บทที่ 683 ความหวังอันน้อยนิด

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

ที่แท้ไม่ใช่ว่าเย่แจ๋หยิ่งไม่มีกลยุทธ์ที่ดี เพียงแค่ไม่กล้าบอกต่อนาง

หลานเยาเยาหลับตาลง กำหมัดแน่น นิ่งเงียบครู่หนึ่ง ราวกับว่ากำลังพยายามอดกลั้นน้ำตาไว้สุดๆ หลังจากที่ปรับสภาพในจิตใจดีแล้ว ถึงได้ลูบท้องของตัวเองเบาๆครู่หนึ่ง

ต้องไม่ทำให้ลูกในท้องได้รับผลกระทบจากสภาพจิตใจของนางเด็ดขาด

แต่นาทีนั้นที่ลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้ง คัดจมูกทันที ดวงตาทั้งคู่เลือนรางในพริบตา น้ำตาที่ฝืนกลับไปเอ่อล้นฉับพลัน

นางนั่งยองลงบนพื้นทันที มือสองข้างปิดตาทั้งคู่ของตัวเอง ร้องไห้จนร่างกายสั่นเทาทั้งตัว แต่กลับไม่ได้ร้องไห้ออกเสียง

นางโกหกคนอื่นได้ แต่กลับโกหกจิตใจของตัวเองไม่ได้……

ยู่หลิวซูยื่นมือออกไป คิดต้องการปลอบนาง แต่ในจิตใจของเขาก็เสียใจเป็นที่สุด อย่างไรเสียหลานเยาเยามอบสำนักหงอีให้เขา ถูกสังหารไปเกือบหมดแล้ว หากว่าไม่ใช่เพราะยังมีคนจากนอกแผ่นดินได้รับบาดเจ็บสาหัสและหลบหนีไปไม่กี่คน เขายังจะสู้หน้าหลานเยาเยาได้อย่างไร?

ร้องเถอะ!

บางทีร้องสักรอบอาจจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

หลานเยาเยาจัดการสภาพจิตใจอีกครั้ง ค่อยๆลุกขึ้น กล่าวเบาๆ

“ข้าอยากไปดูที่หุบเขาอัคนิคณะ”

“……ได้ขอรับ!” ยู่หลิวซูตอบรับแล้ว

ในไม่ช้า ทั้งสองออกเดินทาง ระหว่างนั้นนางได้สอบถามสถานการณ์ของสงครามใหญ่อย่างละเอียด ยู่หลิวซูก็บอกนางตามความเป็นจริง

การต่อสู้ครั้งสุดท้ายนั่น ก็คือวันนั้นที่นางถูกเย่แจ๋หยิ่งวางยานอนหลับพอดี ประชาชนในเมืองอพยพออกไปอย่างสมบูรณ์ไม่ทัน คนจากนอกแผ่นดินโจมตีกำแพงเมือง ฆ่าคนในเมืองกินเป็นอาหารตามอำเภอใจ

กำลังทหารทั้งหมดที่เฝ้ารักษาเมือง พยายามต่อต้านอย่างสุดความสามารถ หลังจากให้เหล่าประชาชนทั้งหมดอพยพแล้ว เย่แจ๋หยิ่งจึงได้พากองกำลังทหารที่เหลือทั้งหมด ล่อคนจากนอกแผ่นดินทั้งหมดเข้าไปในหุบเขาอัคนิคณะ

ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ได้สั่งการให้คนฝังดินระเบิดจำนวนมากระเบิดให้หุบเหวระเบิดลงไป……

…….

หุบเขาอัคนิคณะ

ภูมิประเทศเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ลักษณะรูปร่างเหมือนโครงกระดูกของคนตายไม่มีหัวไม่มีหาง ดูแล้วน่าสะพรึงกลัว ทำให้คนสันหลังเย็นวาบ เพราะพื้นด้านล่างมีลาวาเป็นเหตุ ทั้งตัวหุบเขาอัคนิคณะแห่งนี้เป็นสีดำ ในหุบเหวไร้ดอกไม้ต้นไม้ใบหญ้า

ตอนนี้ที่นี่ถูกระเบิดแยกออกเป็นสี่ห้าส่วน ตรงส่วนกลางถูกระเบิดเป็นหลุมใหญ่มหึมา ราวกับว่าต้องการจะกลืนหุบเขาอัคนิคณะทั้งหมด ในหลุมขนาดใหญ่เป็นลาวาไฟสีแดงเพลิงที่เดือดปุดๆ เพียงคนเข้าใกล้แค่เล็กน้อย ล้วนสามารถรู้สึกได้ถึงพลังของไอร้อนนั่นพุ่งเข้าตาเข้าจมูกคน

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการตกลงไปในนั้นเลย

จุดจบมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือไร้ศพไร้โครงกระดูก

หุบเขาอัคนิคณะเป็นสถานที่ฝังศพที่สุดท้ายของคนจากนอกแผ่นดิน และเป็นสถานที่ฝังศพของอ๋องเย่และบรรดาทหารมากมาย……

ขณะที่หลานเยาเยามาถึง

ที่นี่มีคนมามากมายแล้ว ในนั้นมีเงาสีแดงสะดุดตาเป็นที่สุด

เป็นหานแส!

เขายืนอยู่ใกล้กับขอบของหลุมใหญ่มหึมา ผมยาวๆปล่อยคลุม ยังค่อนข้างยุ่งเหยิงเล็กน้อย ชุดคลุมสีแดงบนร่างเข้มส่วนหนึ่งอ่อนส่วนหนึ่ง นี่อาจจะเป็นเพราะชุดคลุมสีแดงเปื้อนเลือดและแห้งแล้วเป็นเหตุ

มือข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ด้านหลัง แววตามองดูนิ่งๆ ลาวาร้อนระอุเดือดปุดๆในหลุมใหญ่มหึมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ลมพัดมาระลอกหนึ่ง

พัดแขนเสื้อที่ห้อยลงมาของหานแสนึกไม่ถึงว่าจะว่างเปล่า

มือของเขาขาดไปข้างหนึ่ง ตอนที่อยู่บนเรือแห่งความสิ้นหวัง

ทำเรื่องอันตรายบ่อยๆ จะต้องถูกเปิดโปงเสมอ ในเวลาสองปีนี้ เขาบัญชาการนำเรือทั้งหมดโจมตีเพียงคนจากนอกแผ่นดินที่กลับมากินน้ำในทะเล โจมตีหลายครั้งแล้ว ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการป้องกันรักษาในแนวหลังของคนจากนอกแผ่นดิน จึงได้ดึงดูดความสนใจของผู้บัญชาการทหารของคนจากนอกแผ่นดิน

ซ่อนตัวอยู่ในทะเลล่วงหน้า รอจนเรือของพวกเขามาถึง ก็ซุ่มโจมตีกลับแล้ว

เริ่มแรกพวกเขาไม่ทันได้คาดคิด ขณะที่พบเห็น ก็ถอยกลับไม่ทันแล้ว เรือรบหลายสิบลำ เสียหายเกือบหมด และโจ๋จุนชิงที่ติดตามอยู่ข้างกายเขามาตลอดไม่เคยทอดทิ้ง เพื่อปกป้องเรือแห่งความสิ้นหวัง ถูกคนจากนอกแผ่นดินชุดเกราะสีเงินฉีกออกเป็นสองส่วนทั้งเป็น

ตอนใกล้ตายโจ๋จุนชิงเลือดหลั่งนอง อีกทั้งท่าทางที่บุกเข้าไปโดยไม่เกรงกลัวอันตราย จนถึงนาทีที่ตายนั้น ถูกฉีกเป็นสองส่วนร้องอย่างน่าเวทนา ถึงตอนนี้ความทรงจำของเขายังคงชัดเจนเหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้น จิตใจก็สั่นไหวแล้ว

โจ๋จุนชิงตายแล้ว……

นั่นคือผู้ดูแลที่ติดตามเขาเป็นเวลานานที่สุดผู้หนึ่ง

ซื่อสัตย์ภักดีมาโดยตลอด โจ๋จุนชิงที่ไม่เคยมีใจออกห่างก็ตายไปต่อหน้าเขาเช่นนี้แล้ว

อยู่ในภวังค์ขณะหนึ่ง ทุกอย่างล้วนเงียบลงมาแล้ว มีเพียงเสียงร้องที่น่าเวทนาเสียงหนึ่งนั่นที่ดังชัดเจนเป็นที่สุด ราวกับว่าดังสะท้อนอยู่ข้างหูของเขาอยู่ตลอด

ตอนเป็นเด็ก มองดูทุกอย่างถูกเผาทำลายโดยทำอะไรไม่ได้ เขาก็มีความรู้สึกเช่นนี้…….

ผ่านไปยี่สิบกว่าปี เขาสัมผัสได้อีกครั้งแล้ว

ที่แท้เขายังมีหัวใจ

เพียงแค่……

เขาเคยเตือนสติตัวเอง

คิดต้องการมีชีวิตอยู่บนโลกดีๆ จำเป็นต้องเย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่สามารถมีความผูกพันได้แม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้น นั่นจะกลายเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรงถึงชีวิต ไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็จะถึงที่ตายได้

ก็เพราะการตายของโจ๋จุนชิง เขาเผลอไปเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น แขนข้างหนึ่งก็ไม่มีแล้ว……

ตอนนี้หานแสยืนอยู่ตรงนี้เงียบๆ มองดูสถานที่ฝังศพของอ๋องเย่ ไม่แยแสต่อไอร้อนของลาวาที่พุ่งขึ้นมาโดยสิ้นเชิง

อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ

ที่แท้คนก็เปราะบางเช่นนี้ ยุคสมัยของอ๋องเย่ บัญชาการนำฮ่องเต้ทหารขุนนางทั้งหมด ต่อสู้กับคนจากนอกแผ่นดิน บอกว่าจะตายก็ตายแล้ว แม้แต่ศพโครงกระดูกก็ไม่มี

ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย……

เพียงแค่หลุมลาวาที่ใหญ่มหึมานี้ สามารถจินตนาการออกได้ เวลานั้นจะต้องเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนขวัญเป็นอย่างยิ่งแน่นอน รวมทั้งความน่าสังเวชขณะที่ทั้งหมดตกลงไป

ไม่ช้า

ด้านหลังของหานแสก็มีเสียงแว่วมา

เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่มาพร้อมกับเขา หลังจากที่ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นกระซิบข้างหูของเขา หานแสหันหน้ากลับในพริบตา มองไปทางที่ที่สูงที่สุดของหุบเขาอัคนิคณะ เป็นหลานเยาเยาและยู่หลิวซูยืนอยู่ที่นั่นพอดี สายตาทั้งหมดล้วนตกอยู่ในหลุมใหญ่มหึมา

เขามองสีหน้าของหลานเยาเยาไม่ชัด

แต่รู้ว่า นางเจ็บปวดเป็นอย่างมากแน่นอน

ด้วยเหตุนี้!

เขากำชับสองสามประโยค ผู้ใต้บังคับบัญชาตะลึงครู่หนึ่ง จึงได้จากไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม

หานแสมาถึงตำแหน่งที่หลานเยาเยานั่งอยู่ ยู่หลิวซูเหลือบมองแวบหนึ่ง หมุนตัวแล้วถอยอีกด้าน ปล่อยให้พวกเขาสองคนมีพื้นที่คุยกัน

ทั้งสองยืนเรียงกัน ยืนอยู่นาน

หลานเยาเยารู้ว่าเขามาแล้ว เพียงแค่ไม่อยากพูดจาเท่านั้น ตอนนี้ในดวงตาของนางมีเพียงหลุมลาวาใหญ่มหึมานั่น รวมทั้งในสมองปรากฏภาพเล็กน้อยๆกับเย่แจ๋หยิ่งในอดีต

จึงได้พบอย่างฉับพลัน เหมือนกับว่าพวกเขาไม่เคยมีชีวิตที่ดีๆที่สงบสุขมาก่อนเลย…….

สุดท้ายเป็นหานแสที่เอ่ยปากก่อน

“ยังกำลังเสียใจอยู่อีกหรือ?”

คำพูดนี้ไม่รู้ว่าถามขึ้นด้วยเหตุผลใด หลังจากที่เข้าหูหลานเยาเยาแล้ว จึงได้เอียงหน้ามองดูเขา ในใจมีความซับซ้อน

“เจ้าคิดว่าข้าเหมือนกำลังเสียใจหรือไม่?” นางไม่ตอบแต่ถามกลับ

การตอบนี้

กลับทำให้หานแสตะลึง ต่อและเปลี่ยนสถานการณ์ทันที

“อดีตอ๋องเย่หลังจากที่คิดว่าสูญเสียเจ้าแล้ว เขาก็ล้มป่วยไม่ดีขึ้น ทั้งยังตาบอดสองข้าง ตั้งแต่นั้นก็ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น

เจ้ากลับดี คิดไม่ถึงว่าจะไม่ร้องห่มร้องไห้จนจะขาดใจ ยังสามารถมาหุบเขาที่ฝังศพของเขาได้อย่างนิ่งเฉย ไม่มีน้ำตาแม้สักหยดจริงๆ”

แต่ทว่าพูดจบประโยคนี้

หานแสไม่รอให้นางพูด ก็รีบพูดต่อ “เจ้าเคยคิดหรือไม่ บางทีเขาอาจจะยังไม่ตาย?”

ใครจะรู้……

หลานเยาเยาตอนที่คำพูดเกือบจะสิ้นสุด ก็ตอบแล้ว

“แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยเชื่อว่าเขาจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ข้ามาวันนี้ ก็เพื่อจะยืนยันจุดนี้”

ฟังพี่สะใภ้ที่มีอายุพูดว่า ที่ส่งนางมาก็คือผู้หนึ่งที่ใบหน้ามีพลังของปัญญาชน แต่กลับเป็นชายหนุ่มที่บุคลิกและนิสัยเหมือนดั่งเทพเซียน ไม่ต้องเดา นางก็รู้ คนผู้นั้นก็คือส้งเย่นกุย

ในเมื่อเย่แจ๋หยิ่งให้ส้งเย่นกุยพานางไป

แต่ทำไมพี่สะใภ้ที่มีอายุบอกว่า ส้งเย่นกุยพานางส่งไปถึงเมื่อจากไปก็ไม่กลับมาแล้ว จนกระทั่งนางฟื้นขึ้นมา ก็ไม่เคยได้พบหน้าอีก

ทำไมอาส้งถึงไม่ได้อยู่ตลอด?

บางทีนี่อาจจะเกี่ยวข้องกับเย่แจ๋หยิ่ง

ดังนั้นแม้ว่าจะเจ็บปวดจนทำให้คนหายใจไม่ออก นางก็ยังมีความหวังอย่างรำไร

ประจวบเหมาะกับเป็นความหวังอันเล็กน้อยนี้ นางถึงได้ไม่กล้าไปตรวจสอบดูข้างๆหลุมลาวามหึมานั่นสักที เกรงว่าความหวังอันน้อยนิดนั้นจะกลายเป็นความหวังที่สูญสลายไป เย่แจ๋หยิ่งของนางก็จะไม่กลับมาอีกแล้ว……

หานแสตะลึงงันเล็กน้อย!

เอ่ยปากทันที “แม้แต่เจ้าก็ไม่เชื่อนี่? เช่นนั้นข้าก็ปกติแล้ว”

หลานเยาเยาไม่ได้พูดจาอีก แล้วหันหน้ากลับไปใหม่อีกครั้ง มองดูไอร้อนระอุของลาวาที่ผุดวนไปมา เม้มริมฝีปากที่ขาวซีดเล็กน้อยอย่างแน่น

ในที่สุดก็ตัดสินใจ ต้องการลงไปขอบหลุมลาวา ตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่ง

ใครจะรู้……

เมื่อหมุนตัว ก็เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาผู้หนึ่งของหานแสล้มลุกคลุกคลานวิ่งเข้ามา ในมือถือสิ่งของอย่างหนึ่งที่เดิมทีควรจะเปล่งประกาย เพียงแค่เหมือนกับว่าจะถูกฝุ่นปิดบังความแวววาวไว้ สูญเสียความมันวาวในเดิมทีไป เขาทั้งตื่นตะลึงทั้งตื่นเต้น

“เจ้าของเรือ เจ้าของเรือขอรับ ข้าหาสิ่งนี้พบ น่าจะเป็นสิ่งของบนตัวของอ๋องเย่ขอรับ”

ได้ยินดังนั้น!

ร่างกายของหลานเยาเยาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แทบจะปรากฏตัวตรงหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นอย่างฉับพลัน ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตกใจมาก เกือบจะตกใจจนทำสิ่งของที่อยู่ในมือตกไป

“คุณชายซ่าง……กวน ไม่ไม่ไม่ แม่นางซ่างกวน……”

“เอาของให้ข้าดูหน่อย”

สีหน้าท่าทางของหลานเยาเยาค่อนข้างตื่นเต้น สายตาจับจ้องสิ่งของในมือคนผู้นั้นติดๆ แทบจะแย่งมาดูทันที

เป็นเศษชิ้นส่วนบนชุดเกราะสีทอง

เศษชิ้นส่วนบนชุดเกราะสีทองชนิดนี้หลานเยาเยากระจ่างเป็นที่สุด นั่นคือชุดเกราะบนตัวของเย่แจ๋หยิ่ง เป็นสิ่งที่นางสร้างด้วยมือของตัวเอง อีกทั้งสวมให้เย่แจ๋หยิ่งด้วยมือของตัวเอง

นาทีต่อมา!

มือทั้งสองข้างของหลานเยาเยาจับไหล่ผู้ใต้บังคับบัญชาของหานแสทันที ทั้งเอ่ยถามพร้อมกับเขย่า

“เจ้าพบที่ไหน?”

ถูกเขย่าอย่างรุนแรงแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาของหานแสค่อนข้างรับไม่ไหว ชี้ไปทิศทางหนึ่งโดยตรง “นั่น ทางนั้น……”

หานแสที่อยู่ด้านข้างมองดูมือสองข้างของหลานเยาเยาที่วางอยู่บนไหล่ของผู้ใต้บังคับบัญชา มองดูผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองด้วยสายตาเย็นยะเยือก

ทำไมต้องเอาเรื่องนี้มอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการ?

ทั้งที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับหลานเยาเยาตัวเองยิ่งเหมาะสมที่สุดนี่?