ภาค 4 ตอนที่ 21 ไม่บังเอิญไม่สำเร็จ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

“เจ้าว่าอะไรนะ? กองทหารประจำการที่ฉางเฟิงของกองทหารซุ่นอันเมืองเหอจียนเคลื่อนพลแล้ว?”

เจียงเฉิงหัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันของเซินโจวประหลาดใจยิ่ง

“พวกเขาก็ถอนกำลังแล้วหรือ?” ทหารยามที่เดินทางมาแจ้งข่าวส่ายศีรษะ

“ไม่ใช่ขอรับ พวกเขาเดินทางไปป้าโจวแล้ว” เขาเอ่ย

ป้าโจว!

เจียงเฉิงกระโดดลุกจากเก้าอี้

“คนเมืองเหอเจียนบ้าไปแล้วรึ?” เขาตะโกน

แต่ไม่นานเขาก็รู้ว่าคนเมืองเหอเจียนไม่ได้บ้า นอกจากนี้ยังเอาความดีความชอบในสงครามมาได้แล้ว สังหารโจรจินสองร้อยกว่าคนยึดชุดเกราะมาได้จำนวนมาก

“นี่กินดีหมีหัวใจเสือมารึ?” หัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันเจียงตกตะลึงไม่คลาย

“ไม่ใช่กินดีหมีหัวใจเสือแต่เป็นท่านหญิงเฉิงกั๋วมา” แม่ทัพหลายคนนำข่าวที่ละเอียดกว่าเร่งเดินทางมาทั้งคืน

ได้ยินว่าท่านหญิงเฉิงกั๋วให้ทำเช่นนี้ หัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันเจียงก็สีหน้าปั้นยากเงียบงันไปพักหนึ่ง

เซินโจวอยู่ติดกับเป่าโจว กองทหารหย่งหนิงส่วนหนึ่งที่เดิมทีอยู่ที่เป่าโจวเวลานี้ก็ถอนกำลังมาที่นี่

ท่านหญิงเฉิงกั๋วเรียกให้กองทหารซุ่นอันเคลื่อนกำลัง ย่อมจะต้องมาขอกองทหารหย่งหนิงด้วยแน่นอน

“เหตุผลก็คือรับประชาชนสามเมืองกลับมารึ?” หัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันเจียงเอ่ยถาม

แม่ทัพทั้งหลายพยักหน้า

“ก็สมเหตุสมผล ทำเช่นนี้ไม่นับว่าขัดพระบัญชาจริงๆ” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยสีหน้าติดจะฮึกเหิมอยู่บ้าง “ใต้เท้า ถ้าอย่างนั้นพวกเรา…”

สละเหอซานที่เฝ้ารักษามานานปี สำหรับแม่ทัพเหล่านี้แล้วอัปยศจริงๆ

จนปัญญาด้วยราชโองการของฮ่องเต้ยากขัด

“ไม่นับว่าขัดพระบัญชารึ?” หัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันเจียงเสียงเข้มเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทให้เฉิงกั๋วกงถอนทหาร เขาไม่เพียงไม่ถอน กลับส่งทหารมาที่นี่”

“ไม่ไม่” แม่ทัพคนหนึ่งรีบเอ่ย “ได้ยินว่าไม่ใช่ทหารของเฉิงกั๋วกง”

“กำลังรบที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่ใช่ทหารของเฉิงกั๋วกงแล้วเป็นอะไร?” หัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันเจียงเอ่ย “เฉิงกั๋วกงไม่เคยมีข้ารับใช้ในตระกูล นี่ทุกคนล้วนรู้กันทั่ว”

หากบอกว่าเป็นทหารของเขา นี่ย่อมเป็นความผิด หากบอกว่าเป็นข้ารับใช้ในตระกูล นี่ยิ่งเป็นโทษหลอกลวงเบื้องสูง ถึงขั้นถูกโยนโทษเลี้ยงกองกำลังส่วนตัวใส่หัว

ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาเชื่อฟังเคลื่อนกำลังไปทำเรื่องนี้ย่อมหนีโทษไปไม่พ้น

ในโถงที่ทำการขุนนางตกอยู่ในความเงียบพักหนึ่ง

ส่วนเถียนเหยาซึ่งอยู่ที่เมืองฉางเฟิงก็เงียบงันเช่นกัน

“ท่านหญิงสิ่งที่ท่านพูดล้วนถูกต้อง” ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากแล้วมองไปทางคุณหนูจวิน “กองทหารชิงซานของคุณหนูจวินร้ายกาจนัก ไม่ว่าด้วยมโนธรรมหรือหลักเหตุผลหรือความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เรื่องนี้พวกเราทำได้”

นายหญิงอวี้มองเขา

“แต่อะไร?” นางเอ่ยถาม

“แต่ท่านหญิงต้องบอกให้ชัดเจนว่ากองทหารชิงซานนี่ที่แท้เป็นใคร?” เถียนเหยาเอ่ยขึ้น

“ก็บอกชัดเจนแล้วนี่” คุณหนูจวินเอ่ย “นี่เป็นคนของข้า พวกเราเป็นชาวนา พวกเราไม่ใช่กองกำลังของเฉิงกั๋วกง เพียงแค่สบโอกาสมาช่วยเหลือเท่านั้น”

เถียนเหยามองนาง

“ถ้าอย่างนั้นคุณหนู ท่านเป็นใคร?” เขาเอ่ยถาม “ทำไมจะต้องมาช่วย?”

“นี่มีอะไรให้ถามทำไม” คุณหนูจวินขมวดคิ้ว “เรื่องนี้…”

นางกำลังจะบอกว่าเรื่องเช่นนี้ประชาชนต้าโจวทุกคนล้วนต้องก้าวออกมา แต่นายหญิงอวี้ยิ้มขัดคำพูดของนาง

“เอาล่ะ ไม่ปิดบังใต้เท้าเถียน” นางเอ่ย “คุณหนูจวินคนนี้เป็นลูกสะใภ้ที่ยังไม่แต่งเข้าตระกูลจูของข้าเอง”

ฮะ?

คนที่อยู่ที่นั่นล้วนตะลึงไปแล้ว

ลูกสะใภ้?

“ใช่แล้ว คู่หมั้นของจูจั้นลูกชายข้า” นายหญิงอวี้เอ่ยต่อ “เดิมทีนางทำนาอยู่ที่บ้าน ได้ยินว่าสถานการณ์ทางนี้ตึงเครียด ข้าต้องการมาเมืองเหอเจียน เฉิงกั๋วกงไม่อาจผละตนมาดูแลข้าได้ ดังนั้นนางจึงพาคนหมู่บ้านเดียวกันของนางเดินทางมาเป็นเพื่อนข้าที่นี่เที่ยวหนึ่ง”

ทำนาจริงๆ ด้วยรึ? แล้วยังเป็นหมู่บ้านเดียวกัน

ผู้คนในห้องโถงมองไปทางคุณหนูจวิน สีหน้าเปลี่ยนกลายเป็นแปลกพิกล

สีหน้าของคุณหนูจวินก็พิกลอยู่บ้าง นางมองนายหญิงอวี้ อยากพูดแต่ก็หยุดไป

“ไม่ต้องเขินหรอก นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร” นายหญิงอวี้มองนางแล้วเอ่ยขึ้น

นี่ไม่ใช่เรื่องเขินไม่เขิน คุณหนูจวินอยากหัวเราะอยู่บ้าง

เรื่องราวพูดจนกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?

แต่นางย่อมไม่มีทางแย้งนายหญิงอวี้

“ดังนั้นพวกท่านวางใจ กองทหารชิงซานนี้ไม่ใช่ทหารของต้าโจวจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่กองกำลังส่วนตัว ข้ารับใช้ในตระกูลของจวนเฉิงกั๋วกงเราด้วย” นายหญิงอวี้เอ่ย “นี่เป็นเพียงชาวนาผู้เช่าที่ซึ่งเป็นเครือญาติของพวกเราเท่านั้น ประเทศประสบภัยอยู่ ทุกคนล้วนมีความรับผิดชอบ ดังนั้นจึงวางจอบติดตามมาช่วยเหลือแล้ว”

ชาวนาผู้เช่าที่อีก

นี่ไหวไม่ไหวฮะ?

ก่อนหน้านี้นางบอกว่าตนเองเป็นชาวนา แต่นางแค่พูดเฉยๆ คนเหล่านี้แน่นอนย่อมไม่เชื่อสักนิด

คุณหนูจวินครุ่นคิดนิดหนึ่ง อย่างไรก็บอกฐานะจวินจิ่วหลิงของตนเองออกมาคงน่าเชื่อกว่ากระมัง

นางเพิ่งกำลังจะเอ่ยปาก กลับเห็นบรรดาแม่ทัพด้านในโถงที่ทำการขุนนางเผยรอยยิ้ม

“ที่แท้ก็ภรรยาของท่านชายนี่เอง”

“ถึงกับหมั้นแล้วรึ? พวกเรายังไม่รู้กันเลย”

“นี่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งจริงๆ”

“วันแต่งงานกำหนดไว้เมื่อไรหรือขอรับ?”

“จริงๆ เลย ล้วนโทษโจรจินน่าตายนี่เลยไม่ได้ฉลองให้ท่านชายสักหน่อย”

พวกเขาพากันเอ่ยขึ้น

กระทั่งเถียนเหยาก็แย้มรอยยิ้มด้วย เขามองคุณหนูจวินพลางพยักหน้า

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เขาเอ่ย ไม่ขี้เหนียวความชื่นชมในดวงตาสักนิด “กล้าหาญเช่นเดียวกับท่านชายจริงๆ”

นี่คือ เชื่อแล้ว? คุณหนูจวินกลับประหลาดใจยิ่ง

หรือเพราะนายหญิงอวี้พูด? ดังนั้นพวกเขาเลยเชื่อ?

คุณหนูจวินครุ่นคิดนิดหนึ่งก็ทำท่าเขินอายถอยไปอยู่ข้างหลังนายหญิงอวี้

“โบราณว่าบิดาบุตรร่วมออกศึก คิดไม่ถึงลูกสะใภ้ก็ออกศึกด้วยได้” เถียนเหยามองนายหญิงอวี้ ใจหายยิ่งเอ่ยขึ้นมา “ไม่ใช่คนพวกเดียวกัน ไม่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันจริงๆ นะขอรับ”

“ตระกูลลูกสะใภ้คนนี้ของข้าก็ฝักใฝ่ทางยุทธ์เช่นกัน” นางหญิงอวี้ก็ไม่ปฏิเสธพยักหน้าเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้…”

เถียนเหยาไม่รอนายหญิงอวี้เอ่ยจบก็ประสานมือคารวะ

“ท่านหญิง” เขาสีหน้าขึงขัง “กระทั่งชาวนาในชนบทยังไปต่อต้านโจรจินปกป้องประชาชนต้าโจวของเราได้ หากพวกเรายังนั่งนิ่งอยู่ในเมืองนี้ก็อับอายจริงๆ แล้ว ตายไปเสียเลยเถอะ”

พูดจบก็หมุนตัวมองผู้คนด้านในโถง

“ก็เหมือนที่ท่านหญิงพูด หยุดรบเจรจาสงบศึกกับชาวจิน สิ่งที่จะยกให้คือแผ่นดินสามเมืองแต่ไม่ใช่ประชาชนหลายสิบหมื่นของต้าโจวเรา พวกเราล้วนเป็นสหายร่วมชาติเลือดเนื้อผูกพันกัน วันนี้สหายร่วมชาติถูกขังอย่ พวกเราเห็นคนตายไม่ช่วยได้รึ?”

“ไม่ได้!” ผู้คนในห้องโถงตะโกนเสีงพร้อมเพรียง

“พวกเรามองดูเพื่อนร่วมชาติถูกชาวจินเอาเป็นทาสเป็นวัวม้าได้รึ?” เถียนเหยาตะเบ็งเสียงตวาด

“ไม่ได้!” แม่ทัพทั้งหลายก็ตะเบ็งเสียงตะโกนด้วย

เถียนเหยาหมุนกายมองนายหญิงอวี้

“ท่านหญิง” เขาเอ่ยพลางยื่นมือทำท่าเชิญ

นายหญิงอวี้มองดูผู้คนด้านในโถง

“ไปเถอะ รับพี่น้องสหายร่วมมาตุภูมิทั้งหลายกลับมา” นางเอ่ย “ให้พวกโจรจินรู้ แม้พวกเรายกแผ่นดินให้ แต่หาได้กลัวพวกเขาไม่ สัญญาสงบศึกยังไม่ออกมาวันหนึ่ง ป้าโจวก็ยังเป็นแผ่นดินของต้าโจวเราวันหนึ่ง บนแผ่นดินของพวกเราเอง พวกเราไม่เกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น กล้าขัดขวางทำร้ายประชาชนต้าโจวของพวกเรา”

นางยกมือขึ้น สะบัดทีหนึ่ง

“สังหารไม่เว้น!”

สังหาร ก็รอวันนี้อยู่แล้ว บรรดาแม่ทัพที่อัปยศมานานเหล่านั้นเพลิงโทสะลุกโชติช่วง

บรรดาแม่ทัพทั้งหลายในห้องโถงพากันยกมือขึ้น

“สังหาร!” พวกเขาคำรามเสียงพร้อมเพรียง

……………………………………….

เสียงกลองถี่รัวดังก้องเมืองฉางเฟิง ในเวลาเดียวกันก็มีนายทหารกองแล้วกองเล่ามุ่งไปนอกเมือง บนกำแพงเมืองสัญญาณไฟรวมพลของเมืองเหอเจียนจุดขึ้นมา

จ้าวฮั่นชิงที่ยืนอยู่นอกจวนที่ทำการขุนนางมองดูนายทหารวิ่งผ่านบนท้องถนนก็เกาจมูกผ่านผ้าปิดหน้า

“เจ้าพวกนี้ในที่สุดก็ดูเข้าท่าแล้ว” นางเอ่ยกับตนเอง “ทำไมอยูดีๆ เก่งกล้าขึ้นมาแล้วเล่า?”

“…ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องสงสัยแล้ว….”

“….ที่แท้ไม่ใช่กองกำลังส่วนตัวจริงๆ แต่เป็นกำลังพลของตระกูลลูกสะใภ้…”

“…นี่ก็คือบุตรสืบทอดบิดา..ทำตามขนบจริงๆ…”

“…ครั้งนั้นเฉิงกั๋วกงตบแต่งภรรยาโจร บุตรชายก็จะแต่งภรรยาโจรคนหนึ่งเหมือนกัน…”

“…อย่าพูดไม่น่าฟังปานนั้นสิ ผู้อื่นเป็นชาวนาหรอก…”

“…ใครเชื่อเล่า…เป็นโจรชัดๆ …แม้บ้านโอ่อ่ากิจการใหญ่โตซื้อที่มีคฤหาสถ์แสร้งเป็นชาวบ้านคนดี…”

จ้าวฮั่นชิงแม้ฟังไม่เข้าใจ แต่ได้ยินคำว่าโจรคำหนึ่ง ดวงตาฉับพลันวาววับ

“โจรอะไร?” นางเอ่ยถาม

ขุนนางหลายคนที่เดินออกมาเห็นเด็กสาวที่โผล่ออกมากะทันหันก็ตกใจสะดุ้งโหยง

แน่นอนไม่ได้ถูกรูปลักษณ์ที่ปิดหน้าปิดตานี่ทำให้ตกใจกลัว แต่ถูกตัวเด็กสาวคนนี้ทำให้ตกใจกลัว

พวกเขาย่อมรู้ว่าเด็กสาวคนนี้ร้ายกาจยิ่งนัก ร้อยก้าวยิงศรทะลุใบหลิว สังหารคนตาไม่กะพริบ

“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” บรรดาขุนนางฝ่ายพลเรือนทั้งหลายรีบร้อนโบกมือเอ่ย “พวกเราพูดถึงคนอื่นน่ะ”

พูดจบก็รีบเร่งวิ่งออกไปแล้ว

“ที่ไหนมีโจร?” จ้าวฮั่นชิงขมวดคิ้วเอ่ยถาม “พูดออกมาสิจะได้ไปกวาดล้างพวกเขา โจรมีอะไรน่ากลัวกัน”

……………………………………….

คนในห้องโถงที่ทำการขุนนางล้วนถอยออกไป มีเพียงนายหญิงอวี้กับคุณหนูจวินอยู่สองคน

คุณหนูจวินมองนายหญิงอวี้ด้วยสีหน้าพิกลอยู่บ้าง

นายหญิงอวี้รู้ว่านางแปลกใจอะไรอยู่ เป็นใครอยู่ดีๆ ถูกบอกว่าเป็นภรรยาของผู้อื่น ก็คงประหลาดใจเหมือนกัน

นอกจากนี้นางผู้นี้ยังเป็นคุณหนูอายุน้อยที่ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่งอีก

“ขออภัยยิ่งจริงๆ” นายหญิงอวี้ท่าทางขอโทษขอโพยเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าก็ไร้หนทางแล้วเช่นกัน คนเหล่านี้สนใจตัวตนความเป็นมาของพวกท่านเกินไป ชั่วเวลาฉุกละหุกคิดไปคิดมามีเพียงพูดเช่นนี้ถึงอธิบายเรื่องนี้ได้”

พูดถึงตรงนี้ก็ส่ายศีรษะอีกครั้ง

“แน่นอนบอกว่าพวกเจ้าเป็นกองทหารอาสาของชาวบ้านก็ได้ แต่อย่างไรบนโลกนี้ไม่มีเรื่องที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ พูดออกไปไม่สู้มีเหตุส่วนตัวจะโน้มน้าวผู้คนได้มากกว่า”

คุณหนูจวินมองนางแต่ไม่พูดไม่จา สีหน้าบนหน้ายิ่งพิกล

“คุณหนูจวิน ท่านอยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ เรื่องนี้เป็นข้าทำไม่ถูก” นายหญิงอวี้เอ่ย

คุณหนูจวินมองนางแล้วเม้มปาก

“ข้าอยากบอกว่า” นางเอ่ยขึ้น “นี่บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ”