ตอนที่ 636 อับจนหนทาง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 636 อับจนหนทาง

บรรดาขุนนางเอาแต่ประจบสอพลอจักรพรรดิ เหล่านักรบหวาดกลัวสงคราม

ที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแคว้นต้าจิ้นที่เคยแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เหนือแคว้นใดคือเจิ้นกั๋วกง!

ตอนที่เสด็จพ่อของนางยังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยตรัสไว้ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงคือกระดูกสันหลังหลักของแคว้นต้าจิ้น!

ตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไปในแคว้นไม่อาจแบกรับหน้าที่คำว่าเจิ้นกั๋วได้

บัดนี้แคว้นต้าจิ้นไม่มีเจิ้นกั๋วกง ไม่มีแม่ทัพไป๋และกองทัพไป๋ที่พร้อมสละชีพเพื่อบ้านเมืองอย่างไม่มีเงื่อนไขคอยปกป้องคุ้มครองอีกต่อไปแล้ว

หนานเจียงและเป่ยเจียงอับจนหนทางถึงขนาดที่ต้องให้หลานสาวของนางเดินทางไปทำสงครามเองด้วยตัวเองถึงจะเอาชนะได้

หากขาดหลานสาวของนางไปอีกคน แคว้นต้าจิ้นอาจย่อยยับ กระทั่งอาจล่มสลายภายในอีกร้อยปีข้างหน้าก็ได้…

องค์หญิงใหญ่รู้สึกโศกเศร้ากับหนทางที่อับจนนี้มาก

ทว่า นางจะทำสิ่งใดได้กัน นางต้องบีบให้หลานสาวของนางกลายเป็นเจิ้นกั๋วอ๋องคนถัดไปที่ถูกจักรพรรดิหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาอำนาจของราชวงศ์หลินไว้อย่างนั้นหรือ

นางเป็นไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที นางทำได้เพียงปกป้องคุ้มครองราชวงศ์หลินให้ดำรงอยู่ต่อไปในขณะที่นางยังมีลมหายใจอยู่เพื่อเสด็จพ่อและเสด็จพี่ของนาง เมื่อนางสิ้นลมหายใจ…นางจะได้มีหน้าไปพบเสด็จพ่อและเสด็จพี่ของนางได้

ส่วนหลังจากที่นางตายไปแล้ว แคว้นต้าจิ้นจะกลายเป็นเช่นไร นางไม่อาจสนใจได้อีก แม้ว่าหลานสาวของนางจะก่อกบฏต่อราชวงศ์หลินก็ตาม

องค์หญิงใหญ่หลับตาลง นับสร้อยลูกประคำที่อยู่ในมือ ฟังเสียงหยาดฝนตกกระทบลงบนบันไดสูงซึ่งอยู่ทางด้านนอกตำหนักอย่างรุนแรงปนเปกับเสียงสู้รบที่ดังขึ้นท่ามกลายสายฝน

ทันใดนั้น ทหารรักษาพระองค์คนหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนบันไดสูงอย่างรวดเร็ว เขาคุกเข่าอยู่นอกตำหนักรายงานองค์หญิงใหญ่ “องค์หญิงใหญ่ หัวหน้าหน่วยตรวจเมืองฟ่านอวี๋ไหวพาองค์รัชทายาทบุกเข้าวังมาช่วยเหลือฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ทหารหน่วยตรวจเมืองกำลังต่อสู้อยู่กับกองกำลังรักษาพระองค์ของซิ่นอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”

องค์หญิงใหญ่ผุดลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้รับรายงาน ไม่นาน ทหารรักษาพระองค์อีกคนก็วิ่งขึ้นมาบนบันได คุกเข่าลงตรงหน้าองค์หญิงใหญ่ “ทูลองค์หญิงใหญ่ แม่ทัพคุ้มกันวังหลวงหมิ่นจงซินกล่าวว่าองค์รัชทายาทพาหน่วยตรวจเมืองบุกเข้ามาปลงพระชนม์ฝ่าบาท พวกเขาเปิดประตูวังหลวง กำลังมุ่งหน้ามายังตำหนักของฝ่าบาทพร้อมกับทหารฝ่ายกบฏแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงใหญ่กำไม้เท้าหัวมังกรแน่น ก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าวอย่างร้อนรน นางมองฝ่าสายฝนออกไปด้านนอก นางเห็นฟ่านอวี๋ไหวแบกร่างของรัชทายาทซึ่งใบหน้าซีดเซียว ลืมตาแทบไม่ขึ้นเนื่องจากฝนที่ตกหนักและเฉวียนอวี๋ที่แบกร่างของพระชายาวิ่งตรงเข้ามายังบันไดสูงโดยมีทหารหน่วยตรวจเมืองคอยอารักขาคุ้มครอง

ราชครูถานซึ่งอายุมากแล้วถูกทหารร่างกำยำคนหนึ่งแบกอยู่บนหลัง แม้แต่ฟางเหล่าก็ถูกแบกขึ้นหลังวิ่งเข้ามาอย่างทุลักทุเล ฟางเหล่ากอดคอทหารที่แบกตัวเขาแน่น ปากพร่ำบอกให้ทหารผู้นั้นวิ่งเร็วอีกนิด

“สั่งให้พลธนูเตรียมพร้อมรับมือ!” องค์หญิงใหญ่ตะโกนเสียงดังลั่น

ภายในตำหนักมีเสียงร้องอย่างตื่นเต้นและดีใจของเกาเต๋อเม่าดังแว่วออกมา “ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว! ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว!”

หมอหลวงรีบคุกเข่าลงข้างเตียงของฮ่องเต้เพื่อตรวจชีพ

องค์หญิงใหญ่หันกลับไปมองร่างที่อยู่ในมุ้งภายในตำหนัก แววตาของนางเย็นชาลง ตื่นมาตอนนี้ไม่สู้ไม่ตื่นขึ้นมาเสียดีกว่า! เมื่อฮ่องเต้รู้ว่าเหลียงอ๋องและซิ่นอ๋องโอรสที่เกิดจากฮองเฮาและฮองเฮาของตัวเองร่วมกันวางแผนให้ฮ่องเต้ตกจากหลังม้า ยุยงให้ซิ่นอ๋องและฮองเฮาก่อกบฏ ส่วนเหลียงอ๋องรอรับผลประโยชน์ภายหลัง ฮ่องเต้คงอยากหลับไม่ตื่นขึ้นมาอีกแน่!

รัชทายาทที่เปียกปอนไปทั้งร่างถูกฟ่านอวี๋ไหวที่หายใจเหนื่อยหอบแบกขึ้นบันไดสูง เมื่อเขาถูกวางลงบนพื้น ขาของรัชทายาทอ่อนแรงจนแทบยืนไม่อยู่

ลูกธนูดอกเมื่อครู่ของซิ่นอ๋องผ่านใบหูของรัชทายาทไปอย่างฉิวเฉียด หากไม่ใช่เพราะดวงเขายังไม่ถึงฆาต บัดนี้ร่างของเขาคงถูกฝนสาดจนกลายเป็นเพียงศพแข็งไปแล้ว

เฉวียนอวี๋วางพระชายาเอกลงเช่นเดียวกัน พระชายาเอกทรุดลงกับพื้นทันที ขาทั้งสองข้างของนางสั่นไหวอย่างไร้เรี่ยวแรง นางเอามือกุมท้องพลางร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“เร็ว! รีบประคองพระชายาเข้าไปด้านใน ให้หมอมาตรวจอาการเร็ว!” องค์หญิงใหญ่รีบกล่าวขึ้น

รัชทายาทได้สติรีบหันไปก้มศีรษะให้องค์หญิงใหญ่ “องค์หญิงใหญ่…”

ราชครูถานลงมาจากหลังของทหาร ทำความเคารพองค์หญิงใหญ่ “องค์หญิงใหญ่!”

“องค์รัชทายาทรีบเสด็จเข้าไปดูฝ่าบาทก่อนเถิด ฝ่าบาททรงฟื้นแล้วเพคะ!” องค์หญิงใหญ่หันไปสั่งเจี่ยงหมัวมัว “ไปนำเสื้อผ้าแห้งมาให้รัชทายาท พระชายาและราชครูถาน!”

เมื่อรัชทายาทได้ยินเช่นนี้จึงรีบผลักฟ่านอวี๋ไหวออก ร้องตะโกนออกมาคำหนึ่งว่า “เสด็จพ่อ!” จากนั้นวิ่งเข้าไปในตำหนักอย่างรวดเร็ว

เสียงของรัชทายาทที่กล่าวปนร้องไห้กับฮ่องเต้ว่าซิ่นอ๋องก่อกบฏ เขารีบนำหน่วยตรวจเมืองมาช่วยเหลือฮ่องเต้ดังแว่วออกมาจากตำหนัก องค์หญิงใหญ่หันไปมองร่างของฟ่านอวี๋ไหวที่เปียกปอนด้วยน้ำฝนเช่นเดียวกัน จากนั้นก้มศีรษะให้เล็กน้อย “ลำบากใต้เท้าฟ่านแล้ว! ใต้เท้าฟ่านพาหน่วยตรวจเมืองเข้ามาช่วยเหลือจึงพอยื้อเวลาให้พวกเราได้อีกสักพัก!”

ฟ่านอวี๋ไหวใช้มือปาดน้ำฝนบนใบหน้าออก ทำความเคารพองค์หญิงใหญ่ “องค์หญิงใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงเจิ้นกั๋วทรงกำชับไว้แล้ว กระหม่อมจะคุ้มครองตำหนักของฝ่าบาทไว้ด้วยชีวิตพ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะนำทัพทหารสองหมื่นนายของค่ายผิงอันมาเสริมทัพ กระหม่อมจะไม่ปล่อยให้กบฏเข้าไปในตำหนักได้แม้เพียงก้าวเดียว องค์รัชทายาท องค์หญิงใหญ่และท่านราชครูถานรีบเข้าไปหลบในตำหนักก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ได้ยินคำว่าองค์หญิงใหญ่กั๋ว ขอบตาขององค์หญิงใหญ่ร้อนผ่าว นางกำไม้เท้าแน่นพลางพยักหน้า

ฟ่านอวี๋ไหวกำหมัดคาราวะองค์หญิงใหญ่และราชครูถาน จากนั้นหมุนกายวิ่งฝ่าสายฝนออกไปด้านนอก เขากำดาบที่เอวของตัวเองแน่นด้วยท่าทีอาจหาญ ตะโกนบอกเหล่าทหารที่อยู่ด้านล่างบันได “ทหารหน่วยตรวจเมืองทุกคน! วันนี้พวกเราและกองกำลังรักษาพระองค์จะสู้เพื่อฝ่าบาทและรัชทายาท! จะคุ้มกันตำหนักนี้ไว้ด้วยชีวิต! องค์หญิงเจิ้นกั๋วออกจากเมืองไปนำทัพทหารค่ายผิงอันสองหมื่นนายมาช่วยฝ่าบาทแล้ว ต่อให้พวกเราต้องตาย พวกเราก็จะใช้ศพของเราเป็นกำแพงขวางกั้นไม่ให้พวกกบฏบุกเข้ามาในตำหนักนี้ได้! ต่างกล่าวกันว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วคือหลานสาวคนโตของเจิ้นกั๋วอ๋อง! นางถูกเลี้ยงดูโดยเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ในสงครามมาตั้งแต่เล็ก นางไม่เคยแพ้แม้ในสงครามที่เป่ยเจียงและหนานเจียง!”

“หน่วยตรวจเมืองของพวกเราและกองกำลังรักษาพระองค์อ่อนแออย่างนั้นหรือ! ไม่ใช่! พวกเราก็แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน พวกเราต้องช่วยองค์หญิงเจิ้นกั๋วสังหารพวกกบฏให้ได้มากที่สุดก่อนที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะมาถึง นางและสหายค่ายผิงอันจะได้ไม่หัวเราะเยาะพวกเรา! คิดว่าหน่วยตรวจเมืองของพวกเราและกองกำลังรักษาพระองค์เอาแต่เสพสุขอยู่ในเมืองหลวงจนสังหารพวกกบฏไม่เป็น!”

ยิ่งสถานการณ์รุนแรงมากเท่าใด หากแม่ทัพยิ่งผ่อนคลาย เหล่าทหารก็จะยิ่งไม่หวั่นเกรงมากเท่านั้น

สิ้นเสียงของฟ่านอวี๋ไหว หน่วยตรวจเมืองและกองกำลังรักษาพระองค์ซึ่งยืนอยู่ล่างบันไดต่างชูอาวุธในมือของตัวเองขึ้นสูงพลางโห่ตะโกนสามครั้ง

“สังหารศัตรู!”

“สังหารศัตรู!”

“สังหารศัตรู!”

ซิ่นอ๋องที่กำลังถือดาบคมเปื้อนเลือดต่อสู้อยู่กับหน่วยตรวจเมืองที่รั้งท้ายถูกน้ำฝนจนเปียกโชกไปทั้งร่าง

เมื่อเสียงต่อสู้ที่ประตูอู่เต๋อสงบลง ซิ่นอ๋องมองฝ่าสายฝนไปทางตำหนักที่ฮ่องเต้ประทับอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น “ถอยทัพ! กลับไปรวมตัวกับแม่ทัพปี้และแม่ทัพหมิ่นก่อน”

ท่านลุงวางแผนปูทางให้เขาถึงเพียงนี้ เขาไม่มีทางให้ถอยหลังกลับแล้ว เขาต้องชนะในศึกครั้งนี้เท่านั้น!

เมื่อเรื่องทุกอย่างจบสิ้นลง เขาจะเฉือนร่างรัชทายาทออกเป็นชิ้นๆ ดูสิว่ารัชทายาทจะมีปัญญามาแย่งชิงบัลลังก์กับเขาได้อย่างไรอีก

แม่ทัพที่คุ้มกันอยู่ข้างกายของซิ่นอ๋องตะโกนเสียงดังลั่น “ถอยทัพ!”

บรรดาแม่ทัพค่ายผิงอันถูกปล่อยตัวออกมาจากศาลต้าหลี่ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก พวกเขาได้ยินว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วให้พวกเขาไปยังประตูทิศตะวันออก เมื่อคิดทบทวนจึงนึกออกว่าค่ายทหารผิงอันตั้งค่ายพักแรมอยู่นอกเมืองฝั่งตะวันออก บัดนี้เมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเช่นนี้ องค์หญิงเจิ้นกั๋วคงอยากให้พวกเขาไปนำทัพผิงอันเข้ามาช่วยเหลือรัชทายาท