บทที่ 686 เขาก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

หลานเยาเยาเงยหน้าขึ้นไปดู เงาสีขาวนั้นแฉลบผ่าน ทำให้นางเบิกตาโพลงทันที

“เป็นอาส้ง!”

หานแสที่อยู่ใกล้กับหลานเยาเยาที่สุด อดที่จะตกตะลึงอยู่นานไม่ได้ เงาสีขาวนั้นปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็มองไม่เห็น แม้ว่ามองไม่ชัดว่าเป็นอะไร แต่รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าน่าจะเป็นคน

ทีแรกยังรู้สึกสงสัย แต่เมื่อหลานเยาเยาเปิดปาก เขาก็มั่นใจแล้ว

นั่นก็คือส้งเย่นกุยจริงๆ!

“คุณชายส้ง!”

“หมอเทวดาส้ง!”

“เซียนส้ง!”

“…….”

หลังจากสิ้นสุดเสียงของหลานเยาเยา คนกลุ่มหนึ่งก็ไม่สนใจว่าใช่หรือไม่ใช่ส้งเย่นกุย วิ่งไปพลางตะโกนเรียกเสียงดังไปพลาง

เพียงแค่เป็นคน

ก็จำเป็นต้องเหยียบขึ้นบนแผ่นดินผืนนี้ก่อนพวกเขาเป็นแน่

สามารถทนค้างในคืนที่มืดมิดได้ ก็จำเป็นต้องหาถ้ำหรือสถานที่ที่สามารถซ่อนตัวอื่นๆได้เป็นแน่ ตอนนี้ก็กลายเป็นที่พึ่งสุดท้ายของพวกเขาแล้ว

แต่ทว่า!

ไม่ว่าพวกเขาจะตะโกนเรียกอย่างไร ภายใต้เสียงคำรามของสายฟ้าแลบ เสียงของพวกเขาถูกกลบไปโดยสิ้นเชิง

เงาสีขาวที่แฉลบผ่านไปอย่างรีบร้อนนั่น ราวกับว่าได้หายตัวไปในแสงของท้องฟ้ายามใกล้ค่ำแล้ว

ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงวิ่งไปทางที่เงาสีขาวหายตัวไป ยังจำเป็นต้องแยกกันวิ่งอีก ไม่เช่นนั้น สายฟ้าแลบที่น่ากลัวลงมาสายหนึ่ง ย่อยยับทั้งหมด

ฉับพลันนั้น!

“เปรี้ยง!”

“อ้า…….”

สายฟ้าผ่าที่น่ากลัวลงมาสายหนึ่ง ผู้หนึ่งในนั้นเพิ่งจะแฉลบตัวหลบฟ้าแลบสายหนึ่ง คิดไม่ถึง ตำแหน่งที่เขาแฉลบตัวไปถึง ฟ้าแลบอีกสายหนึ่งก็ลงมาอีกพอดี คนผู้นั้นล้มลงพื้นในพริบตา ทั้งร่างไหม้ดำ ยังผุดควันไหม้ขึ้นอีกด้วย

ทุกคนไม่กล้าหยุดฝีเท้า

พยายามวิ่งไปด้านหน้าอย่างสุดชีวิตโดยตลอด ทั้งยังแฉลบตัวหลบสายฟ้าแลบที่ผ่าลงมาจากท้องฟ้าอยู่ตลอดอีก

จากสายฟ้าผ่าลงบนพื้นที่ยิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาคนกลุ่มหนึ่ง เริ่มตายไปทีละคน

หลานเยาเยาที่หลบหลีกฟ้าผ่าได้หลายสายแล้ว ร้องตะโกนเรียกอยู่ในสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ตลอด อาส้ง อาส้ง เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้าแล้ว ได้ยินแล้วก็บอกข้าในระบบว่าถ้ำอยู่ที่ไหน…….

ทั้งเสียงฟ้าแลบฟ้าร้องที่น่าสะพรึงกลัว ทั้งลมที่โหมกระหน่ำ ไม่รู้ว่าเพราะสนามแม่เหล็กของแผ่นดินใหญ่ผืนนี้เกิดปัญหา หรือว่าที่ใกล้ๆนี้มีอุกกาบาต ตั้งแต่เข้าใกล้แผ่นดินใหญ่ผืนนี้ นางก็รับรู้ไม่ได้ว่าส้งเย่นกุยยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

“เปรี้ยง…….”

ฟ้าผ่าอีกสาย ตกลงด้านหลังของนางโดยตรง

หลานเยาเยาหลีกออกแล้ว แต่ยังถูกสะเทือนจนชาไปทั้งตัว แต่ว่า ผลกระทบไม่มาก แต่วินาทีถัดมา หานแสที่อยู่ข้างกายตลอดไม่ห่างพุ่งเข้ามากะทันหัน เอานางโถมตัวไปอีกข้างโดยตรง และปกป้องนางไว้อย่างแนบแน่น

ฟ้าแลบที่แข็งแกร่งสายหนึ่งตามมา ตกลงพื้นที่ห่างจากพวกเขาเล็กน้อย บนพื้นถูกกระแทกเป็นหลุม

หลานเยาเยาเกือบจะถูกฟ้าผ่าเป็นลมไป

โชคดีที่ระบบเกิดเสียงแสบหูขึ้นมา ทำให้นางค่อยๆมีสติขึ้นมา

แต่หลังจากที่เห็นชัดเจนแล้ว ก็เห็นหยดเลือดสีแดงหยดลงบนหน้าของนาง หยดแล้วหยดเล่า…….

หานแสถูกฟ้าผ่าไม่เบา อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บแล้ว

เลือดไหลลงมาจากเส้นผมของหานแส หลานเยาเยาเอื้อมมือไปคลำด้านหลังศีรษะของเขา เป็นรอยเลือดโชกทั้งผืน

คาดว่านั่นคือฟ้าผ่าที่ทรงพลังมาก กระทบบนพื้นเป็นหลุมใหญ่ ก้อนหินบนพื้นกระเด็นไปรอบๆ หานแสปกป้องนาง หลบไม่ทันจึงได้รับบาดเจ็บ

หลานเยาเยาค่อยๆพยุงหานแสให้ลุกขึ้น พาเขาเดินไปทางด้านหน้าทีละก้าวๆ แต่เป็นเช่นนี้ การเคลื่อนตัวและการแฉลบตัวหลบของพวกเขา ก็เปลี่ยนเป็นเชื่องช้าเป็นที่สุดแล้ว

“ไม่ต้องสนใจข้า เจ้าไปก่อน”

หานแสเป็นคนกระดูกแข็ง ในแนวคิดของเขา มีเพียงเขาที่อยู่ในฐานะช่วยเหลือคน ไม่มีเหตุผลให้คนอื่นมาช่วยเหลือเขา เขาเป็นคนถือตัว ไม่ต้องการการถูกช่วยเหลือ

ไหนเลยจะรู้…….

หลานเยาเยาหยิบผ้าพันแผลออกมาจากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยตรง ใส่ยาให้อย่างง่าย พันแผลที่ศีรษะของเขาด้วยความรวดเร็ว อีกทั้งมัดพวกเขาทั้งสองคนไว้ด้วยกันโดยตรง

จากนั้นจึงเปิดปากกล่าวว่า

“ข้าไม่อยากตาย เจ้ามีแรงพูด มาเป็นตาด้านหลังของข้ายังจะดีซะกว่าบางทีอาจจะไม่ต้องตายไปด้วยกัน”

“เหอะเหอะ ข้ากลับอยากตายไปกับเจ้า แต่ว่า ข้าไม่สามารถทำให้เจ้าตายได้!” คนที่อ๋องเย่ตายไปก็ยังต้องการปกป้อง แน่นอนว่าเขาก็สามารถทำได้ดียิ่งกว่า

แม้ว่าในเวลานี้หานแสจะสติเลอะเลือนเล็กน้อย แต่ว่า เป็นดวงตาไม่เป็นปัญหา

ภายใต้การร่วมมือของทั้งสอง แม้ว่าการเคลื่อนตัวและหลบหลีกจะมีขีดจำกัด แต่พวกเขาหลบสายฟ้าจากสวรรค์ได้มากมายแล้ว

“เปรี้ยง……”

“เปรี้ยง เปรี้ยง……”

เสียงฟ้าร้องดังน่าสะพรึงสายแล้วสายเล่า ทำให้หลานเยาเยายิ่งอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเริ่มด่าแล้วจริงๆ

“แม่งเอ๊ย เป็นใครกันที่สาบานมั่วซั่วอีกแล้ว? มีความสามารถก็ไปผ่าคนที่สาบานนั่นสิ! จะมาผ่าข้าโดยเฉพาะทำไม ข้าไปกินทั้งครอบครัวของเจ้าหรือไง?”

“เหอะเหอะเหอะ……”

ทั้งๆที่กำลังหนีเอาชีวิตรอด แต่ได้ยินหลานเยาเยาหลุดปากด่าทอยกใหญ่ หานแสแทบจะปิดหน้าส่ายศีรษะแล้ว

หลานเยาเยาที่น่ารักกลับมาแล้ว

“หัวเราะกับผีนะสิ!” หลานเยาเยาโมโห

“เจ้าโดนฟ้าผ่าโง่ไปแล้ว ระวังด้านหลัง”

หานแสหยอกล้อไปพลาง เตือนนางไปพลาง

“เจ้าสิโดนฟ้าผ่าโง่ไปแล้ว ข้าดูอยู่นี่! ถ้าลูกข้าหายไปแล้ว ข้าจะให้เจ้าชดใช้”

“ได้สิ! ข้ากลับสามารถชดใช้ได้ ก็ดูว่าเจ้าจะยอมหรือไม่แล้ว”

“เจ้าหุบปาก!” หลานเยาเยาโกรธจนแทบจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

หานแสปิดปากอย่าว่านอนสอนง่าย

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

ทั้งสองก็ถึงตีนเขาของภูเขาที่ไหม้เกรียมแล้ว แต่สีของท้องฟ้ามืดสลัวเป็นอย่างมาก พวกเขามองไม่เห็นโดยสิ้นเชิงว่ามีหรือไม่มีถ้ำ อีกทั้งเวลานี้ทั้งสองหมดแรงแล้ว ขึ้นเขาก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เช่นนั้นพวกเขาก็มีเพียงทางตายทางเดียวแล้ว

“ดูท่าว่าจะไม่ให้ทางรอดเลย”

“ต้องการจะตายแล้ว……”

แม้ว่าจะไม่ให้ทางรอด หลานเยาเยาก็ไม่ใช่คนที่นั่งรอความตาย แม้ว่าพยายามจนสุดแรงกำลังครั้งสุดท้าย เพียงแค่มีความหวังว่าจะรอด นางจะไม่ละทิ้งเด็ดขาด

เพราะว่า นางยังหาเย่แจ๋หยิ่งไม่พบน่ะ……

“เยาเยา”

หานแสเรียกนางไว้อย่างฉับพลัน

“อย่ามาบอกความในใจกับข้า ความรักของข้าทั้งหมดได้ทุ่มเทให้คนผู้หนึ่งไปทั้งหมดแล้ว และไม่มีอย่างอื่นอะไรแบ่งให้คนอื่นได้อีกแล้ว” แม้ว่าจะไม่ยอมรับ ตานางก็สามารถมองจิตใจของหานแสออกได้อย่างรางๆ

แต่นางใจแคบมาก สามารถจุคนได้เพียงผู้เดียว

สีหน้าท่าทางของหานแสค่อนข้างเศร้าหมอง ทั้งที่รู้ผลลัพธ์ แต่ไม่เคยคิดว่า หลานเยาเยาจะไม่มีให้เขาแม้แต่โอกาสเอ่ยปาก

ด้วยเหตุนี้ เขาถอนหายใจแล้ว

“ข้ายังไม่ได้พูดนะ! เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคิดจะพูดอะไร? ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจข้ามากกว่าที่ข้าคิดไว้ ข้าปลื้มใจมาก

อันที่จริงข้าเพียงแค่อยากพูด……”

“นี่!” เสียงหนึ่งดังมาอย่างกะทันหัน

ทั้งๆที่เป็นเพียงแค่คำเดียว แต่กลับคุ้นเคยจนทำให้หลานเยาเยาแทบจะน้ำตาไหลออกจากเบ้าตา สองคนหันไปพร้อมกัน มองไปทางต้นเสียง

ก็คือส้งเย่นกุยที่สวมชุดสีขาวทั้งตัว เขาหลบสายฟ้าที่น่าสะพรึงสายหนึ่งแล้ว แฉลบตัวมาถึงด้านหน้าของพวกเขา เหลือบมองหานแสแวบหนึ่ง เปิดปากอีกครั้ง

“หยอกเย้ากันพอแล้ว ก็ตามข้าไปดูอ๋องเย่เถอะ! ไม่แน่เขาอาจจะโกรธจนฟื้นมาก็ได้”

พูดจบ!

ส้งเย่นกุยก็เห็นเจ้านายของตัวเองน้ำตาหลุดออกมาจากเบ้าตาแล้ว จากนั้นคิดไม่ถึงว่าจะไม่สนอกสนใจจริงๆ “แง” เสียงหนึ่งก็ร้องไห้โดยไร้การควบคุมแล้ว

ส้งเย่นกุย “……”

เมื่อครู่ไม่ใช่หยอกเย้ากันอยู่หรือ? ตอนนี้ร้องไห้ทำไม?

หานแส “……”

อ๋องเย่อยู่ที่นี่จริงๆหรือนี่!

ในใจของหานแสได้รับความกระทบกระเทือนจนอึดอัดใจ……

…….

ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ทุกอย่างโค่นล้มความรู้ความเข้าใจของพวกเขา สิ่งที่มองจากที่ไกลเหมือนเป็นยอดเขาอีกทั้งเหมือนเป็นสิ่งก่อนสร้าง สุดท้ายเปลี่ยนเป็นภูเขาศพมหึมาเป็นลูกๆ

และที่พวกเขาเห็นเป็นภูเขาที่ไหม้เกรียมไม่ใช่ภูเขา แต่เป็นบ้านที่ถูกทิ้งร้างของคนจากนอกแผ่นดิน

จุดหลบลมของภูเขาที่ไหม้เกรียม มีทางเข้าเพียงที่เดียว ด้านในมีถ้ำขนาดใหญ่ เขาทั้งลูกแทบจะถูกขุดเป็นโพรงว่างเปล่า สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานมีพร้อม แต่ล้วนถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้งานมานานมากแล้ว

ด้านนอกที่มืดสลัว ลมพัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ฟ้าร้องฟ้าผ่า เปรียบได้เหมือนดั่งวันสิ้นโลก

ด้านในบ้านร้างของคนจากนอกแผ่นดิน

กลุ่มคนสิบกว่าคน ตอนนี้มีชีวิตรอดเพียงไม่กี่คน

เวลานี้มองดูสิ่งอำนวยความสะดวกด้วยความตะลึง ถ้วยที่ถูกทุบแตกใบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะสามารถใช้ทำเป็นเตียงของมนุษย์เช่นพวกเขาได้

อย่างอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว สิ่งของใหญ่โตจนจินตนาการไม่ออก

ที่หนึ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา ถูกส้งเย่นกุยวางเตียงหลังหนึ่งที่หยิบออกมาจากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ

หลานเยาเยาก็ยืนอยู่ข้างเตียง

บนเตียงเป็นผู้หนึ่งที่สีหน้าซีดขาว ผู้ชายที่ไม่มีโอกาสจะรอดชีวิตแม้แต่น้อย เขาสวมชุดเกราะสีเหลือทอง เวลานี้ขาดรุ่งริ่งดูไม่ได้ ทุกที่พังยับเยิน ยังมีร่องรอยการถูกกัดกร่อน

แต่โฉมหน้าที่ดูเหมือนเซียนตกสวรรค์ที่โรยรานั่น ทำให้หลานเยาเยาเพียงแค่แวบเดียว ก็คัดจมูกทันทีแล้ว น้ำตารื้นเบ้าตาในพริบตา

มือที่สั่นเทาไม่หยุดของนาง สัมผัสไปเบาๆที่ฝ่ามือใหญ่ๆเย็นๆเล็กน้อยของเย่แจ๋หยิ่ง เสียดสีครู่หนึ่ง น้ำตาไหลผ่านใบหน้า หยดลงบนมือของเย่แจ๋หยิ่งหยดแล้วหยดเล่า เจ็บปวดจี๊ดในใจเป็นที่สุด

แต่ร้องไปร้องไป หลานเยาเยาก็หัวเราะแล้ว หัวเราะไปหัวเราะไปก็กลับร้องไห้อีกแล้ว…….

เทียบกับความเจ็บปวดปานจะขาดใจของหลานเยาเยา

บรรยากาศของหานแสทางนี้เก้ๆกังๆเป็นที่สุด

หานแสมองผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองติดๆ และก็คนที่ถูกเขาส่งไปปลอมแปลงหลักฐานว่าอ๋องเย่อาจจะยังมีชีวิตอยู่ผู้นั้น

เขายังไม่ถูกฟ้าผ่าตาย เวลานี้กำลังรับสายตาที่เหมือนดั่งธนูหมื่นดอกแทงทะลุหัวใจซึ่งมาเจ้าของเรือตัวเองอยู่

อดกลั้นอยู่นาน ในที่สุดหานแสก็อดกลั้นความวู่วามที่จะต่อยคนสักหมัดได้

เสียงที่น่ากลัวค่อยๆดังมา ตรงถึงแก้วหูของผู้ใต้บังคับบัญชา ราวกับว่าต้องการถลกหนังเขาทั้งเป็นเช่นนั้น

“เศษชิ้นส่วนเกราะสีเหลืองทองปลอมนั่นที่ข้าให้เจ้าไปเอาล่ะ?”

“ล้มระหว่างทาง หายไปแล้วขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาตกใจกลัว ทำได้เพียงตอบอย่างซื่อๆ