะมีนางเพียงคนเดียว สตรีนางอื่นไม่เคยอยู่ในสายตาของเจี่ยงเถิง ต้องพูดว่า นางอิจฉายิ่งนัก