ตอนที่ 668 จุดจบ คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวบทใหม่
ทว่าหลินเว่ยเว่ยใช้มันอย่างทะนุถนอม ส่วนอีก 9 ใบที่เหลือล้วนเก็บไว้ในห้วงมิติน้ำพุวิญญาณ ถ้าพ่อสามีชอบมากขนาดนั้น เธอจะยกให้เขาสักใบดีไหม ?
“เสี่ยวเว่ย ของล้ำค่ามากแบบนี้ เธอต้องเก็บรักษาดี ๆ นะ รู้ไหม พอกลับไปแล้วพ่อจะซื้อแก้วเก็บความร้อนใบใหม่ให้เธอ ดังนั้นไม่ต้องเอาของโบราณออกมาใช้อีกดีกว่า” หากผู้เชี่ยวชาญมาประเมินราคา เจ้าสิ่งนี้มีค่าเท่ากับบ้านหลังหนึ่งในเมืองปักกิ่งเชียวล่ะ !
หลินเว่ยเว่ยใช้ถ้วยชามีฝาปิดใบนี้จนชินแล้ว แม้จะทำใจไม่ได้สักเท่าไร แต่ก็ ‘เชื่อฟัง’ เป็นอย่างดี “ค่ะ หนูยังเรียนไม่จบ มีคนเข้าออกห้องพักบ่อย ๆ ยากที่จะหลีกเลี่ยงผู้คน ถ้าอย่างไรคุณอาสุดหล่อช่วยเก็บไว้แทนหนูได้ไหมคะ ? ”
เจียงโม่หานเหลือบมองภรรยา ‘เด็กคนนี้เอาใจคนอื่นเก่งจริง ๆ คำพูดประโยคนี้ของนางทำให้บิดาดีใจจนลืมแซ่ของตนทันที’
เป็นอย่างที่คิด ดวงตาที่อยู่หลังแว่นสายตาของเจียงเฉิงซู่แทบกลายเป็นเส้นเดียว เขาหัวเราะจนเห็นฟันกราม…เหมือนคนโง่ไม่มีผิด ไฉนเลยจะหลงเหลือความสง่างามอยู่อีก ?
เจียงเฉิงซู่หยิบผ้าไหมผืนเล็กที่พกติดตัวออกมา ค่อย ๆ ห่อถ้วยชามีฝาปิดอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็มองการตกแต่งของโรงพยาบาลด้วยความไม่พอใจแล้วพูดขึ้นว่า “ที่นี่ไม่ดีสักเท่าไร ประเดี๋ยวพ่อเปลี่ยนโรงพยาบาลให้เธอเอง พวกเรากลับไปรักษาตัวที่ปักกิ่ง แต่วางใจได้ พ่อจะหาโรงพยาบาลชั้นดีที่สุดให้เธอแน่นอน ! ”
หลินเว่ยเว่ยรีบพูด “ไม่ต้องหรอกค่ะคุณอาสุดหล่อ หนูแค่เป็นแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ไม่ต้องลำบากถึงขนาดนั้น แต่…คุณอาช่วยย้ายโรงพยาบาลให้อาจารย์ที่ปรึกษาของหนูได้ไหมคะ ? ”
เพื่อปกป้องนักศึกษาแล้ว อาจารย์ที่ปรึกษาจึงได้รับบาดเจ็บมากกว่าใครและตอนนี้ก็ยังต้องอยู่ในห้อง ICU !
เจียงเฉิงซู่พยักหน้า “เด็กดี ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพ่อจัดการเอง ! ”
เขาหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรไปขอยืมเครื่องบินส่วนตัวจากเพื่อนแล้วก็พาว่าที่ลูกสะใภ้กับอาจารย์ที่ปรึกษาบินมายังโรงพยาบาลปักกิ่งและให้เธอพักฟื้นในห้องผู้ป่วยเดี่ยว
เดิมทีหลินเว่ยเว่ยไม่ได้คิดจะนอนโรงพยาบาล แต่ผลตรวจร่างกายพบว่าเธอได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองเล็กน้อย เจียงโม่หานไม่วางใจจึงอยู่เป็นเพื่อนเธอที่โรงพยาบาลถึงหนึ่งสัปดาห์กว่า ๆ กระทั่งตัดไหมที่แขนออกแล้ว เขาจึงทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้เธอ
ในรถบัสคันนั้น นอกจากเจียงโม่หานแล้ว ก็เป็นนักศึกษากับอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเกษตรแทบทั้งหมด เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น สถานที่ฝึกงานของพวกหลินเว่ยเว่ยก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโครงการนำร่องในเขตเมืองปักกิ่งแทน ทว่าเวลานี้นอกจากหลินเว่ยเว่ยและนักศึกษาไม่กี่คนที่บาดเจ็บค่อนข้างเบาแล้ว คนอื่นก็ยังอยู่ในโรงพยาบาล
หลังจากรักษากันมาหลายวัน อาจารย์ที่ปรึกษาของหลินเว่ยเว่ยก็พ้นขีดอันตราย ตอนหลินเว่ยเว่ยออกจากโรงพยาบาล เขาได้เข้าพักในห้องผู้ป่วยธรรมดาแล้ว หลินเว่ยเว่ยและพวกนักศึกษาที่หายดีจึงไปเยี่ยมเขาด้วย !
หลินเว่ยเว่ยยังสับสนเล็กน้อย ‘ตอนอยู่ต้าเซี่ย ข้าเป็นองค์หญิงที่สร้างผลงานไว้มากมาย ทุกอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค แต่พอกลับมาแล้วก็เป็นเหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากฝัน ไม่รู้ควรทำอย่างไรต่อไป’
เจียงโม่หานดึงตัวเธอเข้ามาในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นและมีพลังมากผิดปกติ “วางใจเถิด ฉันยังอยู่ทั้งคน ! พวกเราสามารถเช่าหุบเขาและที่นาในเมืองทงโจวเพื่อทำฟาร์มออร์แกนิคที่เธอเคยทำในสมัยก่อนได้ เธอไม่ได้มีเทคนิค ‘ทำการเกษตรแบบผสมผสาน’ อยู่หรือ ? ยังมีอะไรต้องกังวลอีก ? ”
จริงสิ ! เธอยังทำเรื่องที่ถนัดได้ ! นอกจากเทคนิคที่มีอยู่แล้ว ยังมีน้ำพุวิญญาณที่เป็นไอเทมสุดโกงจากห้วงมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ไม่ใช่หรือ ? เธอจะปลูกผักผลไม้ที่อร่อยและดีต่อสุขภาพที่สุด เธอจะเลี้ยงหมู ห่าน เป็ด ไก่ วัวและแกะ ‘เชิงอนุรักษ์’ ชนิดดีที่สุดขึ้นมา…
หลินเว่ยเว่ยที่มีเป้าหมายแล้วก็เป็นเหมือนผักกาดขาวได้รับน้ำ เต็มไปด้วยชีวิตชีวาทันที ทว่า…เมื่อนึกถึงเรื่องเงินทุนแล้ว เธอก็หันไปมองเจียงโม่หานด้วยความลังเล “ถ้าอย่างไร…ฉันเอาเครื่องประดับกับเครื่องเคลือบลายครามที่เก็บไว้ในห้วงมิติน้ำพุวิญญาณมาขายที่ร้านนายดีไหม ? ”
เจียงโม่หานบีบแก้มเจ้าเนื้อของเธอแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไม ? กลัวว่าสามีจะเลี้ยงไม่ไหวหรือ ? วางใจได้ ! สามีของเธอยังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ! ”
ทั้งสองคนเป็นเด็กมหาวิทยาลัยที่ยังเรียนไม่จบ ดังนั้นเรื่องใหญ่ขนาดนี้จึงจำเป็นต้องปรึกษาผู้ใหญ่ในครอบครัว หลินเว่ยเว่ยเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งในสถานรับเลี้ยง มารดาของเจียงโม่หานหย่ากับบิดาและไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เขายังเด็ก ดังนั้นผู้ใหญ่ในบ้านหลังนี้จึงมีเพียงเจียงเฉิงซู่คนเดียวเท่านั้น
หลังจากเจียงเฉิงซู่ได้ฟังก็คิดว่าเป็นความคิดที่ดี ! อาหารออร์แกนิคเป็นสิ่งที่ตลาดในปักกิ่งต้องการ ดังนั้น สองสามีภรรยาคู่นี้จึงไม่ต้องออกเงิน เพราะบิดาควักเงินลงทุนให้หลินเว่ยเว่ยเองกับมือ โดยเป็นผู้ถือหุ้นกันแบบ 50/50 เนื่องด้วยเขาใช้เส้นสายของตนจึงเช่าที่นาและที่ดินบนหุบเขาได้อย่างรวดเร็ว โดยทำสัญญาเช่าเป็นระยะยาว 20 ปี กล้าไม้ เมล็ดพันธุ์ ลูกไก่และลูกหมู…รวมถึงของอื่น ๆ เขาเองก็จัดการให้ทั้งหมด ทำให้หลินเว่ยเว่ยเริ่มรู้สึกผิดกับการถือหุ้น 50% นั้น…
ตอนเรียนจบ ฟาร์มของพวกเธอก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว…นอกจากเขียนป้ายว่า ‘ออร์แกนิคไร้สารเคมี’ แล้วยังสร้างอาคารหลังเล็ก ๆ ที่ดูแปลกตาเพื่อไว้ให้แขกได้พักผ่อน รับประทานอาหารและรับชมสื่อบันเทิงต่าง ๆ
ที่นี่ยังมีกิจกรรมให้ลูกค้าแบ่งเช่าที่ดินเพื่อลงมือเพาะปลูกเอง ได้สัมผัสกับการทำเกษตรด้วยตัวเอง ส่วนผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ก็ให้ลูกค้ากลับไปทั้งหมด…แม้ว่าเงินค่าเช่าที่จะเกินกว่ามูลค่าของผลผลิตที่ได้รับกลับไป แต่การได้สัมผัสกับความสุขในการทำเกษตรของพวกลูกค้านั้นไม่มีอะไรมาแทนที่ได้
ไม่ไกลจากไร่ก็คือสถานที่ผลิตอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ทุกชนิดในฟาร์มล้วนผลิตขึ้นที่นี่ ถ้าลูกค้าไม่วางใจก็สามารถมาดูขั้นตอนการผลิตอาหารสัตว์ได้เอง ในสถานที่ผลิตจะมีคนคอยอธิบายเรื่องวัตถุดิบและขั้นตอนการผลิตให้ลูกค้าฟังโดยเฉพาะ…ออร์แกนิคและไม่มีสารปรุงแต่งใด ๆ
ไกลออกไปอีกหน่อยคือสถานที่ทำปุ๋ยหมัก โดยหลักแล้วจะทำจากมูลสัตว์ พืช หญ้าหรือเถาวัลย์ชนิดต่าง ๆ…แน่นอนว่ากลิ่นแย่จนพูดไม่ออก ทว่าหากลูกค้าคนไหนอยากจะไปดู เหล่าพนักงานก็ไม่ห้ามเช่นกัน
ผู้บริหารของฟาร์มเน้นย้ำสุด ๆ ว่าพืชผลและผักในฟาร์มถูกบำรุงด้วยปุ๋ยที่ผลิตเอง แม้ปริมาณผลผลิตจะได้น้อยกว่าการใช้ปุ๋ยเคมี แต่ก็ดีต่อสุขภาพ !
ในฟาร์มแห่งนี้เจียงเฉิงซู่ลงทุนไปกว่าเก้าร้อยล้านหยวน ใช้คำพูดของเขามาอธิบายแล้วกัน เขาบอกว่าจะทำก็ต้องทำให้ดีที่สุด ! อันที่จริง ไม่ต้องกังวลว่าผลผลิตในไร่จะขายไม่ออก เพราะเพื่อนผู้ประกอบการร้านอาหารของเขารับซื้อไปกว่าครึ่งแล้ว ยังมีพวกหน่วยราชการ กองทัพ บ้านพักวัยเกษียณ…ล้วนอยากได้พืชผลออร์แกนิคของพวกเธอ กลัวแค่จะมีไม่พอขายดีกว่า ไฉนเลยจะต้องกังวลเรื่องขายไม่ออก ?
ในฤดูใบไม้ร่วงที่เด็กทั้งสองคนเพิ่งเรียนจบ เจียงเฉิงซู่จัดงานแต่งสุดอลังการให้พวกเธอ…ไม่ได้ล้อเล่นเลยด้วย ลูกชายรักษาระยะห่างจากผู้หญิงคนอื่นมา 20 กว่าปี กว่าจะมีหัวคิดย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้รู้จักเอาใจผู้หญิงแล้ว ดังนั้นไม่รีบแต่งลูกสะใภ้เข้าบ้านได้อย่างไร ? ประเดี๋ยวเวลาผ่านไปนานเข้า เรื่องยิบย่อยก็มากตาม เพราะอย่างไรเขาก็พอใจกับลูกสะใภ้ที่เก่ง มีหัวคิดและมีชีวิตชีวาคนนี้มาก !
พอเห็นบรรดาคนดังมารวมตัวกันในงานแต่งของตน หลินเว่ยเว่ยถึงได้รู้ว่าตกถังข้าวสารแล้ว สามารถอธิบายได้เลยว่าเพราะเหตุใดฟาร์มของเธอถึงได้เติบโตไปอย่างราบรื่นขนาดนั้น
หลังจากเจียงโม่หานเรียนจบแล้วเดิมทีบิดาคิดจะยกกิจการที่บ้านให้เขา แต่ใครจะไปรู้ว่าเด็กคนนี้วิ่งไปรับราชการที่สำนักงานบริหารมรดกวัฒนธรรมของรัฐแทน ด้วยประสบการณ์ที่เคยเป็นโฉวฝู่มากกว่า 20 ปี ไม่ว่าอยู่ในตำแหน่งใดเขาก็ทำออกมาได้ดีทั้งนั้น…
…
เริ่มต้นพรหมลิขิตแต้มสีชาด ไม่คลาคลาดผูกชะตาสามชาติภพ…ชาตินี้ความพรากจากไม่ประสบ ชาติหน้าพบเคียงเจ้าชั่วนิรันดร…