ตอนที่ 187-1 ความวุ่นวายในเทศกาลโคมไฟ

ตอนที่เฉียวเวยตื่น ฝนหยุดไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ท้องฟ้าใสสะอาดยิ่งนัก ปลายใบไม้มีหยดน้ำเกาะ พอแสงอาทิตย์ส่องลงมาก็วาวใสเป็นประกายราวกับกระจก

จีหมิงซิวกลับมาที่บ้านชิงเหลียนในช่วงบ่าย เฉียวเวยได้ยินเยียนเอ๋อร์บอกว่าพอนางหลับไปได้ไม่เท่าไร เขาก็ลุกออกไปประชุมราชการ คิดดูแล้วคงจะเหนื่อยไม่น้อย

เฉียวเวยรินชาถ้วยหนึ่งให้เขา “ท่านไปนอนสักหน่อยเถอะ ไว้อาหารเย็นพร้อมแล้วข้าจะไปเรียกท่าน”

จีหมิงซิวจิบชาไปคำหนึ่ง “วันนี้ไม่กินข้าวที่จวน”

เฉียวเวยอึ้งไป “ท่านมีกินเลี้ยงหรือ”

ที่เพิ่งแต่งงานได้ไม่กี่วันก็เริ่มมีกินเลี้ยงข้างนอกแล้ว ไม่น่ารักเลยนะนายน้อยหมิง

จีหมิงซิวเลิกคิ้วเรียบๆ “แต่งงานยังไม่ทันถึงหนึ่งเดือนก็จะทิ้งภรรยาออกไปกินเลี้ยงเสียแล้ว ในใจภรรยาข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ”

“เช่นนั้นเมื่อกี้ที่ท่านบอกว่าจะไม่กินข้าวที่จวนหมายความว่าอย่างไร แล้วยังจะบอกว่าทิ้งข้าไว้ไม่ได้อีก คงไม่ได้ให้ข้าออกไปด้วยกระมัง…” เฉียวเวยตาพลันเป็นประกาย “ข้าออกไปได้จริงหรือ!”

จีหมิงซิวเห็นแววตาที่แทบจะปล่อยแสงสีเขียวออกมาได้ ก็ทั้งโมโหทั้งขบขัน “ให้เจ้าอุดอู้จนแทบไม่ไหวแล้วจริงๆ สินะ”

ก็ใช่น่ะสิ

นางไม่ใช่คนโบราณมาแต่อ้อนแต่ออกเสียหน่อย นางเคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างอิสระ วันๆ ประตูใหญ่ไม่ให้ออกประตูรองไม่ให้ย่างกรายเช่นนี้ นางใกล้จะเบื่อตายอยู่แล้ว ถึงแม้จะบอกว่าทนให้พ้นเดือนแรกไปก่อน หลังจากนั้นจะเริ่มออกไปไหนมาไหนได้ก็เถอะ แต่ช่วงสามสิบวันนี้ก็ใช่ว่าจะทนได้ง่ายๆ

จีหมิงซิวอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ “ตอนเย็นมีงานเทศกาลโคมไฟ ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่น”

เฉียวเวยถามว่า “เหตุใดถึงมีเทศกาลโคมไฟอีกเล่า”

วันที่เจ็ดเดือนเจ็ดมีเทศกาลโคมไฟ เทศกาลไหว้พระจันทร์มีเทศกาลโคมไฟ ไม่มีเทศกาลอะไรก็มีเทศกาลโคมไฟ เพียงแต่นางยังไม่เคยไปจริงๆ สักครั้ง จะบอกว่าไม่อยากดู ไม่อยากไปคงจะเป็นการโกหก

จีหมิงซิวอมยิ้มเอ่ยว่า “เทศกาลเหวินตั้น[1]ที่จัดขึ้นปีละครั้ง”

เฉียวเวยถามด้วยความสงสัย “เหวินตั้น? ไม่ใช่หยวนตั้น[2]?” ไม่สิ คนโบราณไม่ฉลองวันหยวนตั้น พวกเขาไม่เคยรู้จักวันหยวนตั้นด้วยซ้ำ

“เจ้าหมายถึงซั่งหยวน[3]?” จีหมิงซิวก็งุนงงเล็กน้อยเช่นกัน

เฉียวเวยส่ายหน้า “ซั่งหยวนคือวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ทางพวกข้าเรียกกันว่าเทศกาลหยวนเซียว”

จีหมิงซิวหันไปมองเฉียวเวย “ทางพวกเจ้า? เตียนตู?” ฐานะของท่านแม่ล้วนปรุงแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น ที่บอกว่าเตียนตูอะไรนั่นก็คงอุปโลกน์ขึ้นมาเหมือนกัน

เฉียวเวยเพียงยิ้ม ไม่ได้อธิบายไม่ได้อีก เพียงถามว่า “เทศกาลเหวินตั้นเป็นเทศกาลอะไรอีกหรือ”

จีหมิงซิวเห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ “เป็นเทศกาลที่แพร่มาจากทางหนานฉู่ อธิบายง่ายๆ ก็คือเป็นงานเฉลิมฉลองที่ส้มโอสุกพร้อมเก็บ”

เฉียวเวยตกใจ “เหวินตั้นมาจากหนานฉู่หรือนี่ หากพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าเป็นผลไม้นำเข้าน่ะสิ”

“นำเข้า?” จีหมิงซิวมองนางด้วยสีหน้าประหลาด

เฉียวเวยเลยบอกว่า “ของจากแคว้นอื่นส่งเข้ามาในแคว้นพวกเรา เรียกนำเข้า ของจากแคว้นพวกเราขายไปให้แคว้นอื่น เรียกว่าส่งออก”

จีหมิงซิวอึ้งไป “เจ้าหมายถึงเข้าด่าน ออกด่าน?”

เฉียวเวยตบบ่าเขา “ความหมายประมาณนั้นแหละ!”

จีหมิงซิวดึงมือนางไปจับ “เหวินตั้นมาจากนอกด่านจริงๆ นั่นแหละ”

“เช่นนั้นพวกเราจะออกไปกันอย่างไร เหล่าฮูหยินจะว่าอะไรหรือไม่” เฉียวเวยถามอย่างไม่วางใจ ทุกวันนี้ถึงแม้คนที่ดูแลเรื่องในบ้านจะเป็นสวินหลัน แต่เรื่องในบ้านชิงเหลียน สวินหวันเข้ามายุ่งด้วยไม่มาก กว่าครึ่งยังเป็นเหล่าฮูหยินที่ดูแลอยู่ เหล่าฮูหยินถึงแม้จะเอ็นดูนางมาก แต่กฎระเบียบก็คือกฎระเบียบ อย่างไรคงไม่ลืมกระทั่งกฎเกณฑ์ไปเพราะความเอ็นดูที่มีให้นาง

“ท่านย่าต้องไม่เห็นด้วยแน่” จีหมิงซิวพูดจบก็เดินไปหยิบชุดบุรุษตัวใหม่ออกมาจากในตู้ ซึ่งก็คือชุดบ่าวผู้ชายที่ใส่แบบเดียวกับทั้งบ้านตระกูลจีนั่นเอง “เปลี่ยนเสีย”

หนีออกไปหรือนี่ อย่างนี้นางชอบ!

เฉียวเวยหอบเสื้อผ้าไปที่ห้องอาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุดอย่างคล่องแคล่ว เพียงแต่เสื้อผ้านั้นเปลี่ยนง่าย แต่ผมกลับทำไม่ง่ายเลย ตอนอยู่ชนบทนางแค่หวีเป็นทรงที่เรียบง่ายและธรรมดาที่สุด แต่มาอยู่ที่นี่ทุกวันจะต้องมีเครื่องประดับอัญมณีโน่นนี่นั่น น้ำหนักที่กดลงมาเล่นเอาคอนางแทบจะเอียง

นางพยายามอยู่นานก็ยังแก้ผมไม่ออกเสียที จีหมิงซิวเดินเข้ามาเงียบๆ “ข้าช่วย”

เฉียวเวยเลยลดมือลง

จีหมิงซิวดึงไข่มุกที่ปักอยู่เต็มหัวออกทีละอันแล้วจึงปล่อยผมให้สยายลงมา เส้นผมที่ดำขลับดั่งน้ำหมึกดูประหนึ่งแพรไหมสีดำ เป็นประกายและอ่อนนุ่ม

“ข้าทำเอง” เฉียวเวยรับเส้นผมจากมือเขามาม้วนเป็นมวยแล้วใช้ปิ่นทองแดงเล่มหนึ่งปักยึดไว้เหนือศีรษะ มองปราดหนึ่งก็ดูคล้ายบ่าวชายของตระกูลจี แต่หากได้มองใบหน้ารูปไข่ของนางดีๆ กลับดูไม่คล้ายบุรุษสักเท่าไร พวกผู้หญิงที่ปลอมเป็นผู้ชายในโทรทัศน์เหล่านั้นล้วนหลอกลวงกันทั้งสิ้นจริงๆ นางรับประกันได้ว่าถ้านางเดินออกไปเช่นนี้ สิบคนต้องมีแปดคนที่ดูออกว่านางเป็นสตรี “จะมีใครดูออกหรือไม่”

“ไม่หรอก”

ช่างเป็นน้ำเสียงที่มั่นใจยิ่งนัก!

เฉียวเวยหันไปมองเขา “เหตุใดถึงจะมองไม่ออกหรือ”

ใต้เท้าอัครเสนาบดีตอบว่า “ไม่มีสตรีนางใดแต่งกายเช่นนี้”

เฉียวเวย “…”

เฉียวเวยเรียกปี้เอ๋อร์เข้าไปในห้องแล้วสั่งให้ปี้เอ๋อร์เฝ้าประตูไว้ ไม่ว่าใครมาเยี่ยมให้บอกเพียงว่าเมื่อคืนนางไม่ค่อยได้นอน จึงเข้าไปพักผ่อนแล้ว

ปี้เอ๋อร์พยักหน้า แล้วยกเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งที่หน้าประตู

จีหมิงซิวเปลี่ยนชุดขุนนางออก ใส่ชุดผ้าไหมสำหรับออกไปข้างนอก แล้วเดินออกจากบ้านชิงเหลียนไปพร้อมกับเฉียวเวย

เพื่อแสดงเป็นบ่าวชายให้สมบทบาทยิ่งขึ้น เฉียวเวยยังถือร่มบังแดดให้ผู้เป็นนายอย่างนอบน้อมอีกด้วย

เมื่อได้เห็นร่มลายดอกเถาสีชมพูดูแสนหวานที่อยู่เหนือศีรษะ สีหน้าใต้เท้าอัครเสนาบดีก็ดูยากจะอธิบาย

ตอนเดินผ่านสวนดอกไม้เล็กๆ เผอิญเจอหลี่ซื่อที่เดินมาจากจวนตะวันออก

หลี่ซื่อเดินอยู่ดีๆ เห็นร่มลายดอกเถาสีชมพูแสนหวาน เล่นเอาตานางพร่ามัวไปหมด นางอุทานอุ้ยตายขึ้นมาทีหนึ่งแล้วถึงได้เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ใต้ร่มคันนั้นคือหลานชายคนดีของตนอย่างจีหมิงซิวนี่เอง ลูกตานางจึงเบิกโตจนแทบจะถลนออกมา!

หลานชายของนางท่าทางองอาจมาดบุรุษเพียงนั้น ที่แท้ก็มีรสนิยมที่แปลกพิสดารเช่นนี้เองหรือ!

ร่มลายดอกเถาสีชมพูสดใสเช่นนี้ แม้แต่นางยังไม่กล้าถือเลย!

จีหมิงซิวใช้หางตาเหลือบมองตัวต้นเรื่องทีหนึ่ง ตัวต้นเรื่องเลยก้มหน้างุด ทำตัวเป็นนกกระจอกเทศ จีหมิงซิวมองไปทางหลี่ซื่อแล้วยิ้มทักทาย “อาสะใภ้รอง”

หลี่ซื่อข่มความตกใจไว้ ระบายยิ้มเอ่ยว่า “นี่เจ้ากำลังจะออกไปข้างนอกหรือ”

“ออกไปทำธุระนิดหน่อย” จีหมิงซิวตอบ

“อ้อ” หลี่ซื่อเข้าใจทันที สตรีในเรือนหลังไม่สะดวกจะถามกิจธุระของบุรุษ ยิ่งไปว่านั้นนี่เป็นเพียงหลายชายของนางไม่ใช่บุตรในอุทร นางไม่แม้แต่จะมองบ่าวหนุ่มที่อยู่ข้างกายจีหมิงซิว “ข้ากำลังจะไปหาหลานสะใภ้ที่บ้านชิงเหลียนพอดี หลานสะใภ้อยู่หรือไม่”

จีหมิงซิวเลยบอกว่า “เมื่อคืนท่านพ่อไม่ค่อยสบาย นางเลยไปอยู่เฝ้าที่เรือนถงทั้งคืน เพิ่งเข้านอนไปเมื่อครู่นี้เอง”

“อย่างนี้เองหรือ” หลี่ซื่อถอนหายใจด้วยความหนักใจ

“อาสะใภ้รองมีธุระอะไรกับเสี่ยวเวยหรือ” จีหมิงซิวถาม

หลี่ซื่อหัวเราะแห้งๆ “คืออย่างนี้ ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยสบาย ได้ยินว่าหลานสะใภ้วิชาการแพทย์สูงส่ง เลยไปให้นางช่วยตรวจให้ หลานสะใภ้เขียนใบยาให้แล้วแต่สือหลิวก้าวพลาดตกน้ำไปเลยทำใบยาหาย ข้าเลยอยากไปหานางให้ช่วยเขียนให้ใหม่อีกแผ่นหนึ่ง”

จีหมิงซิวพยักหน้าเรียบๆ “ที่แท้ก็เช่นนี้เอง วันนี้อาสะใภ้กลับไปก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าจะให้คนจับยาไปส่งให้ที่จวนอาสะใภ้รองเอง”

หลี่ซื่อรีบบอกว่า “จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เจ้าให้คนเอาใบยามาให้ก็พอ”

จีหมิงซิวเอ่ยว่า “คนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น อาสะใภ้รองไม่ต้องเกรงใจข้าเพียงนี้หรอก”

หลี่ซื่อยิ้มด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”

เมื่อส่งอาสะใภ้รองกลับไปแล้ว เฉียวเวยถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

ยังดีที่เจอแค่อาสะใภ้รองคนเดียว หลังจากนั้นตลอดทางจนออกจากจวนไปขึ้นรถม้า ก็ไม่เจอเหตุการณ์อะไรอีกเลย

ที่ตั้งของบ้านตระกูลจีอยู่ทางใต้ของเมืองหลวง ซึ่งถือเป็นละแวกที่ร่ำรวยที่สุด จวนหลายหลังของตระกูลจีกินพื้นที่ไปตลอดถนนใหญ่ ตั้งแต่ตะวันออกไปจนถึงตะวันตก ต้องใช้เวลาเดินถึงหนึ่งเค่อกว่าจะสุด ระหว่างทางมีร้านค้ากับบ้านเรือนชาวบ้านให้เห็น สอบถามโดยละเอียดถึงได้รู้ว่าร้านค้าเหล่านั้นเป็นบ่าวไพร่ของตระกูลจี ยามปกติไม่ออกไปใน ภายในกันเองก็สามารถตั้งเป็นวงร้านค้าเล็กๆ ได้แล้ว ส่วนบ้านเรือนเหล่านั้นก็เป็นที่พักของบ่าวที่พอมีฐานะสักหน่อย

ช่างร่ำรวยล้นฟ้าเสียจริง

เทศกาลโคมไฟจัดขึ้นบนถนนฉางหลิว ถนนฉางหลิวมีตลาดที่คล้ายตลาดนัดในยุคปัจจุบัน ไม่ค่อยมีของฟุ่มเฟือยเท่าไรนัก มีแต่ของเล่นหน้าตาประหลาดแบบใหม่ๆ ทั้งสิ้น ราคาก็ยุติธรรม มีของขายมากพอ ยามปกติจีหมิงซิวเดินมาไม่ถึงที่นี่ แต่ถนนฉางหลิวมีเทศกาลโคมไฟที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวง ทุกครั้งในช่วงเวลานี้จะดึงดูดคุณชายและคุณหนูจากตระกูลใหญ่มากันได้ไม่น้อย

บนถนนฉางหลิวคลาคล่ำไปด้วยผู้คน รถม้าแล่นไปถึงปากถนนก็ไปต่อไม่ได้อีก จีหมิงซิวกับเฉียวเวยเลยลงจากรถม้า

ท้องฟ้ารอบด้านเริ่มมืดสลัว แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันสาดส่องลงมาที่พื้น ช่วยเติมความอบอุ่นให้กับผืนดิน

“หิวหรือไม่” จีหมิงซิวถาม

เฉียวเวยพยักหน้า “หิวแล้ว”

จีหมิงซิวจับมือนางเดินไปยังร้านเล็กๆ ตรงมุมถนน

การแต่งกายและรูปลักษณ์ของทั้งสองเรียกสายตาคนให้หันมามองได้ดีนัก ทั้งยังจับจูงมือกัน ดูสนิทสนมประหนึ่งคู่รัก

คนบนถนนพากันส่ายหน้า สังคมสมัยนี้หนา ย่ำแย่ลงทุกวันจริงๆ!

จีหมิงซิวหาโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งแล้วนั่งลง รอบตัวพวกเขามีแต่ชาวบ้านที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ยามที่จะจินตนาการว่าคนที่มีฐานะสูงส่งเช่นพวกเขาถึงขั้นยินดีมานั่งกินอะไรตามร้านค้าริมข้างทางกับเขาด้วย แต่คิดอีกที ตอนนั้นที่หรงจี้ยังไม่โด่งดัง ดูไม่ใช่สถานที่ที่มีหน้ามีตาอะไร ใต้เท้าอัครเสนาบดีก็ยังไปอยู่หลายครั้ง

เถ้าแก่เนี้ยยิ้มกว้างพลางเดินเข้ามาหา เห็นได้ชัดว่านางจำจีหมิงซิวได้ จึงทักทายก่อนว่าคุณชายมาอีกแล้ว จากนั้นถึงได้ถาม “คุณชายอยากกินอะไรหรือ”

จีหมิงซิวบอกว่า “เอาขนมสะบัดงาทุกรสมาอย่างละจาน”

ที่แท้ก็ขนมสะบัดงานี่เอง ขนมสะบัดงาเป็นลูกกลมๆ ทำจากแป้งข้าวเหนียว เปลือกนอกโรยด้วยเม็ดงาแล้วเอาไปทอด บางร้านมีไส้ บางร้านก็ไม่มี ขนมสะบัดงาเปลือกบางหอมกรอบ ข้างในมีรสหวานนุ่มหนึบ ให้รสสัมผัสที่ไม่เลวทีเดียว เพียงแต่นางกินของทอดได้ไม่ทนนัก ดังนั้นจึงกินไปไม่มาก

ไม่นานขนมสะบัดงาก็ถูกยกมาวางที่โต๊ะ มีทั้งหมดหกจานด้วยกัน แต่ละจานมีขนมวางอยู่ถาดละสามลูก

เฉียวเวยกะพริบตาปริบๆ “เยอะเพียงนี้เชียว”

จีหมิงซิวเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มีถั่วแดงบด ถั่วเขียวบด งา ไข่แดง ผัก แล้วยังมีไส้เนื้อผสมถั่วด้วย”

เฉียวเวยเคยกินแต่ขนมสะบัดงาไส้หวาน ไม่รู้ว่ามีใส่ผักด้วย ตอนเด็กๆ นางเคยกินบัวลอยนึ่งลูกใหญ่ ข้างในเป็นไส้ผัก เค็มๆ เหนียวๆ อร่อยยิ่งนัก น่าเสียดายก็แต่พอโตมาคล้ายว่าจะไม่มีบัวลอยลูกใหญ่ขนาดนั้นขายแล้ว มีแต่ลูกเล็กๆ ทั้งนั้น

จีหมิงซิวรู้ว่านางชอบกินไข่แดง จึงคีบไส้ไข่แดงให้นาง “นี่เป็นไส้ไข่แดงเค็ม”

เฉียวเวยชิมคำหนึ่ง ข้าวเหนียวกับเม็ดงามีรสหวานที่อ่อนแสนอ่อนแทบจะไม่รู้สึก เมื่อรวมกับรสชาติของไข่เค็มช่างหอมอร่อยจนน่าโมโห!

จีหมิงซิวคีบไส้เนื้อผสมถั่วให้นางอีกอันหนึ่ง “ตอนเด็กๆ ข้ากับจีหว่านชอบกินรสนี้ที่สุด”

เฉียวเวยทำเสียงหึหึอย่างไร้อารมณ์ “มีแต่เจ้ากับจีหว่านจริงๆ หรือ ไม่มีหลันอะไรนั่นหรือ”

จีหมิงซิวคิดแล้วตอบว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่ง องค์หญิงไม่วางใจให้พวกเราออกมากันเอง เลยให้นางตามมาด้วย”

จึ๊ องค์หญิงไม่วางใจ หรือเจ้าเองอยากให้มาด้วยกันแน่

แม่เลี้ยงสาวเป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กมากับสามีของข้า ชีวิตคนเราช่างน้ำเน่าเสียนี่กระไร!

ไส้เนื้อผสมถั่วรสชาติออกเผ็ดเล็กน้อย แต่สดและเนื้อแน่นเป็นพิเศษ เมื่อเจอกับแป้งข้าวเหนียวทำให้ได้รสชาติหวานๆ เผ็ดๆ อร่อยยิ่งนัก

ขนาดของขนมแต่ละชิ้นไม่ใหญ่นัก แต่ละลูกขนาดประมาณลูกปิงปองเท่านั้น เฉียวเวยกินไปทีเดียวสิบเอ็ดลูก จนพุงป่องกลมกิ๊กไปหมด แต่นางยังอยากกินอีก ทางด้านนั่นเถ้าแก่เนี้ยยกน้ำแกงบะหมี่เข้ามาชามหนึ่ง

อย่าให้พูดเลย กินของทอดไปมากเพียงนั้น ก็ชักจะคอแห้งขึ้นมาเหมือนกัน

เฉียวเวยกินอิ่มดื่มพอแล้วก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก “ครั้งหน้าพาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมากิน พวกเขาจะต้องชอบมากแน่”

จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “ได้สิ”

ทั้งสองจ่ายเงินแล้วลุกออกไป เวลานี้ท้องฟ้ามืดแล้ว โคมไฟตามท้องถนนเอาออกมาแขวนกันเต็มไปหมด หลากสีหลายลวดลาย แบบดูแปลกตาไม่เหมือนใคร คนบนถนนใส่หน้ากากหน้าตาประหลาดกันหมด มีพ่อค้าคนหนึ่งยืนตะโกนอยู่ตรงหัวถนน “อันละห้าอีแปะ! สามอันสิบอีแปะ! คุณชาย! ซื้อสักอันสิ!”

จีหมิงซิวบอกกับเฉียวเวยว่า “เลือกสักอัน?”

เฉียวเวยเลือกหน้ากากหมาจิ้งจอกขาวที่ดูสวยงามมาอันหนึ่ง

คนขาย: เป็นผู้ชายแท้ๆ หน้าตาดูอ่อนหวานเป็นสตรีก็แล้วไปเถอะ แต่เลือกหน้ากากก็ยังเลือกเสียสาวเพียงนี้! ช่างเป็นบุรุษน้อยเจ้าเล่ห์โดยแท้!

เฉียวเวยเอาหน้ากากขึ้นมาสวมแล้วถามจีหมิงซิวว่า “สวยไหม”

นัยน์ตาจีหมิงซิวมีแววขบขัน “สวย”

เฉียวเวยระบายยิ้ม “งั้นเอาอันนี้”

จีหมิงซิวใส่หน้ากากของตนเองอยู่แล้ว จึงประหยัดไปไม่ต้องซื้อ เขาจ่ายเงินเสร็จก็จูงมือเฉียวเวยหายเข้าไปในฝูงชน

ระหว่างทางเฉียวเวยได้เห็นโคมไฟไปไม่น้อย มีทั้งโคมปลาตะเพียน โคมดอกหมู่ตัน โคมดอกบัว โคมเทพแห่งโชคลาภ โคมเทพหวังหมู่ โคมฉางเอ๋อ โคมดอกเถา โคมแปดเหลี่ยม… แต่ละอันงดงามทั้งนั้น ดูได้ไม่มีเบื่อ

อันเล็กใหญ่แค่ฝ่ามือ อันใหญ่ก็สูงยิ่งกว่าตัวคน

เฉียวเวยมองจนติดอกติดใจ นางกวาดตามองแล้วชี้ไปยังเวทีที่มีคนล้อมรอบอยู่เต็มไปหมด “ทางนั้นเหตุใดถึงคนมากเพียงนี้”

จีหมิงซิวเลยบอกว่า “ทางนั้นเขาทายปริศนาโคมกันอยู่ หากทายถูกก็จะได้โคมไฟไป ถ้าเดาไม่ถูกค่อยเสียเงินซื้อ”

ทายปริศนาโคมหรือ นางชอบ!

เฉียวเวยดึงจีหมิงซิวให้เบียดเสียดเข้าไปในฝูงชน นั่นเป็นเวทีที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งตั้งขึ้น ด้านบนห้อยหลังคาเอาไว้ บนหลังคาให้เชือกเส้นเล็กๆ ผูกโคมหลากหลายรูปแบบ ใต้โคมไฟมีกระดาษสีแดงห้อยอยู่ บนกระดาษเขียนคำถามเอาไว้

เฉียวเวยเลือกโคมไฟเซียนเด็กน้อย นางหยิบกระดาษแดงที่แขวนอยู่ขึ้นมาอ่าน “เหวินจวินขายสุรา จื่อหยาตกปลาริมน้ำ เป็นสำนวน”

สมองของเด็กสายวิทย์ปิดเครื่องไปทันที

รอบด้านมีคนจำนวนไม่น้อยมองมาที่นาง ดูท่าแล้วคงเสียหายไปกับคำถามข้อนี้เหมือนกัน ท่าทางจึงดูห่อเหี่ยวพิกล

จีหมิงซิวตอบว่า “ได้ชื่อเสียงมาโดยมิชอบ”

เฉียวเวยหันไปถามคนของร้านว่า “ใช่ได้ชื่อเสียงมาโดยมิชอบหรือไม่”

คนในร้านตกใจ “ใช่ ใช่แล้ว!”

เฉียวเวยเลิกคิ้วยิ้ม “โคมนี้เป็นของข้าแล้ว!” จากนั้นก็เดินไปที่โคมเซียนเด็กอีกอันหนึ่ง เด็กสองคน อย่างไรก็ต้องซื้อที่เป็นคู่กันให้ “หลังฤดูใบไม้ร่วง มักพบหวงเหลียง เป็นสำนวน”

สมองเด็กสายวิทย์ปิดเครื่องต่อ!

จีหมิงซิวตอบว่า “มากฝันยามราตรี”

“ท่านคิดได้อย่างไร” เฉียวเวยถามด้วยความไม่เข้าใจ

จีหมิงซิวเคาะหน้าผากนาง “ฤดูใบไม้ร่วงกลางคืนยาวนาน เลยฝันเห็นหวงเหลียง”

[1] เหวินตั้น คือส้มโอของจีน

[2] หยวนตั้น คือวันปีใหม่สากล ตรงกับวันที่ 1 เดือนมกราคมของทุกปี

[3] ซั่งหยวน คือวันเทศกาลโคมไฟที่ตรงกับวันที่ 15 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติ