บทที่ 657 ทวยเทพอันเสื่อมทราม

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 657 ทวยเทพอันเสื่อมทราม

บทที่ 657 ทวยเทพอันเสื่อมทราม

ค้อนยักษ์ของเจ้าแห่งเพลิงและโลหะฟาดลงพื้น อี้ฝานรีบกลิ้งตัวหลบไปด้านข้าง แล้วจึงหันไปใช้โล่ทุบเข้าไปด้านหลังมือของคู่ต่อสู้ จนทำให้กระดูกอีกฝ่ายแตกเป็นชิ้น ๆ!

เขาแทงดาบใหญ่ออกไปเจาะทะลุปากเจ้าแห่งเพลิงและโลหะ ดาบใหญ่สั่นไหว… พลังแห่งความตายถูกส่งผ่านคมดาบ บดขยี้ปากของเจ้าแห่งเพลิงและโลหะทันที

“ลำแสงศรแรกอรุณ!”

อี้ฝานชี้นิ้วขึ้นมา ปลายนิ้วปรากฏแสงเรืองรอง แสงแรกแห่งอรุณนับพันมาบรรจบกันกลายเป็นลำแสงหลายดอก ส่งเสียง ‘ฟิ้ว‘ พุ่งเข้าระเบิดใส่ท้องของเจ้าแห่งเพลิงและโลหะจนมันล้มลงบนพื้น

“ในอดีต ครั้งที่ข้าเคยดื่มกับเจ้า สหายเอ๋ย ยามเมื่อเราชนแก้วสุรากัน ข้ายังคิดจริง ๆ เลยว่ามิตรภาพของพวกเราจะคงอยู่ตลอดไป”

อี้ฝานถีบตัวกระโดดขึ้นสูง ดาบสีดำขนาดใหญ่วาดออกลากเปลวเพลิงเป็นทาง ทำให้เกิดเสียงแหวกอากาศ ตามมาด้วยเสียงดังลั่นยามกระทบเข้ากับเจ้าแห่งเพลิงและโลหะ ทำให้ทวยเทพที่สูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้วส่งเสียงกู่ร้อง

ร่างของมันถูกฟันด้วยดาบใหญ่จนฉีกออก! มันพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต เรียกใช้พลังทวยเทพ โดยหวังจะใช้มันเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ทว่าพลังแห่งความตายที่ส่งมาจากดาบใหญ่ทำให้ร่างของมันเหี่ยวเฉาและสลายไปอย่างรวดเร็ว ค่อย ๆ กลายเป็นฝุ่นผง ไม่มีวันฟื้นกลับคืนมาได้อีก

“ตอนที่เจ้าใช้ค้อนสงครามทุบลงมาที่หลังของข้า เจ้าเคยนึกถึงพันธสัญญาและคำสาบานที่เคยให้ไว้กับข้าบ้างหรือไม่?!”

อี้ฝานก้าวเข้าไปหาอีกฝ่าย เขาเหวี่ยงดาบใหญ่ออกสุดแรง ฟันร่างของเจ้าแห่งเพลิงและโลหะขาดออกจากกัน

“วันนี้ ข้าได้มาทวงหนี้แค้นกับเจ้า จนได้มาเห็นเจ้ากลืนกินประชาชนผู้บริสุทธิ์ของตนเอง ซือไน่เต๋อเอ๋ย คนอย่างเจ้ากลับกล้าขนานนามตนว่าเป็นทวยเทพ? เจ้าไม่คู่ควร!”

เขาเดินมาที่หัวของซือไน่เต๋อ ภาพของชายใบหน้าน่าเกลียดเต็มไปด้วยบาดแผลจากพลังแห่งความตายปรากฏเข้าสู่สายตาของเขา อี้ฝานยกดาบขึ้นมาด้วยความไม่แยแส ชี้ปลายไปทางหัวของคู่ต่อกร

“เอาสิ่งที่เป็นของข้าคืนมา ซือไน่เต๋อ”

ดาบใหญ่กดลงไป แทงเข้าศีรษะของเจ้าแห่งเพลิงและโลหะด้วยพลังสีม่วงเข้ม สัตว์ประหลาดร้องคร่ำครวญ ก่อนที่ร่างกายจะเริ่มพังทลายลงไปจากการกัดกร่อนของพลังแห่งความตาย จนท้ายที่สุดก็กลายเป็นสะเก็ดไฟปลิวว่อนทั่วอากาศแล้วสลายหายไป

วิญญาณที่ราวกับเปลวเพลิงขนาดใหญ่ภายใต้การล้อมรอบของดวงวิญญาณสีเทาดำจำนวนนับไม่ถ้วนสลัดตัวหลุดออกจาก ‘สิ่งเจือปน’ อันไม่บริสุทธิ์ พุ่งเข้าหาแล้วกลับคืนสู่ร่างของอี้ฝาน

จากวิญญาณส่วนนี้ อี้ฝานสามารถรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้มากขึ้น

เช่นเดียวกับเจ้าแห่งรุ่งอรุณ หลังจากแสงสว่างเริ่มริบหรี่ลง ซือไน่เต๋อ เจ้าแห่งเพลิงและโลหะได้เริ่มวางแผนการสำหรับอนาคตให้กับตนเอง ทว่าแตกต่างกับเจ้าแห่งรุ่งอรุณที่ต้องการยึดครองแสงสว่างของเผ่าอื่นมาใช้เอง เจ้าแห่งเปลวไฟนั้นคิดว่าจะต้องทำอย่างไรให้ตนเองมีชีวิตรอดอยู่ในความมืดและกลายเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียว

แผนการที่เขาวางขึ้นมาคือการกลืนกินวิญญาณผู้อื่นเป็นจำนวนมากมาใช้เป็นเชื้อเพลิง จากนั้นจึงใช้วิญญาณแห่งเปลวเพลิงในร่างกายตนเป็นตัวจุดไฟ ทำให้ตัวเองกลายเป็นคบเพลิงไร้วันมอดดับในยุคแห่งความมืด

ดังนั้นแล้ว ความพ่ายแพ้ครั้งแรกของคนแคระและยักษ์จึงเกิดขึ้นมาด้วยเจตนา โดยเขาจงใจลดระดับพลังของพรเพื่อให้กองทัพของเมืองหลวงหมิงกวง สามารถบุกเข้าประชิดพรมแดน จากนั้นจึงใช้ข้ออ้างว่าพลังแห่งแสงอ่อนแอลง เพื่อให้เผ่าคนแคระทำการบูชายัญครั้งใหญ่ให้กับเขา

“ข้าเหลือจะเชื่อจริง ๆ”

หลังจากอ่านความทรงจำของซือไน่เต๋อแล้ว อี้ฝานก็ถอนหายใจออกมา

“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าภายในจิตใจของเจ้าจะน่ารังเกียจถึงเพียงนี้”

ก้อนกรวดเริ่มร่วงหล่นมาจากด้านบน เนื่องจากการต่อสู้กับเจ้าแห่งเพลิงและโลหะทำให้พื้นที่แห่งนี้ไม่มีความมั่นคง พร้อมจะพังทลายลงฝังอาณาจักรแห่งนี้เอาไว้ในดินได้ทุกเมื่อ

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองต้องกลับไปยมโลกอีกครั้งหรือถูกฝังไว้ที่นี่ อี้ฝานจึงรีบลากอาวุธเร่งฝีเท้าออกไปจากที่แห่งนี้

อี้ฝานมองหาสถานที่ปลอดภัยก่อนจะสวมแหวนดอกไม้อีกครั้ง เมื่อกลับไปถึงสุสานจึงพบว่านอกจากจั้วซีเอ๋อร์และฮั่วฉีแล้วยังมีคนเพิ่มมาอีกผู้หนึ่ง

คนผู้นี้สวมเกราะสีขาว รูปร่างเพรียวบางและสง่างาม นางคือนักบุญข้ารับใช้ของจั้วซีเอ๋อร์ …หลายหยา

หลังจากเห็นอี้ฝานกลับมาแล้ว นักรบหญิงก็กล่าวขอบคุณอี้ฝานทันที

“ท่านนักรบ ต้องขอขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก”

นางเอ่ยขึ้นมาด้วยความจริงใจเป็นอย่างยิ่ง

“ข้าไม่คิดว่าฝ่าบาทจะไปยังสถานที่อันตรายเช่นนั้น และที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าคือการที่ท่านสามารถเอาชนะราชาปีศาจผู้น่าหวาดเกรงและช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้ หากสิ่งที่เกิดขึ้นมาในยุคแห่งแสงสว่าง เจ้าแห่งรุ่งอรุณจะต้องมอบเกียรติยศในแก่ท่านเป็นการส่วนตัวแน่ ทว่าน่าเสียดายที่ในยามนี้วังเทวาลัยนั้นวุ่นวายเกิดเอาตัวไม่รอด”

ไม่หรอก ถ้าคนผู้นั้นเห็นข้าคงคิดเพียงแต่จะหาวิธีสังหารข้า

อี้ฝานคิดขึ้นมาในใจ ขณะที่กล่าวออกไปอีกอย่าง

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจั้วซีเอ๋อร์อยู่ที่นี่?”

“ข้าพบคนแคระผู้นั้นระหว่างตามหาฝ่าบาท เขาเป็นคนบอกข้าว่าฝ่าบาทอยู่ที่นี่”

หลายหยาพูดกับอี้ฝาน นางชี้มือไปทางห้องใต้ดินข้าง ๆ ที่เสียงตีเหล็กแว่วดังออกมาตลอดเวลา

“อ๋อ เป็นเช่นนี้เอง”

อี้ฝานพยักหน้า

ในยุคสมัยนี้ มิติและเวลาสลับสนวุ่นวาย ระหว่างอาณาจักรบางครั้งก็จะเกิดมิติซ้อนทับตัดกัน ดังนั้นแล้วระหว่างทางที่ฮั่วฉีกลับจากอาณาจักรของคนแคระจะพบกับหลายหยาที่เดินตระเวนทั่วยมโลกก็มีโอกาสสเป็นไปได้ไม่น้อย

ของเพียงแค่ที่สองแห่งมีทิวทัศน์คล้ายคลึงกันมากพอ เช่นนี้ก็จะเกิดแน้วโน้มที่สถานที่สองแห่งในเวลาและตำแหน่งต่างกันจะเกิดการซ้อนทับ

“เช่นนั้นพวกเจ้าสองคนก็ค่อย ๆ คุยกันไป”

อี้ฝานกล่าวกับหลายหยา ก่อนจะเดินไปทางฮั่วฉีที่กำลังตีเหล็กอยู่แล้วกล่าวออกมาว่า

“ข้าฆ่าเจ้าแห่งเพลิงและโลหะไปแล้ว”

ข้อมือของฮั่วฉีสั่นเล็กน้อย ทำให้แรงที่ใช้ตีเหล็กลดลงอย่างกะทันหัน จนรูปร่างของเหล็กร้อนพลันผิดปกติไป ฮั่วฉีรีบเริ่มตีเหล็กแก้ไขด้วยความตกใจ

เขาเร่งตีโลหะชิ้นนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงใช้คีมจับจุ่มลงให้น้ำให้เย็นตัวลง ขณะเดียวกันก็บ่นใส่อี้ฝาน

“เจ้าทำให้ข้าตีเหล็กพลาด”

“ขอโทษด้วย”

อี้ฝานกล่าวขอโทษก่อนจะคุยกับฮั่วฉีต่อ

“ข้าเพียงจะมาบอกเจ้าว่าเรื่องที่ไหว้วานสำเร็จแล้ว ชุดเกราะของเจ้ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก”

ฮั่วฉีมองค้อนในมืออย่างเงียบงัน ก่อนจะว่างมันลงแล้วกล่าวกับอี้ฝาน

“ข้าอยากจะกล่าวกับเจ้าว่า ขอบคุณมากอี้ฝาน ในยุคแห่งความมืด ผู้คนสูญเสียซึ่งสติสัมปชัญญะ ส่วนที่เหลือรอดต่างดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อ อาจแปรเปลี่ยนเป็นคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าผู้ที่สูญเสียซึ่งสติสัมปชัญญะเสียอีก กระทั่งทวยเทพเองก็เริ่มกลืนกินคนของตน ทว่าในเวลาเช่นนี้ ยังมีคนเช่นเจ้าที่รักษาสัจจะวาจา ข้าชื่นชมผู้ที่รักษาคำพูดเป็นอย่างยิ่ง”

เขาหันไปหยิบธนูคันยาวและกระบอกใส่ลูกธนูด้านหลังตนเองออกมา

“นี่เป็นของใหม่ที่ข้าเพิ่งจะสร้างขึ้นมา หญิงตาบอดข้างนอกบอกข้าว่า เจ้าอาจจะต้องเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงของเผ่าภูตที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าและวังเทวาลัย สิ่งนี้อาจมีประโยชน์กับเจ้าไม่มากก็น้อย”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอปฏิเสธ”

อี้ฝานรับของมาโดยไม่พิรี้พิไร จากนั้นจึงพูดกับคนแคระฮั่วฉี

“ข้าจะเดินทางต่อไปยังสถานที่สองแห่งนั้นจริง ๆ ดังนั้นแล้ว ยิ่งเตรียมความพร้อมไว้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”