บทที่ 660 แผนการของเผ่าหายนะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 660 แผนการของเผ่าหายนะ

ภายในตำหนักใหญ่เงียบสงัด จอมเทพข่งเซวี่ยขมวดคิ้วแน่น กวาดตามองรอบตำหนัก

ลำแสงประหลาดพุ่งออกมาจากดวงตาสองข้างของเขา ในมุมมองของเขา เหตุการณ์ทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นในตำหนักหลังนี้ถูกกรอย้อนกลับไปอย่างต่อเนื่อง

ไม่นานนัก เขามองฉากที่หานเจวี๋ยจับตัวมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อไป

เขาขมวดคิ้วแน่น

เร็วเกินไปแล้ว!

ความเร็วของคู่ต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย!

บุกมาจับตัวมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อตรงๆ เขาก็สามารถทำได้ แต่ต้องเค้นพลังทั้งหมดออกมา

จอมเทพข่งเซวี่ยไม่รั้งอยู่ต่ออีก เลือนหายไปจากจุดเดิม

….

ในเวลาต่อมา ในที่สุดเผ่าหายนะก็ทราบแล้วว่ามหาจักรพรรดิเทียนเอ้อหายตัวไป แต่สมาชิกระดับสูงควบคุมข่าวไว้ ยามนี้เผ่าหายนะถอยไม่ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขายึดครองยมโลกไว้ ยิ่งไม่อาจถอยได้เลย

แม้เผ่าหายนะจะระงับข่าวไว้ แต่ก็ปกปิดเหล่าอริยชนไม่ได้

ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ตำหนักเอกภพ

เหล่าอริยชนมารวมตัว

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยขึ้นว่า “มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อหัวหน้าเผ่าหายนะหายตัวไป เรื่องนี้พวกเราจำเป็นเฝ้าระวังไว้”

ฟางเหลียงขมวดคิ้ว กล่าวว่า “จอมเทพข่งเซวี่ยยังอยู่ เผ่าหายนะก็ไม่ได้เกิดความความโกลาหลขึ้น หรือมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อจะไปขอกำลังสนับสนุนเพิ่ม”

ฉิวซีไหลส่ายหน้าพลางเอ่ย “ยามนี้เผ่าหายนะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ไยพวกเขาต้องหาตัวช่วยอีกเล่า ในเมื่อเผ่าหายนะต้องการครอบครองแดนเซียนเพียงผู้เดียว”

อริยะตนอื่นก็แสดงความคิดเห็นขึ้นมาเช่นกัน

จอมอริยะเสวียนตูฟังจนรู้สึกปวดหัว

เผ่าหายนะแข็งแกร่งมากเกินไปจริงๆ ซ้ำด้านนอกยังมีอริยะเสรีคุมเชิงอยู่ พวกเขาเหล่าอริยชนได้แต่ร้อนรนอยู่ในชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

ชั้นฟ้าที่สามสิบสามคือหลังคาของมรรคาสวรรค์ เป็นมิติสำหรับพำนักอยู่ของอริยะโดยเฉพาะ อยู่ที่นี่ก็ยังได้รับการปกป้องคุ้มครองจากมรรคาสวรรค์ เหล่าอริยชนแม้จะพะว้าพะวงเรื่องจอมเทพข่งเซวี่ย แต่ก็ทำได้เพียงหดหัวอยู่ในนี้ คับข้องหมองใจยิ่งนัก

“รอดูไปก่อน อย่างน้อยสถานการณ์ก็มั่นคง” จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยขึ้นมา

ฉิวซีไหลกล่าวว่า “ศึกนี้กระตุ้นบุตรแห่งสวรรค์ได้ไม่น้อยเลย ผู้บำเพ็ญรุ่นใหม่เริ่มก้าวเข้าสู่เวที วันหน้ามรรคาสวรรค์ต้องแข็งแกร่งแน่”

อริยะที่เหลือพยักหน้าคล้อยตาม ถึงแม้มรรคาสวรรค์จะบอบช้ำสูญเสีย แต่ก็มียอดฝีมือนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้น

นี่คือสาเหตุที่พวกเขาไม่รีบร้อน

สือตู๋เต้าแค่นเสียง “กลัวก็แต่พวกเราจะอยู่รอดไปไม่ถึงวันหน้า เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเผ่าหายนะบุกเข้าสู่โลกคนเป็นได้ ทว่ากลับไม่ได้รุกคืบเข้ามาอีก เห็นได้ชัดว่ามีแผนการร้าย แต่พวกเรากลับไม่รู้เลยว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่”

ตำหนักเอกภพตกอยู่ในความเงียบงัน

จอมอริยะเสวียนตูก็คิดอยู่เช่นเดียวกัน เผ่าหายนะจะทำอะไรกันแน่

….

การสยบตัวตนที่ใกล้จะทะลวงระดับอริยะเสรีเป็นทาส ใช้เวลายาวนานนัก

ผ่านไปหนึ่งพันปี ก็ยังสยบทาสไม่สำเร็จ

ในช่วงที่ผ่านมานี้ หานเจวี๋ยไม่กล้าฝึกบำเพ็ญเลย เกรงว่าจะถูกมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อฉวยโอกาสโจมตี

ถึงแม้ตบะของทั้งสองจะห่างชั้นกันมาก แต่เขาจำเป็นต้องระวังไว้

ที่เขามาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยความระมัดระวังรอบคอบ!

หานเจวี๋ยสอดส่องสถานการณ์ในยมโลกไปพลาง อดทนรอคอยไปพลาง

หลังจากมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อหายตัวไป เผ่าหายนะยังคงเป็นเช่นที่ผ่านมา ไม่ก่อสร้างวางฐานในยมโลก เข้าควบคุมวัฏจักรอย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้จะมีสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์หลั่งไหลเข้าไปต้านขวางไม่ขาดสาย แต่ในเชิงภาพรวมก็ยังต้านเผ่าหายนะไม่ได้อยู่ดี

ในช่วงเวลานี้ มีเซียนทองต้าหลัวปรากฏขึ้นในมรรคาสวรรค์มากมาย รวมถึงครึ่งอริยะด้วย

เต้าจื้อจุนมิใช่ครึ่งอริยะที่โดดเด่นที่สุด ยังมีอีกหลายคนที่ผลงานการรบโดดเด่นกว่าเต้าจื้อจุน ในบรรดานั้นรวมถึงบรรพชนพุทธเทวัญแห่งสำนักพุทธ หวงจุนเทียนเจ้านิกายเจี๋ยและจิ่งเทียนกงแห่งวังเทพ บรรดาตัวตนที่คุ้นเคยของหานเจวี๋ย

จอมเทพข่งเซวี่ยก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย

หากเทียบกับสงครามในช่วงแรกๆ แล้ว ระยะนี้เงียบเหงาลงไม่น้อย

หานเจวี๋ยลอบภูมิใจกับตัวเองเงียบๆ

รอจนข้าสยบเผ่าหายนะได้ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเจ้าต้องประหลาดใจแน่!

เผ่าหายนะได้รับการขนานนามว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนเทพหวนปัจฉิม ทำลายทิ้งก็น่าเสียดาย ไม่สู้รับตัวไว้ดีกว่า ให้กลายเทพทวารบาลของมรรคาสวรรค์

สงครามในช่วงหลายปีมานี้ล้วนอยู่ในสายตาหานเจวี๋ย พรสวรรค์ในการต่อสู้ของเผ่าหายนะร้ายกาจจริงๆ ค่าเฉลี่ยสูงกว่าสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์

อีกอย่างหลังจากเขาจับตัวมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อมา ก็ไม่มีแจ้งเตือนความเกลียดชังจากผู้ทรงพลังเลย

แสดงให้เห็นว่าบนร่างของมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อไร้ซึ่งทักษะที่ทรงพลังกว่านี้แล้ว มิเช่นนั้นคงเป็นเช่นเดียวกับที่โพธิสัตว์จุนทีเกลียดหานเจวี๋ยเพราะฉิวซีไหล

หานเจวี๋ยคิดไว้แล้วว่าจะจัดแจงเผ่าหายนะอย่างไร

แค่ต้องรอให้สยบทาสสำเร็จเท่านั้น!

….

แดนเซียน ณ เมืองของเผ่ามนุษย์

บนเนินเขา ชายหนุ่มผมเผ้ากระเซิงยุ่งเหยิงในชุดลำลองคนหนึ่งหันหน้าเผชิญแสงแดดจ้า ดูดซับปราณม่วงจากทางทิศตะวันออก อาภรณ์สะบัดไหวอย่างต่อเนื่อง

จู่ๆ ชายหนุ่มในชุดลำลองก็ลืมตาขึ้น เครื่องหน้าธรรมดาสามัญเผยความดุร้ายออกมา บนโหนกแก้มมีเกล็ดสีดำปรากฏขึ้นรำไร

เสียงหนึ่งแว่วขึ้นข้างหูเขา

“องค์ชาย พระองค์ทำอันใดอยู่ พระองค์จะทำผิดต่อความคาดหวังของฝ่าบาทหรือพ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าของชายหนุ่มในชุดลำลองกลับมาเป็นปกติ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่อยากเข้าร่วมสำนักนิกายของอริยะ คุณสมบัติของข้าเพียงพอจะก้าวหน้าเองได้”

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ! พระองค์ต้องเข้าร่วม นี่เป็นบัญชาของฝ่าบาท!”

“ข้าไม่อยากประจบประแจงสอพลอ เหตุใดถึงไม่ยอมให้เวลาข้าดูเล่า ข้าพึ่งพาตัวเองก็สามารถฝึกบำเพ็ญไปถึงจุดสูงสุดได้เช่นกัน!”

เสียงลึกลับเงียบไป

ชายหนุ่มในชุดลำลองหลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อ

“พระองค์ไม่ยินยอมจริงๆ หรือ”

“อืม ข้าจะพึ่งตัวเอง วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางลืมเผ่าพันธุ์ของตน”

“เฮอะๆ”

….

ผ่านไปอีกสี่ร้อยปี

[คุกสวรรค์อนธการสยบทาสสำเร็จ]

[มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้เต็มขั้นดาวแล้ว]

หานเจวี๋ยมองข้อความสองแถวที่ปรากฏขึ้นมาในที่สุด ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา

เขาเรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมาตรวจดูรูปประจำตัวของมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อ

[มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อ: ระดับเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าระยะสมบูรณ์ หัวหน้าเผ่าหายนะ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้า ระดับความประทับใจในตัวท่านเต็มขั้นดาว]

ตบะระดับนี้ หากขยับขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง ก็จะเป็นอริยะเสรี!

หานเจวี๋ยมองมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสตรีนางนี้ท่าทางไม่เลวเลย

มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อลืมตาขึ้น จากนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าหานเจวี๋ยอย่างนอบน้อม เอ่ยเรียกนายท่าน

หานเจวี๋ยสอบถาม “ก่อนหน้านี้เจ้าเชื่อฟังผู้ใด”

มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อกล่าว “มิได้เชื่อฟังผู้ใด เพียงทำข้อตกลงกับอริยะมหามรรคเท่านั้น”

“เหตุใดถึงไม่รุกคืบเข้าสู่โลกคนเป็น”

“ข้าเกรงว่าจะเกิดเหตุเหนือความคาดหมาย ถึงอย่างไรเผ่าหายนะก็ประสบความสูญเสียเพราะเหตุนี้ ข้าส่งบุตรชายเข้าสู่สังสารวัฏ ให้กลับชาติมาเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ วันหน้าเมื่อเผ่าหายนะยึดครองยมโลก ก็จะต่อรองกับเหล่าอริยชน ให้สนับสนุนบุตรชายข้าขึ้นนเป็นอริยะ ให้เผ่าหายนะได้สร้างรากฐานอยู่ในมรรคาสวรรค์อย่างมั่นคง จนกระทั่งได้ครอบครองมรรคาสวรรค์”

หานเจวี๋ยรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ไม่น่าเชื่อเลยว่ามหาจักรพรรดิเทียนเอ้อจะมีความคิดส่วนตัวเช่นนี้ด้วย

“พวกเจ้ามิได้คิดจะทำลายมรรคาสวรรค์หรอกหรือ”

“มีเพียงอริยะมหามรรคที่คิดเช่นนี้ แต่สำหรับเผ่าหายนะการทำลายล้างมรรคาสวรรค์ไม่มีประโยชน์อันใด ข้าก็ไม่อยากเป็นกันชนให้อริยะมหามรรคเปล่าๆ เช่นกัน หากข้าได้ครอบครองมรรคาสวรรค์ ก็จะมีคุณสมบัติพอคานอำนาจกับอริยะมหามรรค เทพสูงสุดหยวนสื่อบอกว่าจะมอบโอกาสพิสูจน์มหามรรคให้ข้า แต่ข้าไม่เชื่อ พวกเขาหยิ่งผยองเกินไป ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงลมปาก”

ยามที่มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อเล่าเรื่องนี้ สีหน้าฉายแววหมิ่นแคลน

จำต้องกล่าวเลยว่า หากยืนอยู่ในจุดเดียวกับมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อ แผนการนี้นับว่ายอดเยี่ยมนัก

แต่น่าเสียดาย ดันมาพบหานเจวี๋ยเข้า

หานเจวี๋ยเอ่ยสั่งการ “เจ้าจงไปเจรจากับจอมอริยะเสวียนตู แบ่งครึ่งแดนยมโลก เผ่าหายนะจะตั้งรกรากที่นี่ ส่วนอำนาจควบคุมวัฏจักร ค่อยหารือกันวันหลัง”

มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อตอบรับทันที

หานเจวี๋ยโบกมือคราหนึ่ง ส่งตัวนางออกไปนอกมรรคาสวรรค์

มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อถ่ายทอดเสียงหาจอมอริยะเสวียนตูทันที นางไม่สามารถเข้าสู่มรรคาสวรรค์ได้ ทำได้เพียงถ่ายทอดเสียง

เมื่อได้ยินว่ามหาจักรพรรดิเทียนเอ้ออยากเจรจา จอมอริยะเสวียนตูก็นึกระแวงขึ้นมาตามสัญชาตญาณ

รูปการณ์ของเผ่าหายนะดีถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงต้องการเจรจา

มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อกลับมาที่ตำหนักของตน รอคอยคำตอบจากจอมอริยะเสวียนตู

เพิ่งเข้าสู่ตำหนัก เงาแสงสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อ เป็นนักพรตเต๋าชราคนหนึ่ง สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม

………………………………………………………………