บทที่ 651 ท่านพ่ออยากเอ่ยสิ่งใด

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 651 ท่านพ่ออยากเอ่ยสิ่งใด

บทที่ 651 ท่านพ่ออยากเอ่ยสิ่งใด

“ท่านแม่ ดูเหมือนข้าจะนึกได้แล้ว พี่อาเถิงได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ? เขาช่วยข้าไว้ใช่ไหม? ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด? ท่านแม่ท่านบอกข้าได้หรือไม่?”

หลินซือดึงชายเสื้อของเหยาซู พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา นางจำได้ทุกอย่างแล้ว รวมทั้งคำพูดที่องค์รัชทายาทเคยตรัสไว้ แล้วก็การปกป้องจากพี่อาเถิงที่มีต่อเธอ

“ได้สิ ๆ แม่จะบอกเจ้า เอ้อเป่าอย่าเพิ่งร้อนใจ” เหยาซูประคองหลินซือลุกขึ้นมานั่งบนเตียงดี ๆ แล้วห่มผ้าให้นาง ก่อนจะเอ่ยอย่างเชื่องช้า

“ในตอนที่พี่อาเถิงและเจ้ากระโดดลงจากหน้าผา เขาได้ปกป้องเจ้าไว้อย่างดี ดังนั้นร่างกายของเจ้าจึงมีแค่รอยถลอกบางเบาเท่านั้น แต่สถานการณ์ของเขาไม่ได้ดีเพียงนั้น ร่างกายของเขาถูกส่วนคมของก้อนหินเหล่านั้นบาดลึกจนไม่เหลือชิ้นดี กระดูกมือเคลื่อน กระทั่งมีกระดูกสีขาวโผล่ออกมาบางส่วน แต่เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป หมอหลวงตรวจอาการแล้ว บอกว่าแม้ว่าอาการบาดเจ็บของเจี่ยงเถิงจะน่าตกใจ แต่ก็ไม่ถึงขนาดคร่าชีวิต เพียงแต่ต้องใช้เวลาถึงจะทำให้เขาฟื้นขึ้นมาได้เท่านั้น”

“จริงหรือ?” ครั้นได้ยินคำพูดของเหยาซู หลินซือก็พลันหยุดสะอื้น ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมาที่เหยาซู

“จริงสิ เจ้าวางใจเถอะ แม่ไม่โกหกเจ้าแน่นอน หรือว่าแม้แต่คำพูดของแม่เจ้าก็ไม่เชื่อแล้วใช่หรือไม่?” เหยาซูลูบแผ่นหลังของหลินซืออย่างแผ่วเบา ค่อย ๆ ปลอบประโลมสภาพจิตใจของหลินซือ

“เช่นนั้นข้าไปเยี่ยมพี่อาเถิงได้หรือไม่เจ้าคะ?”

“ได้แน่นอน แต่เจ้าต้องพักฟื้นให้ร่างกายของตัวเองดีขึ้นก่อนถึงจะไปเยี่ยมอาเถิงได้ มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะเป็นกังวลมากขึ้นหลังจากไปเยี่ยมอาเถิงแล้ว ใช่ไหม?”

“อื้อ ข้าจะต้องพักฟื้นให้ร่างกายของตัวเองดีขึ้นก่อน” ครั้นได้ยินคำพูดของเหยาซู หลินซือก็ใช่ว่าจะไม่รับปาก

หลินเหราเฝ้ามองสองแม่ลูกสนทนากัน ด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดในใจ เขาไม่ได้ดูแลสองแม่ลูกคู่นี้อย่างดี มิเช่นนั้นคงไม่มีทางเป็นอย่างในตอนนี้แน่นอน

“เอ้อเป่าเด็กดี” หลินเหราเดินรุดขึ้นหน้าไปโอบกอดสองแม่ลูกเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง พลางคิดวกวนในใจ แม้ว่าเขาจะเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ แต่ต่อหน้าภรรยาเขาเป็นเพียงสามีคนหนึ่ง ต่อหน้าบุตรสาว ก็เป็นเพียงพ่อของลูกคนหนึ่งเท่านั้น

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านทั้งสองต้องปวดใจกับเอ้อเป่า ข้าละอิจฉายิ่งนัก” ครั้นเห็นการกระทำของหลินเหราและเหยาซู หลินจื้อก็อดเยาะเย้ยไม่ได้

“พอเลย เจ้ากำลังจะแต่งงานแล้ว ยังจะอิจฉาน้องสาวของเจ้าอีกหรือ? ถ้าเจ้ามีเวลา เขียนจดหมายส่งถึงปู่เจ้าบ้าง หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาเป็นห่วง แล้วก็เซินเอ๋อ เขาเป็นห่วงเอ้อเป่ามากเช่นกัน อย่าลืมส่งข่าวคราวให้พวกเขาด้วย”

“ท่านแม่วางใจเถิด ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”

เป็นดั่งที่คาดคิดไว้หลังจากหลินซือฟื้นขึ้นมา ตัวเองก็กลายเป็นหมาหัวเน่า แต่หลินจื้อกลับไม่เคยรู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด

เดิมทีน้องสาวก็เป็นที่โปรดปรานของตระกูลอยู่แล้ว เขาเป็นพี่ใหญ่ต้องแบกรับเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่สมควรทำ

“เอาล่ะ เอ้อเป่าเพิ่งฟื้น คงจะกินอะไรได้ไม่มาก แม่จะไปตุ๋นน้ำแกงโสมให้เจ้า เดี๋ยวแม่จะให้สาวใช้ยกเข้ามา เจ้าต้องกำชับเอ้อเป่าให้ดื่มจนหมด เข้าใจหรือไม่?” เหยาซูเอ่ยกับหลินเหรา

ช่วงนี้เพราะเรื่องของเอ้อเป่า กิจการภายในร้านจึงไม่ได้ดูแลนัก ตอนนี้เอ้อเป่าฟื้นแล้ว นางจึงได้ทำบัญชีของร้านเหล่านั้นอย่างจริงจัง

“ฮูหยินของข้าโปรดวางใจ ข้าจะเฝ้าเอ้อเป่าดื่มเอง” ใครเลยจะรู้ว่าท่านแม่ทัพที่มักจะดูสูงส่งน่าเกรงขาม ยามอยู่ในจวนจะกลายเป็นสามีที่เชื่อฟังภรรยามากเช่นนี้

สำหรับคำพูดของเหยาซู หลินเหราตั้งใจฟังอย่างละเอียด จากนั้นก็ค่อยไปจัดการ

“ท่านพ่อ ข้าไม่ดื่มน้ำแกงโสมได้หรือไม่?” ครั้นหลินซือได้ยินว่าน้ำแกงโสม สีหน้าก็ดูแย่ลงทันที อาหารที่นางไม่ชอบที่สุดก็คืออาหารที่เป็นน้ำ ๆ

“ไม่ได้ เจ้าก็ได้ยินแม่เจ้าเอ่ยแล้ว ถ้าเจ้าไม่ดื่ม คนที่ถูกนางดุด่าก็คือข้า” เรื่องน้ำแกงโสม ไม่มีทางหนีทีไล่ให้ต่อรองได้

“งั้นก็ได้” ครั้นเจอกับคำปฏิเสธ หลินซือก็ทำได้แค่ต้องยอมรับ

หลังจากเห็นสาวใช้ยกน้ำแกงโสมเข้ามา หลินเหราก็บรรจงรับมาอย่างระมัดระวัง ผู้ที่เคยจับหอกมาตลอด บัดนี้ต้องมาถือน้ำแกงโสมชามเดียวอย่างระมัดระวังมากกว่าการเผชิญหน้ากับศัตรูในสนามรบเสียอีก

จากนั้นก็เลื่อนไปตรงหน้าของหลินซือ เฝ้ามองหลินซือตักดื่ม หลินเหราจึงให้คนรับใช้รอบตัวออกไป

“เอ้อเป่า พ่อไม่ได้คุยกับเจ้าสองคนนานมากแล้วใช่หรือไม่?”

“ดูเหมือนจะใช่เจ้าค่ะ ถึงอย่างไรหลังจากที่ท่านแม่ให้กำเนิดข้า ท่านพ่อก็ยุ่งตลอด ต่อมาข้าก็มักจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกับท่านแม่เสมอ ดูเหมือนจะไม่เคยคุยกับท่านพ่อเลยเจ้าค่ะ”

“วันนี้เจ้าอยู่คุยเป็นเพื่อนพ่อสักหน่อยได้หรือไม่?”

“ได้แน่นอน ท่านพ่ออยากพูดสิ่งใดว่ามาได้เลย ข้ายินดีรับฟัง” กล่าวจบ หลินซือก็ไม่ลืมที่จะเปิดผ้าห่มบนตัวออกเล็กน้อย แล้วนั่งยืดตัวตรง

“ความจริงแล้วก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดมากนัก แค่รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็ว พริบตาเดียวดูเหมือนเจ้าและพี่ใหญ่ของเจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้วก็มิปาน เจ้าดูสิแม้แต่อาเซินก็โตมากแล้ว”

“ท่านพ่อรู้สึกว่าตัวเองแก่ตัวลงแล้วหรือ?” หลินซือไม่เข้าใจความหมายของหลินเหราแม้แต่น้อย จึงอดครุ่นคิดถึงความหมายของหลินเหราไม่ได้

ตัวเองและพี่ใหญ่โตแล้ว ดังนั้นบิดาจึงอยากบอกว่าตัวเขานั้นก็แก่ชราลงแล้วใช่หรือไม่? แต่ต่อให้แก่ชราลง นางและพี่ชายก็ไม่มีวันทอดทิ้งเขา

“เหลวไหล ความหมายของพ่อก็คือ แม่ของพวกเจ้าลำบากมามากแล้ว แม้ว่าในสายตาของพวกเจ้า นางจะดูเหมือนไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่ความจริงแล้วนางอ่อนแอมาก”

“อ่อนแอ?”

“อื้อ คนคนหนึ่งหลังจากที่ได้เป็นพ่อคนแม่คนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนที่เข้มแข็งมากเพียงใดก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนแอลง พริบตาเดียวก็มีทั้งจุดอ่อนและเกราะป้องกันในเวลาเดียวกัน เมื่อครั้งยังวัยเยาว์แม่ของเจ้าเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ คนอื่นบอกว่าไม่มีสตรีนางไหนออกไปเปิดกิจการเป็นของตัวเอง แต่แม่ของเจ้าไม่เชื่อความเลวร้ายนี้ นางถลันออกไปจนได้”

“เรื่องนี้ข้ารู้ดี ท่านแม่เคยพูดกับข้าแล้ว” หลินซือย่อมรู้เรื่องราวมากมายของผู้เป็นแม่ ซึ่งเหมือนอย่างที่บิดาได้เอ่ยไว้

“เจ้ายังรู้ไม่มากพอ เจ้ารู้แค่แม่ของเจ้าออกไปได้ แล้วเจ้ารู้บ้างไหมว่าแม่ของเจ้าต้องลำบากยากเย็นเพียงใด?”

“ไม่รู้เจ้าคะ” หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ดูเหมือนมารดาจะไม่เคยพูดกับตนมาก่อน

“แรกเริ่มเดิมทีไม่มีสตรีนางไหนในใต้หล้ากล้าออกมาเปิดกิจการ คนที่ทำกิจการโดยส่วนใหญ่จะต้องมีประสบการณ์ ครั้นเห็นว่าแม่ของเจ้าไม่มีประสบการณ์จึงฉกฉวยโอกาสซื้อสินค้าของแม่เจ้าในราคาที่ต่ำที่สุด แม่เจ้าไม่ยอมแน่นอน ต่อมาคนกลุ่มนั้นจึงไปหาโจรบนเขาจ้างให้พวกเขามาปล้นสินค้าของแม่เจ้า โชคดีที่ตอนนั้นแม่ของเจ้าจ้างผู้คุ้มกันไว้ แม้ว่าจะสูญเสียสินค้าไปบ้าง แต่ก็ไม่มีใครเป็นอะไรนับว่าดีมากแล้ว”

“ต่อมา แม่ของเจ้าก็ไม่เกรงใจใครอีก บุกเดี่ยวเข้าไปในร้านของหนึ่งในกลุ่มนั้น ถล่มร้านของคนผู้นั้นจนเละเทะไม่เหลือชิ้นดี เพื่อระบายอารมณ์ที่น่ารังเกียจนี้” ระหว่างเอ่ยเรื่องเหล่านี้ หลินเหราก็ดูเหมือนจะนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เพิ่งรู้จักกับเหยาซู

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

นาน ๆ ทีจะได้เห็นสองพ่อลูกคุยกัน พ่อหลินเหราของเราต้องการสื่ออะไรกับลูกสาวนะ

ไหหม่า(海馬)