บทที่ 665 คืนสู่เจ้าของเดิม

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 665 คืนสู่เจ้าของเดิม

บทที่ 665 คืนสู่เจ้าของเดิม

เมื่อได้ยินคำพูดของอี้ฝาน โค่วเวยก็แตะลงที่เปลือกตาของตัวเอง

“นี่เป็นสิ่งที่นางเต็มใจมอบให้กับข้าด้วยตนเอง”

นางแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ถ้าเจ้าอยากได้ ก็จงมาแย่งมันด้วยตัวเอง”

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

ลูกธนูสามดอกพุ่งออกมากลางอากาศ โค่วเวยหันศีรษะหลบอย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกธนูทั้งสามพุ่งปักเข้าบัลลังก์ของนาง ก่อนจะตามมาด้วยเถาวัลย์นับไม่ถ้วนที่งอกออกมาทำลายพนักพิงของบัลลังก์

โค่วเวยลุกขึ้นยืน ใบหน้าของนางครึ้มลง

“ซีเอ๋อร์เส้อ”

ดาบยาวสองเล่มปรากกฏขึ้นมาในมือของนาง

“พวกเราพร้อมกัน”

“อืม”

เจ้าแห่งรุ่งอรุณลุกขึ้นจากบัลลังก์ เขาดึงดาบใหญ่สีขาวบริสุทธิ์ที่ปักอยู่ข้างบัลลังก์ออกมา

ทันใดนั้นร่างของสองสามีภรรยาก็กลายเป็นลำแสงเลือนหายไป ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงของวังเทวาลัยในเสี้ยวลมหายใจต่อมา โดยที่ซีเอ๋อร์เส้ออยู่ด้านซ้าย โค่วเวยอยู่ด้านขวา ทั้งคู่ถือดาบพุ่งเข้าใส่หมายสังหารอี้ฝานพร้อมกัน

อี้ฝานเหวี่ยงดาบใหญ่ออกมาปะทะเข้ากับดาบคู่ของโค่วเวย! และเบี่ยงดาบนางไปชนกับดาบของซีเอ๋อร์เส้อ

เสียงอาวุธทั้งสามคนปะทะกันดังสนั่น พลังทั้งหมดในร่างของอี้ฝานพุ่งพล่าน แม้จะเป็นการต่อสู้สองต่อหนึ่ง ทว่านักรบผมขาวก็ไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ดั่งเกิดพายุขึ้นในวังเทวาลัย เปลวไฟและแสงสว่างปะปนกับสายลม ตัดเฉือนเสาและพื้นเสียหายยับเยิน

เปลวไฟลุกขึ้นมาในห้องโถง เพลิงโหมกระหน่ำเป็นวงกลมล้อมรอบทั้งสามเอาไว้ภายใน

อี้ฝานที่กำลังปะทะกับอีกฝ่ายชะงักไปชั่วอึดใจ ทันใดนั้นเขาก็ออกแรงผลักอาวุธของซีเอ๋อร์เส้อและโค่วเวยกลับไป

ทางด้านสองสามีภรรยาที่ถูกดันให้ถอยกลับกลายเป็นลำแสงทะลุผ่านวิถีดาบของอี้ฝาน และหายไปโผล่ที่ขอบของกำแพงไฟ

“เจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้”

ซีเอ๋อร์เส้อพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งครั้ง เปลวเพลิงที่ลุกไหม้อยู่บนดาบใหญ่พลันดับลง เขามองไปทางอี้ฝานแล้วกล่าวว่า

“เว่ยเอ๋อร์ ซือไน่เต๋อ หนี่นั่ว และเป๋าเต้อเหวิน ข้าล้วนรู้แจ้งชัดถึงพลังของทั้งสี่คนนี้ดี แม้เจ้าจะได้รับพลังคืนจากคนพวกนั้น อย่างมากสุดก็สามารถเทียบเท่ากับข้าไม่ก็โค่วเวย”

เขามองไปทางอี้ฝาน พร้อมกับยกดาบสีขาวที่เปล่งประกายด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ราวกับดวงตะวันบนท้องนภาขึ้นมา

“ส่วนตัวข้า แม้จะแบ่งพลังให้กับสาวกทำให้พวกเขากลายเป็นเทพเจ้า พลังของข้าก็ยังไม่ด้อยไปกว่าพวกนั้น อีกทั้งในตอนนี้ข้าได้เอาพลังทั้งหมดที่มอบให้ผู้อื่นคืนมาแล้ว เจ้าก็ไม่ควรที่จะต่อกรกับข้าได้นานขนาดนี้ เจ้าไปเอาพลังมาจากที่ใดกัน?”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”

อี้ฝานชูดาบใหญ่ขึ้นมา จากนั้นจึงพุ่งเข้าใส่ ในขณะที่ซีเอ๋อร์เส้อและโค่วเวยกลายเป็นแสงเคลื่อนออกไปอีกครั้ง ทว่าร่างของอี้ฝานก็พลันกลายเป็นเงาสีดำไล่กวดปะทะเข้ากับลำแสงทั้งสองให้ตกลงไปเบื้องล่างพร้อมกัน

หลังจากถึงพื้นแล้ว อี้ฝานก็ยกขาถีบโค่วเวยไปด้านหลัง จากนั้นก็ฟาดดาบใหญ่ลงมากดลงบนดาบของซีเอ๋อร์เส้อ

“เจ้าเพียงแค่รู้ว่า เมื่อก่อนเจ้าสู้ข้าไม่ได้ ตอนนี้เจ้าก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เท่านั้นก็พอ”

อี้ฝานใช้ดาบใหญ่ในมือกดร่างของเจ้าแห่งรุ่งอรุณลงจนกระทั่งคุกเข่าแทบจะชนกับพื้น!

“ยุคแห่งแสงสว่างได้ผ่านไปแล้ว เจ้าเองก็ไม่มีทางสู้ข้าได้!”

เจ้าแห่งรุ่งอรุณคำราม ลำแสงเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างของเขา ทว่าอี้ฝานก็ระเบิดพลังหลากสีป้องกันได้ทันท่วงที ทำให้เขายังคงปราบปรามอีกฝ่ายได้อย่างหมดจด ทั้งยังทำให้ซีเอ๋อร์เส้อถูกกดลงจนเข่าข้างหนึ่งทรุดลงกับพื้น

โค่วเวยโผล่ขึ้นมาหมายจะใช้ดาบแทงด้านหลังของอี้ฝาน ทว่าฉับพลันนั้นใต้ฝ่าเท้าก็เหมือนเหยียบลงบนความว่างเปล่า สูญเสียซึ่งสมดุล

มีเสียงพังทลายดังทั่ววังเทวาลัย ทิวทัศน์ด้านนอกพระราชวังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา

โค่วเวย ซีเอ๋อร์เส้อ และอี้ฝานต่างพากันประคองร่างกายตนให้มั่น ซีเอ๋อร์เส้อถือโอกาสนี้สลัดออกจากอี้ฝาน เมื่อพวกเขามองออกไปข้างนอกก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น การต่อสู้กันระหว่างพวกเขาสามคนทำให้วังเทวาลัยไม่อาจทนรับไหว มันพังทลายร่วงหล่นลงไปจากท้องฟ้า

ทว่าเรื่องนี้ไม่ส่งผลกระทบอันใดต่อเจตนารมณ์ของอี้ฝาน เขาทรงตัวให้มั่นก่อนจะพุ่งเข้าไปหมายสังหารทั้งสองคนอีกครั้ง

ทั้งสามปลดปล่อยพลังทั้งหมดเข้าต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นแสงสว่าง เปลวเพลิง เถาวัลย์ และความตาย พลังทุกชนิดปะทุขึ้นมาทำลายวังเทวาลัยที่แข็งแรงจนพังย่อยยับ

วังเทวาลัยพังทลายลงไปกว่าครึ่ง โถงทั้งหมดกลายเป็นเศษซากปรักหักพังกระจัดกระจายไปในอากาศด้วยผลพวงจากการต่อสู้ระหว่างทั้งสามคน พวกเขากลายเป็นสองลำแสงและหนึ่งเงาดำเคลื่อนที่ไปมาตามจุดต่าง ๆ ของวังเทวาลัย แม้กระทั่งด้านหลังและด้านล่างของวังเทวาลัยยังถูกทำลายจนสิ้น

ทั้งสามต่อสู้กันจนกระทั่งแสงสว่างยามทิวาเริ่มจางหาย ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลงจนย่ำเข้าพลบค่ำ ท้ายที่สุดแล้ว วังเทวาลัยก็พังทลายลงมาทับครึ่งหนึ่งของเมืองหมิงกวง ส่วนอีกครึ่งก็ถูกคลื่นกระแทกทำลายตามไป และในไม่ช้าเมืองหลวงหมิงกวงทั้งหมดก็พินาศสิ้น

ท่ามกลางซากปรักหักพัง ร่างแสงและเงายังคงต่อสู้พัวพันกัน ทว่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว ร่างที่เป็นแสงสว่างกลับเริ่มริบหรี่ลง

ครั้นดวงอาทิตย์อัสดง เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วจนย่างเข้าสู่ยามราตรี หากแต่บนท้องฟ้ายังคงไร้ซึ่งประกายแสง สถานที่ที่เคยเจิดจ้าที่สุดในดินแดน บัดนี้ได้พังทลายจมดิ่งลงสู่ความมืด

ภายใต้ความมืดของซากปรักหักพัก ผลการต่อสู้ระหว่างอี้ฝานและกษัตริย์แห่งรุ่งอรุณและชายาก็ถูกตัดสินแล้ว

อี้ฝานถูกแทงเข้าที่ไหล่ ท้องเละเอวถูกแทงด้วยดาบคู่ แต่ดาบใหญ่ของเขาก็แทงหน้าอกทะลุออกไปด้านหลังของซีเอ๋อร์เส้อ เลือดหยดรินลงมาเป็นทาง

โค่วเวยล้มลงมองมือทั้งสองข้างที่ขาดไปของตนเอง ทว่ามือคู่นั้นของนางยังคงกำดาบคู่ที่แทงเข้าไปในร่างของอี้ฝานค้างเอาไว้

นักรบเกศาขาวไม่กล่าววาจาใด ออกแรงดึงดาบใหญ่ที่แทงทะลุร่างของซีเอ๋อร์เส้อขึ้น และผ่าร่างของอดีตผู้ปกครองแห่งยุคแสงสว่างออกเป็นสองซีกในครั้งเดียว

เลือดพุ่งกระเซ็นออกมากลายเป็นหยาดฝนโลหิตคาวคละคลุ้งตกลงกระทบใบหน้า อี้ฝานพ่นลมหายใจยาว ซึมซับกับความรู้สึกดียามได้แก้แค้น

กลุ่มแสงสีขาวบริสุทธิ์จากร่างของซีเอ๋อร์เส้อลอบเข้าไปในร่างของเขา คราวนี้อี้ฝานสามารถดูดซับมันได้ทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากอวี่ฝู

เดิมทีแสงเหล่านี้เป็นพลังของเขา มันเป็นพลังแรกที่เขามี

อี้ฝานดึงดาบใหญ่ออกจากร่างของซีเอ๋อร์เส้อแล้วแบกมันเอาไว้บนบ่า จากนั้นจึงดึงดาบใหญ่สีขาวที่ฝังอยู่บนไหล่และดาบคู่ที่แทงอยู่ออกโยนลงบนพื้น เพียงอึดใจต่อมา พลังแสงในร่างของเขาก็รักษาบาดแผลบนร่างกายให้หายไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากรอคอยมาแสนนาน ในที่สุดความว่างเปล่าในกายเขาก็ถูกเติมเต็ม อี้ฝานรู้สึกได้ถึงพลังที่กลับเข้าสู่ร่าง

“สามีของเจ้าตายไปเรียบร้อยแล้ว”

อี้ฝานเดินไปทางโค่วเวยแล้วก้มหน้ามองนาง

“ต่อไปเป็นคราวของเจ้าแล้ว โค่วเวย”

ราชินีล้มลง สองมือถูกตัดออก นางมองไปทางเขาอย่างโรยแรงและไร้หนทางจะต่อต้าน

“ตามที่เจ้าต้องการ ผู้ช่วงชิงแสงสว่าง”

นางยิ้มให้กับอี้ฝานแล้วกล่าวออกมา

“ไม่ว่าอย่างไร ยุคสมัยที่ข้ากับสามีได้ปกครองก็ผ่านพ้นไปแล้ว โลกใบนี้เองก็กำลังจะถูกทำลายลง ถึงเจ้าจะแก้แค้นไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ถึงเจ้าจะไม่ใช่ผู้แพ้ ทว่าอีกไม่นาน เจ้าเองก็จะไม่ต่างอะไรไปจากพวกข้าเมื่อวันโลกาวินาศมาถึง”

“เจ้าคิดผิดแล้ว ข้ากับพวกเจ้าไม่เหมือนกัน”

อี้ฝานยื่นมือออกไปหยุดอยู่ที่ดวงตาของนาง ก่อนจะจัดการควักลูกตาออกมาท่ามกลางเสียงกรีดร้อง

“แม้จะต้องเผชิญหน้ากับวันโลกาวินาศ ข้าก็ยังสามารเปิดทางสู่อนาคตใหม่ได้ พวกเจ้าเพียงแค่เฝ้ามองดูให้ดี”