บทที่ 650 สื่อหยวนหงเหมิง เทพมารอนธการ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 650 สื่อหยวนหงเหมิง เทพมารอนธการ

“ความหมายของเจ้าคือมีอริยะแกล้งสิ้นชีพหรือ” เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยขมวดคิ้วถาม

หลี่เต้าคงเอ่ยถากถาง “ความเป็นความตายของพวกเจ้าเหล่าอริยชนคาดคะเนยากจริงๆ”

ฉิวซีไหลกล่าวขึ้นมา “อริยะมิ่งจี อริยะจินอันหลังจากกลายเป็นอริยะคลั่งก็ดับสูญไป หลี่มู่อีถูกสหายเต๋าหานปลิดชีพ เหลือแค่เจ้าแม่หนี่ว์วาและฝูซีเทียน โดยเฉพาะฝูซีเทียน พวกเราไม่ได้เห็นจุดจบของเขาด้วยตาตนเอง”

ฝูซีเทียน!

ฟางเหลียงนับนิ้วทำนาย แววตาวูบไหว

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเอ่ยด้วยความฉงน “ฝูซีเทียนอ่อนแอที่สุดในหมู่อริยะมรรคาสวรรค์มิใช่หรือ จะแข็งแกร่งกว่าพวกเราได้อย่างไร ต่อให้ช่วงที่ผ่านมาเขาจะได้รับโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่พลังจะเพิ่มขึ้นเร็วปานนี้ สหายเต๋าหานเองก็มิได้เร็วถึงเพียงนี้!”

อริยะที่เหลือก็ปรึกษาหารือกัน

“เป็นไปไม่ได้จริงๆ”

“ถ้ามิใช่ฝูซีเทียน หรือว่าจะเป็นเจ้าแม่หนี่ว์วา”

“เจ้าแม่หนี่ว์วาลึกลับยากจะหยั่งถึงจริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราสังหารนาง ข้าก็รู้สึกว่าง่ายเกินไป”

“หรือเจ้าแม่หนี่ว์วาจะยังไม่ดับสูญ”

“ไม่ผิดแน่ เป็นนาง! หลังจากนางดับสูญ ก็หาปราณม่วงอนธการของนางไม่พบเลย จุดนี้ก็ชี้ให้เห็นปัญหาแล้วมิใช่หรือ”

“ทำอย่างไรดี ต้องตามหาตัวเจ้าแม่หนี่ว์วาหรือไม่”

เมื่อเห็นเหล่าอริยชนพูดคุยถึงข้อเท็จจริง หานเจวี๋ยรู้สึกพอใจนัก

ฟางเหลียงเอ่ยขึ้นมา “ไม่มีทางหาตัวพบ อีกฝ่ายโจมตีจักรพรรดินีผืนพิภพ ต้องพุ่งเป้ามาที่มรรคาสวรรค์แน่ พวกเราทำได้เพียงเสริมแนวป้องกันให้ยมโลก”

เทพสูงสุดหนานจี๋เอ่ยแทรก “จะเสริมอย่างไรเล่า อริยะอย่างพวกเราไปไม่ได้ ครึ่งอริยะไปก็มีแต่จะตายเปล่า!”

“ข้ามีแผนการอย่างหนึ่ง นั่นคือสร้างโลกมนุษย์ที่อยู่ระหว่างยมโลกและโลกมนุษย์ให้มากขึ้น ใช้ดวงชะตามรรคาสวรรค์ปกป้องยมโลก ยิ่งพลังมรรคาสวรรค์ในยมโลกแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไร ศัตรูก็บุกเข้ามาได้ยากขึ้นเท่านั้น”

แผนนี้ของฟางเหลียงทำให้เหล่าอริยชนตกอยู่ในภวังค์ความคิด

การบ่มเพาะโลกมนุษย์มิใช่เรื่องที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน

จู่ๆ มหาจักรพรรดิเซียวก็เอ่ยขึ้นว่า “บ่มเพาะโลกมนุษย์น่ะดี แต่ข้าคิดว่าวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือให้เผ่าสวรรค์ย้ายไปที่ยมโลก ถึงอย่างไรเผ่าสวรรค์ก็เป็นเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์”

พอเขาเอ่ยเช่นนี้ เหล่าอริยชนต่างมองไปทางเขาด้วยความแปลกใจ

หากว่าเผ่าสวรรค์ย้ายไปที่ยมโลก ก็ต้องเสียอำนาจปกครองแดนเซียนไป

เช่นนั้นผู้ใดจะรับอำนาจต่อจากเผ่าสวรรค์ได้เล่า

พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางฟางเหลียง

หรือสองคนนี้วางแผนกันมาแล้ว

สีหน้าหานเจวี๋ยเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาเลย

หากว่ากันตามจริง การเสริมพลังมรรคาสวรรค์ให้ยมโลกเป็นวิธีจัดการที่ดีที่สุดจริงๆ ฟางเหลียงแค่หาผลพลอยได้เท่านั้น

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยมองหานเจวี๋ย ถามว่า “สหายเต๋าหานคิดว่าอย่างไร”

หานเจวี๋ยตอบตามตรง “ใช้ได้ทั้งคู่ เมื่อมรรคาสวรรค์มีภัย พวกเราสมควรละวางผลประโยชน์ส่วนตัว ใคร่ครวญเพื่อมรรคาสวรรค์ ไม่มีแผนใดที่พวกเราจะได้หรือจะเสียผลประโยชน์อย่างสิ้นเชิง”

เขาไม่กลัวเลยว่าฟางเหลียงจะก่อความวุ่นวายขึ้น

หากมีทีท่าว่าจะวุ่นวาย ก็จับโยนเข้าไปในคุกสวรรค์อนธการซะ!

เมื่อหานเจวี๋ยเปิดปากพูด อริยะที่เหลือย่อมไม่มีข้อคิดเห็นอีก

ธุระหารือในตอนท้ายหานเจวี๋ยมิได้เข้าร่วมด้วย เขากลับไปที่เขตเซียนร้อยคีรี ฝึกบำเพ็ญต่อ

อริยชนดำเนินการรวดเร็วยิ่ง ผ่านไปไม่กี่เดือน อริยะต่างส่งศิษย์ที่ตนให้ความสำคัญมุ่งหน้าไปบุกเบิกโลกมนุษย์ใต้แดนเซียนในละแวกใกล้ๆ ยมโลก

ถึงแม้สองภพหยินหยางจะขัดแย้งกัน แต่ก็มีขอบเขตอยู่

อีกอย่าง เผ่าสวรรค์ก็เริ่มอพยพโยกย้ายไปยังยมโลกเช่นกัน

เมื่อเผชิญหน้ากับการจัดสรรของอริยชน จี้เซียนเสินมีท่าทีนอบน้อมเชื่อฟังยิ่ง ถึงขั้นที่ไม่ตั้งคำถามเลย

นับตั้งแต่วันที่ฟางเหลียงสำเร็จเป็นอริยะ เขาก็รู้ดีว่าตนพ่ายแพ้แล้ว

อีกด้านหนึ่ง

เผ่ามนุษย์เข้าโจมตีเผ่ามังกรอยู่หลายครั้ง ยืดเยื้อกันหลายร้อยปี ในที่สุดก็จบลง เผ่ามังกรมีหัวหน้าเผ่าคนใหม่ ก็คือหลงเฮ่า ขณะเดียวกันทั้งสองเผ่าพันธุ์จับมือสมานฉันท์ สร้างสัมพันธมิตร

เรื่องนี้ก่อให้เกิดมรสุมระลอกใหญ่ขึ้นทั่วแดนเซียน!

เผ่ามังกรเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นแนวหน้า รากฐานมั่นคง กลับถูกเผ่ามนุษย์สยบได้เช่นนั้นหรือ

สิ่งมีชีวิตที่ทราบเส้นสนกลในต่างตกตะลึงในอำนาจอันน่าหวาดหวั่นของสำนักซ่อนเร้น เผ่ามนุษย์ที่แรกเริ่มเดิมทีมิใช่คู่ต่อสู้ของเผ่ามังกรเลย ซ้ำยังได้รับบาดเจ็บล้มตายเสียหายหนักเพราะเหตุนี้ หลงเฮ่าจำเป็นต้องไปขอความช่วยเหลือจากสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ เมื่อสำนักสตรีศักดิ์สิทธิ์ลงมือ เผ่าสวรรค์ นิกายฉ่านและนิกายเจี๋ยก็ลงมือด้วย ยังไม่ทันได้สู้ เผ่ามังกรก็ทนรับแรงกดดันไม่ไหว ยกธงขาวยอมแพ้ทันที

ท้ายที่สุดคลื่นลมที่เกิดขึ้นเพราะเรื่องนี้ก็ถูกข่าวเผ่าสวรรค์อพยพสู่ยมโลกกลบทับ หลังจากเผ่าสวรรค์มุ่งหน้าไปยังยมโลก สำนักวิถีสวรรค์ของฟางเหลียงก็เริ่มอ้างตัวถึงความเป็นเทพเซียนของตน เข้ารับผิดชอบกฎสวรรค์แห่งภพหยาง

นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างอริยะและสิ่งมีชีวิตสามัญ

คำพูดไม่กี่ประโยคของอริยะสามารถตัดสินอำนาจปกครองในหมื่นโลกามรรคาสวรรค์ได้ ถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังอำนาจเข้าข่มเลย

เวลาผ่านไปไวเหมือนติดปีก

ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งพันปี

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ตรวจดูจดหมายด้วยความเคยชิน

หานทั่วยังคงติดตามจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไปเผชิญกับการถูกทุบตีอยู่ ช่างน่าเวทนาเสียจริง

ถึงจะถูกทุบตี แต่ตบะของหานทั่วกลับเพิ่มขึ้นเร็วยิ่ง เป็นเซียนทองต้าหลัวระยะปลายแล้ว การทำศึกมีประโยชน์ยิ่งนัก

หลังตรวจดูจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยก็ถามในใจ ‘วันหน้าฟางเหลียงจะกลายเป็นศัตรูของข้าหรือไม่’

วิถีสวรรค์กำลังเปิดรับสมัครเทพเซียนใหม่ อิทธิพลแผ่ไพศาล

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

จุ๊ๆ ฟางเหลียงมีค่าตัวเท่ามรรคาสวรรค์แล้วหรือนี่

ดำเนินการต่อ!

[ไม่]

หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก

เหตุผลที่เขาไม่จัดการฟางเหลียง ก็เป็นเพราะเขาเชื่อในตัวฟางเหลียง

ถึงแม้ฟางเหลียงจะกลายเป็นบรรพชนเต๋า แต่ก็ยังไม่แน่ว่าบรรพชนเต๋าจะบอกเล่าถึงแผนการและความทะเยอทะยานของตนต่อเขาเสียทุกอย่าง

‘ฟางเหลียงจะทรยศมรรคาสวรรค์หรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่]

หลังจากได้รับคำตอบยืนยัน หานเจวี๋ยก็วางใจเต็มที่แล้ว

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นแค่ฟางเหลียง หานเจวี๋ยไม่สามารถคาดเดาถึงเจตนาที่แท้จริงของบรรพชนเต๋าได้

หานเจวี๋ยสอดส่องยมโลกต่อ

นับตั้งแต่เผ่าสวรรค์อพยพไปที่ยมโลก ดวงชะตามรรคาสวรรค์ปริมาณมากก็หลั่งไหลเข้าสู่ยมโลก ทำให้ยมโลกมิได้มีเพียงเมฆาครึ้มปกคลุมอีกต่อไป ถึงขั้นที่ปรากฏแสงตะวันด้วย ดวงชะตากลายเป็นแสงสว่าง พลังแห่งวัฏจักรยกระดับขึ้น ส่งผลให้ระเบียบยมโลกฟื้นฟูขึ้นมาเช่นกัน

เทพผีในยมโลกก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน มีเพียงเทพเซียนแห่งเผ่าสวรรค์ที่ไม่รื่นเริงเลย มีเพียงพวกเขาที่ถูกฉกฉวยใช้ประโยชน์

กล่าวโดยรวมคือ ทุกอย่างล้วนพัฒนาไปในทิศทางที่ดี

สายตาของหานเจวี๋ยข้ามผ่านยมโลกไป สอดส่องแดนต้องห้ามอันธการที่อยู่นอกยมโลก

เอ๊ะ

จู่ๆ หานเจวี๋ยก็เห็นบางอย่าง

เป็นจารึกศิลาชิ้นหนึ่ง ด้านหลังมีโลงไม้ใบหนึ่งเชื่อมอยู่ บนโลงไม้สลักลวดลายแปลกประหลาดสารพัดเอาไว้ดูราวกับจะมีวิญญาณพุ่งออกมาได้ตลอดเวลา

เมื่อเห็นโลงไม้ใบนี้ จิตใจหานเจวี๋ยพลันหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างน่าประหลาด

เขาสัมผัสถึงกลิ่นอายใดๆ จากโลงไม้และศิลาจารึกไม่ได้เลย หากมิใช่เพราะเขาบังเอิญเห็นเข้า เกรงว่าคงใช้เวลาอีกนานกว่าเขาจะพบสิ่งนี้

หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย ทว่ากลับทำนายที่มาของโลงใบนี้ไม่ได้

เขาจำเป็นต้องใช้ความสามารถวิวัฒนาการ

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

แพงขนาดนี้เชียวหรือ

ค่าตัวสูงกว่าบรรพชนเต๋าเสียอีก!

หานเจวี๋ยรู้สึกกังวลใจยิ่งกว่าเดิม เลือกดำเนินการต่ออย่างระมัดระวัง

[สื่อหยวนหงเหมิง: ผันแปรมาจากเทพมารเบิกฟ้า เทพมารเบิกฟ้าเป็นคู่ต่อสู้รายสุดท้ายของผานกู่จากบรรดาเทพมารสามพันตน หลังพ่ายศึกเขาได้สังเวยตัวเอง กลายเป็นขอบเขตเบิกฟ้า มหามรรคคงอยู่นิจนิรันดร์ หลังจากดูดซับปราณอนธการเข้าไป เทพมารเบิกฟ้ากลายพันธุ์ กำลังจะกลายเป็นเทพมารอนธการ]

[จารึกเบิกฟ้า: ยอดสมบัติคู่ชีพของเทพมารเบิกฟ้า ดูดซับพลังเวทจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในขอบเขตเบิกฟ้า]

เทพมารอนธการ!

หานเจวี๋ยเบิกตากว้าง

ที่แท้นอกจากตัวเขาแล้ว ยังมีเทพมารอนธการตนอื่นอยู่จริงๆ บรรพชนเต๋ามิได้พุ่งเป้ามาที่เขาเช่นนั้นหรือ

เจ้าตัวนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง ในอดีตเป็นคู่ต่อสู้คนสุดท้ายของผานกู่ หากเทียบกับเทพมารทั้งสามพันตนแล้วคงเป็นรองเพียงผานกู่กระมัง

หานเจวี๋ยสอบถามอย่างระมัดระวัง ‘เขาจะเข้าสู่มรรคาสวรรค์เมื่อไร’

………………………………………………………………