บทที่ 639 ยอมแพ้การแข่งขัน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 639 ยอมแพ้การแข่งขัน

บทที่ 639 ยอมแพ้การแข่งขัน

ซูเสี่ยวต้าได้ยินที่ภรรยาของตัวเองพูดเรื่องที่หลานสาวต้องการเปิดโรงงานขึ้นมาสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

เขาจ้องมองภรรยาของตัวเองพลางพูด “ที่เธอพูดแบบนี้ว่าเสี่ยวเถียนเปิดโรงงานมีอะไรเกี่ยวกับพวกเราหรือ?”

หรือภรรยาของเขาต้องการโรงงานในมือของเสี่ยวเถียน?

โรงงานของเสี่ยวเถียนนั่นเป็นทรัพย์สมบัติของตัวเสี่ยวเถียนเอง พวกเราล้วนไม่เกี่ยวอะไรด้วย ต่อให้เขาจะไม่มีอนาคตก็ไม่อาจแย่งของในมือหลานสาวอย่างหน้าไม่อายได้

หวังเซียงฮวาจ้องมองสามีตัวเองอย่างโมโห

“ในใจคุณฉันเป็นคนแบบไหนกัน?”

“เป็นเธอพูดออกมาเองไม่ใช่ฉันที่เดานะ!” ซูเหล่าต้าแย้งทันที

“ฉันไม่ได้ต้องการแย่งโรงงานของเสี่ยวเถียนฉันแค่คิดว่า ในเมื่อเสี่ยวเถียนต้องการเปิดโรงงานไข่พะโล้ก็แน่นอนว่าต้องการวัตถุดิบ!”

ต้องกล่าวว่าหวังเซียงฮวาเป็นคนที่ในหัวมีทางรอดมากมาย

ซูเหล่าต้าราวกับเข้าใจสิ่งที่ภรรยาคิดอยู่ในใจ

“เธอหมายความว่าให้พวกเราเปิดฟาร์มแล้วร่วมธุรกิจกับเสี่ยวเถียนหรือ? แต่พวกเราอยู่ที่นี่ไข่ไก่เป็นของที่ทนแรงกระแทกไม่ได้!”

“พวกเราสามารถไปเปิดฟาร์มที่เมืองหลวงได้เพื่อส่งไข่ไก่ให้โรงงานของเสี่ยวเถียนโดยเฉพาะ” หวังเซียงฮวาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ

การเพาะเลี้ยงฟาร์มเรื่องช่องทางการจัดจำหน่ายเป็นปัญหาที่น่ากลัวที่สุด

ขอเพียงมีช่องทางการจัดจำหน่ายเธอก็รับรองได้ว่าสามารถเลี้ยงไก่ได้ดี

ซูเหล่าต้าถูกคำพูดนี้ของภรรยาทำให้ตกใจ

พวกภรรยาช่างกล้าคิดจริง ๆ

เปิดฟาร์มไก่ที่เมืองหลวงต่อให้คิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้

“ยังไม่ดื่มเหล้าทำไมถึงเมาเสียแล้วเล่า?” ซูเหล่าต้าพูดบ่น

“สามีคุณลองคิดดูนะพวกเราก็เป็นคนมีฝีมือ ไปเมืองหลวงค่อย ๆ หาสถานที่ทำฟาร์ม รอจนเสี่ยวเถียนสร้างโรงงานแล้วพวกเราก็น่าจะมีไข่ไก่ในฟาร์มไก่แล้ว ไม่ใช่ว่าเหมาะเจาะเลยหรือ?”

หวังเซียงฮวายิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดของตัวเองสมเหตุสมผล

ซูเหล่าต้ายังคิดว่าภรรยาของเขาคิดเรื่องเงินจนเสียสติไปแล้ว แม้แต่ความคิดแบบนี้ก็ยังกล้าคิดมาได้

“ไม่ได้ ไม่ได้ พวกเราไม่คุ้นเคยกับชีวิตที่นั่น”

“ไม่คุ้นเคยกับชีวิตที่นั่นแล้วจะกลัวอะไรเล่า? เหล่าเอ้อร์กับภรรยาที่อยู่ตัวเมืองของมณฑลไม่ใช่ว่าไม่คุ้นเคยกับชีวิตหรือ? ตอนนี้ไม่ใช่ว่าหาเงินได้แล้วหรือ?” หวังเซียงฮวายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าความคิดของตัวเองดีมาก

“ถ้าไม่อย่างนั้นตอนที่ฉันโทรกลับไปหาพ่อแม่จะลองถามเสี่ยวเถียนดูว่าแบบนี้ได้ไหม? ถ้าเสี่ยวเถียนวางแผนดีแล้วพวกเราก็จะไม่กลายเป็นปัญหาใช่ไหม?”

หวังเซียงฮวาได้ยินซูเหล่าต้าพูดแบบนี้ก็พยักหน้าเห็นด้วย

“สามีที่คุณพูดก็ถูกแล้วพวกเราไม่อาจสร้างปัญหาให้เสี่ยวเถียนได้”

หวังเซียงฮวาค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดของสามีเธอ

พวกเด็กในบ้านที่ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกนับว่าไม่ง่ายเลย ในเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วก็จะมัวแต่รีรอไม่ได้อีกต่อไป

ตอนที่ซูเสี่ยวเถียนรับสายจากพ่อใหญ่และแม่ใหญ่ก็ยังตกตะลึงเป็นอย่างมาก

พวกเขามีความคิดแบบนี้ทำให้ซูเสี่ยวเถียนดีใจเป็นอย่างมาก

คนในบ้านไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่หนึ่งหมู่สามส่วน ทั้งยังหาลู่ทางการพัฒนาเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดียิ่ง

เดิมทีเธอยังกังวลใจว่าหากพ่อใหญ่และแม่ใหญ่ทั้งสองคนไม่ยอมออกจากหมู่บ้านจะทำอย่างไร ตอนนี้ก็แล้วไปไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว!

“พ่อใหญ่คะแม่ใหญ่คะพวกคุณมาที่เมืองหลวงก่อน ส่วนถ้าต้องการทำฟาร์มหมูหรือฟาร์มไก่พวกเราค่อยมาปรึกษากันอีกทีเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างยินดียิ่ง

เดิมทีเธอคิดว่าต้องการเพาะเลี้ยงฟาร์มของตัวเอง พ่อใหญ่แม่ใหญ่มีความคิดแบบนี้ก็ลดปัญหาไปได้มาก

ซูเหล่าต้าและหวังเซียงฮวาสองปีมานี้อยู่ที่บ้านเกิด พวกเด็ก ๆ ล้วนอยู่ที่เมืองหลวงถ้าพูดว่าไม่คิดถึงก็นับว่าโกหกแล้ว

ตอนนี้มีโอกาสได้ไปรวมตัวกับพวกเด็ก ๆ ที่เมืองหลวงก็ดีใจยิ่ง

วันต่อมามีข่าวแพร่ไปทั่วว่าซูเหล่าต้าและภรรยา ยอมแพ้จากการแข่งขันชิงสิทธิ์ในการจัดการฟาร์มทั้งสองแห่ง เป็นธรรมดาที่สองสามีภรรยาจะไม่ได้พูดความคิดที่แท้จริงไป

พวกเขามีเป้าหมายอยู่ข้างนอกทั้งยังรู้สึกว่าการแข่งขันรุนแรงเกินไป

เรื่องที่ซูเหล่าต้าและภรรยายอมแพ้จากสิทธิ์ของฟาร์มทั้งสองแห่งแพร่ไปทั่วชุมชนการผลิตหงซินอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ชื่อก็เปลี่ยนเป็นหมู่บ้านหนานหลิ่งแล้ว

เดิมทีพวกสมาชิกล้วนมองว่าซูเหล่าต้าและภรรยาเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุด จู่ ๆ มาได้ยินข่าวนี้ก็ล้วนสับสนมึนงงยิ่ง

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

ฟาร์มทั้งสองแห่งไม่ได้ทำเงินเลยหรือ?

ในใจของเหล่าสมาชิกคิดว่าตระกูลซูเก่งกาจมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่กี่ปีมานี้ตระกูลซูพัฒนาไปอย่างไรพวกเขาก็ล้วนเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงขนาดที่มีหลายคนเชื่อว่าคนที่ติดตามตระกูลซูจะสามารถมีชีวิตที่ดีได้

ตอนนี้ซูเหล่าต้าและภรรยายอมแพ้เรื่องสิทธิ์ในการประกอบการโรงงานไม่มาแข่งขันกับพวกเขาแล้ว แบบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไปไม่เป็นในพริบตา

“คุณว่าหลานชายคุณโง่หรือเปล่า?” เมื่อหลิวซิ่วอิงได้ยินข่าวนี้ก็กลับบ้านมาพูดกับซูซาน

ซูซานไม่กี่ปีมานี้รู้สึกกลัดกลุ้ม

เขามองหลิวซิ่วอิงพูดอย่างเย็นชา “ไม่ใช่เรื่องของครอบครัวตัวเองก็ยุ่งให้มันน้อยหน่อย!”

หลิวซิ่วอิงภูมิฐานมาทั้งชีวิตส่วนซูซานก็คับอกคับใจมาทั้งชีวิต แต่หากคนที่คับอกคับใจเริ่มลงไม้ลงมือก็จะยิ่งไม่อาจควบคุมได้

หลังจากที่ซูซานลงไม้ลงมือกับหลิวซิ่วอิงครั้งแรก ขอเพียงหลิวซิ่วอิงทำอะไรไม่ดีเขาก็จะยิ่งลงไม้ลงมือกับเธอตรง ๆ

หนึ่งปีกว่ามานี้หลิวซิ่วอิงถูกตีจนกลัวแล้วจริง ๆ

เมื่อได้ยินซูซานพูดแบบนี้หลิวซิ่วอิงก็ไม่กล้ายอกย้อน

ซูซานไม่คิดจะพูดอะไรไร้ประโยชน์กับหลิวซิ่วอิงในบ้านอีก หยิบยาสูบออกไปนอกบ้าน

ช่วงเก็บเกี่ยวประจำปีฟ้าฝนถูกต้องตามฤดูกาล ทำให้การเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ ไร่นาของเขาก็งอกงาม

ซูซานทำไร่นามาทั้งชีวิตมองดูก็รู้สึกว่ามีชีวิตชีวายิ่ง เขานึกถึงเรื่องหลายปีก่อนขึ้นมาเรื่องที่พี่ชายน้องชายของเขาให้เป็นเจ้าของปศุสัตว์ เรื่องเหล่านี้เดิมทีคิดว่าลืมไปนานแล้ว ตอนนี้เพิ่งนึกได้ว่าที่แท้ก็จดจำทุกอย่างไว้ในใจได้ทั้งหมดไม่เคยลืม

แต่ไม่กี่ปีมานี้พี่ชายน้องชายทั้งสองคนที่ยังดี ๆ กันอยู่นับวันความสัมพันธ์ก็ยิ่งห่างเหิน

ตรงกันข้ามกับครอบครัวของพี่ใหญ่ ที่แม้จะไม่ใช่คนที่มีสายเลือดเดียวกันแต่นับวันยิ่งแน่นแฟ้น

เพราะเหตุผลนี้ชีวิตของครอบครัวพี่ใหญ่นับวันจึงดีขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ครอบครัวเขาอยู่ในสถานการณ์บ้านแตกสาแหรกขาด แต่แม้จะไม่ถึงขั้นแย่ ทว่าก็ไม่ได้ดีนัก

ลูกชายทั้งสองคนคิดอยากจะแยกบ้านตลอด

ความจริงเขาก็เข้าใจได้

หลิวซิ่วอิงผู้หญิงคนนี้เป็นคนเลอะเทอะ

นิสัยของเธอชอบพูดเสียดสีทั้งยังเห็นแก่ตัว และปฏิบัติต่อลูกสะใภ้ไม่ดี

ลูกสะใภ้ทั้งสองคนสามารถอดทนได้หลายปีก็นับว่ายากแล้ว!

เขาจะไปตำหนิลูกสะใภ้ก็ไม่ได้ แต่กับหลิวซิ่วอิงก็ใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยากันมานานเขาก็ไม่อาจหย่าได้

หรือต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปทั้งชีวิต?

ครั้งนี้มองผิวเผินเหล่าต้ากับภรรยาดูไม่คิดจะแข่งขันกับคนในหมู่บ้านแต่จะเป็นแบบนั้นจริงหรือ?