เล่ม 1 ตอนที่ 172-1 จัดการเฉียวเจิงสำเร็จ คำนับฟ้าดิน

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 172-1 จัดการเฉียวเจิงสำเร็จ คำนับฟ้าดิน

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโกรธจนเต้นเร่าๆ “เจ้าเด็กนี่!”

จีอู๋ซวงโยนความผิดทั้งหมดไปลงที่เฉียวเวย หากไม่ใช่เพราะเฉียวเวยยั่วยวนนายน้อย นายน้อยคงไม่ขึ้นมาบนภูเขา และคงไม่ตกหน้าผาไปพร้อมกับเฉียวเจิง และหากนายน้อยไม่ตกลงหุบเหวไป สือชีก็คงไม่ตัดสินใจกระโดดลงเหวไปช่วยเหลือ

ทั้งหมดของทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพราะนางทั้งสิ้น นางนี่แหละเลวร้ายที่สุด!

เฉียวเวยไม่สนใจไฟโทสะของจีอู๋ซวง นางรู้ว่าจีอู๋ซวงกำลังคิดอะไร แต่นางไม่สนใจ หากมีความสามารถก็เข้ามาฆ่านางเสีย แต่หากไร้สามารถ ทำได้เพียงคิดอยู่ในใจ นางจะต้องเดือดร้อนด้วยหรือ

“หัวหน้าค่าย” นางหันมองบุรุษที่กำลังทำหน้าคิดหนัก “จะลงไปช่วยคนเร็วที่สุดได้อย่างไร”

หัวหน้าค่ายตอบว่า “มีสามวิธี หนึ่งคือปีนลงไป สองคือเดินผ่านป่าจั้งชี่ของภูเขาวายุทมิฬเข้าไป สามคือผ่านแม่น้ำที่อยู่ตีนภูเขาหนิงชุ่ย ว่ากันว่าไหลผ่านที่นี่เช่นกัน”

หุบเหวนี้ลึกจนไม่เห็นปลายทาง คนทั่วไปไม่มีทางปีนลงไปได้ หากปีนลงไปได้ครึ่งทางแล้วเกิดเชือกไม่พอขึ้นมาเล่า เขาจะปีนกลับขึ้นมาหรือจะฝืนปีนลงไปต่อ

เฉียวเวยบอกว่า “จีอู๋ซวง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบขี้หน้าข้า แต่หากข้าจะช่วยนายน้อยของพวกเจ้าคงไม่เป็นอะไรกระมัง การลงไปทางหุบเหวนี้ถือเป็นวิธีที่เร็วที่สุดและแม่นยำที่สุด แต่คนไม่มีวรยุทธ์เป็นไปได้ยากมากที่จะลงไปได้ ทางที่ดีเจ้าให้ลูกน้องเจ้าปีนลงไปสำรวจเส้นทางก่อนจะดีกว่า”

จีอู๋ซวงเอ่ยประชดประชันว่า “พอพูดถึงเรื่องวรยุทธ์ ข้าจำได้ว่าคืนวันนั้นลูกน้องข้าบาดเจ็บล้มตายด้วยน้ำมือของเฉียวฮูหยินไปนับไม่ถ้วน เฉียวฮูหยินกับหัวหน้าค่ายท่านนี้ดูจะเข้ากันได้ดีก สู้ให้พวกเขาไปเป็นแนวหน้าเปิดทางดีกว่าหรือไม่”

“ได้สิ”

ที่น่าแปลกใจคือ เฉียวเวยตกปากรับคำทันที

สีหน้าจีอู๋ซวงดูงุนงงไปชั่วขณะ

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตะคอกบอกว่า “ล้อเล่นอะไรน่ะ สถานที่เช่นนี้พวกเจ้าลงไปได้หรือ”

เขากำลังต่อว่าเฉียวเวย แต่คนมีตาล้วนดูออกว่าเขากำลังกล่าวโทษจีอู๋ซวง

“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ข้าลงไปเอง!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดพลางชี้ไปยังพวกนักฆ่าของพรรคโลหิตพิฆาต “พวกเจ้าน่ะ ตามข้ามา!”

พวกเขาหันไปมองจีอู๋ซวง

เดิมทีจีอู๋ซวงไม่ได้ตั้งใจจะไม่ให้พวกเขาลงไปอยู่แล้ว แค่อยากหาเรื่องเฉียวเวยสักหน่อยเท่านั้น แต่ไอ้ซื่อบื้อเยี่ยนเฟยเจวี๋ยนี่กลับทำลายทางลงของเขาเสียได้!

แต่ต่อให้ในใจเดือดดาลเพียงใด อย่างไรเขาก็ยังรู้ว่าอะไรควรไม่ควรจึงพยักหน้าให้พวกนักฆ่า พวกนักฆ่าจึงตามเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไปเริ่มเตรียมเชือกและอุปกรณ์ต่างๆ

เฉียวเวยหันไปหารือกับหัวหน้าค่ายถึงอีกสองทางที่เหลือ ตอนเด็กๆ หัวหน้าค่ายเคยล่องไปตามแม่น้ำสายนี้มาก่อน ไกลสุดที่เขาเคยล่องไปคือสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ในโลกภายนอก เขาเกือบหลงอยู่ในนั้นจนออกมาไม่ได้ เขาไม่มั่นใจว่าที่นั่นใช่ก้นเหวแห่งนี้หรือไม่ แต่ก็คุ้มค่าที่จะลองดูสักครั้ง

สุดท้ายก็เหลือเพียงป่าจั้งชี่

หัวหน้าค่ายบอกว่า “ป่าจั้งชี่ไม่ต้องไปก็แล้วกัน”

มีไอพิษอบอวลขนาดนั้น คนทั่วไปทนรับไม่ไหวแน่

เฉียวเวยกลับบอกว่า “ข้าจะไปป่าจั้งชี่เอง”

ทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็พากันอึ้งไป นางรู้หรือไม่ว่าจั้งชี่หมายถึงสิ่งใด นั่นหมายถึงสิบไข้ป่ากับเก้าพิษร้ายเชียวนะ ไอร้ายในสถานที่เช่นนี้จะต้องมีพิษอย่างแน่นอน หนำซ้ำยังแยกด้วยตาเปล่าไม่ออก อันตรายรอบด้าน ภัยร้ายเต็มไปหมด เส้นทางนี้แทบจะเป็นทางที่อันตรายที่สุดแล้ว

เฉียวเวยมองสีหน้าคิดหนักของทุกคนแล้วหัวเราะสบายๆ “ทำไมกัน ข้าแค่ไปลองเสี่ยงดวงดูเท่านั้น ไม่ได้จะไปตายเสียหน่อย แต่ละคนทำหน้าอย่างกับเห็นผีกระนั้น วางใจเถอะ ท่านพ่อข้าเป็นหมอพเนจรมาเป็นสิบปี พิษร้ายอะไรบ้างที่ไม่เคยเจอ เขาเตรียมยาเอาไว้พร้อมแล้ว ข้าแค่กินตามกำหนดเวลาก็พอ”

จีอู๋ซวงชะงักไปแล้วจู่ๆ ก็เอ่ยปากว่า “ยาอะไรกัน เอาให้ข้าดูหน่อย”

เฉียวเวยเอายาที่หยิบมาด้วยตอนกลับไปเอาเชือกโยนไปให้จีอู๋ซวง

จีอู๋ซวงรับไว้อย่างแม่นยำ เขาเทออกมาลองชิมเม็ดหนึ่งแล้วเอาขวดคืนให้เฉียวเวยอย่างเดิม

เฉียวเวยหัวเราะหึหึ “ผู้เฒ่าอย่างเจ้าไม่กลัวว่ายาของข้าจะเป็นยาพิษหรือ”

จีอู๋ซวงสะบัดค้อนใส่นางทีหนึ่ง

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยปลดเชือกที่รัดอยู่ตรงเอวออก “เจ้าไปคนเดียวข้าไม่วางใจ ข้าจะไปด้วย”

เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกลุงเยี่ยน ทางนี้น่าจะเร็วที่สุดแล้ว ข้ายังหวังว่าเราจะไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย” นางไม่มีวิชาตัวเบาของยุคโบราณ ไม่อย่างนั้นนางคงลงไปเองแล้ว

ทำอย่างไรเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็วางใจให้นางไปคนเดียวไม่ได้จริงๆ แต่ก็ไม่อาจไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนาง นายน้อยตกลงไปจากทางนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด ตัวเขาก็น่าจะอยู่ข้างล่างนี้เอง ไม่ว่าเขาจะเป็นหรือตาย ตนก็ควรรวบรวมกำลังสำคัญแล้วปีนลงไปค้นหาจากจุดนี้

เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่มีเวลามาลังเลแล้ว ลุงเยี่ยนรีบลงไปเถอะ”

นังหนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังจะไปยังสถานที่เช่นไร

เนื้อแท้ของเจ้าเป็นคนดื้อรั้นเช่นนี้เองกระมัง

เดิมทีนางไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แต่กลับดึงดันจะไปยังเส้นทางอันตรายเช่นนั้น เจ้าทำเพื่อบิดาของเจ้า หรือทำเพื่อนายน้อยกันแน่

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกำเชือกเส้นที่มัดไว้กับหินก้อนใหญ่ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ก่อนจะเอามาพันรอบเอวลวกๆ

คนอื่นๆ ก็เอาเชือกรัดเอวเช่นกัน พวกเขาหันหน้าเข้าหาหน้าผา ใช้เท้ายันหินโรยตัวลงไป

ก่อนไปเยี่ยนเฟยเจวี๋ยวเหลือบมองเฉียวเวยทีหนึ่ง “ระวังด้วยนะ อย่าทำให้ตัวเองบาดเจ็บล่ะ หากไม่ไหวจริงๆ…”

เขายังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงดังกัมปนาทดังตึงๆ ๆ ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เกิดเสียง แผ่นดินสั่นสะท้าน ยิ่งเสียงใกล้เข้ามาเท่าไร แผ่นดินก็ยิ่งสั่นแรงขึ้นเท่านั้น หน้าผาทั้งผืนเริ่มสั่นไหว เศษหินดินทรายร่วงหล่น ฝูงนกหนีกระเจิง นักฆ่าเหล่านั้นที่จับเชือกโรยตัวลงไปทนแรงสั่นสะเทือนไม่ไหว ทยอยร่วงกันลงไปราวกับแมลงศัตรูพืชที่โดนยา

จีอู๋ซวงพลันหน้าถอดสี!

เสี่ยวเว่ยกับหัวหน้าค่ายกอดกันกลมดิก

“ฮ่าๆๆ…”

เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งประหนึ่งน้ำป่าที่ไหลบ่าดังขึ้นอย่างน่าประหลาดท่ามกลางป่าเขา ทุกคนรู้สึกว่าแก้วหูของตนใกล้แตกเต็มที

เฉียวเวยเอามือปิดหูไว้

ทุกคนมองตามเสียงไป จึงเห็นคน…ที่ร่างอวบใหญ่กำยำ หลังใหญ่เอวหนา สวมใส่อาภรณ์สีขาว เดินมาพร้อมรองเท้าหนังสีดำ ไว้ผมยาวสยาย ยากจะบอกได้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี คนผู้นั้นวิ่งเข้ามาหาเฉียวเวยราวกับนกนางแอ่นก็มิปาน “แม่นางเฉียว! ข้ามาแล้ว!”

แคร่ก!

ส่วนหนึ่งของภูเขาแตกหล่นลงไปอีกแล้ว

เฉียวเวยกลัวยิ่งนักว่าตนจะถูกโผเข้าใส่เหมือนอย่างที่ยิ่นอ๋องโดน จึงเบี่ยงตัวพลิ้วหลบอ้อมกอดที่โถมเข้าใส่

ยอดหญิงงามหยุดไม่อยู่ จึงโผเข้าไปหาเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่อยู่ด้านหลังเฉียวเวยแทน

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเสียหลักล้มลงกับพื้นจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

“ขอ ขอโทษด้วย” ยอดหญิงงามรีบเอ่ยขอโทษเป็นพัลวันพลางปัดฝุ่นที่ขาขณะลุกขึ้น นางหันไปเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “เหตุใดเจ้าจึงหลบ”

เฉียวเวยคิดในใจว่า หากข้าไม่หลบ เวลานี้คนที่นอนจะตายแหล่มิตายแหล่อยู่ที่พื้นคงเป็นข้า!

ทุกคนตกใจไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟังจากเสียง คนผู้นี้เป็นสตรีนี่ แต่เหตุใดเมื่อเทียบกับบุรุษที่อยู่ตรงนี้แล้วนางถึงตัวใหญ่กว่าทุกคนได้!

เฉียวเวยหันไปเอ่ยกับนางว่า “แม่นางเสี่ยวเวยมาได้อย่างไร”

ยอดหญิงงามตอบว่า “ข้าได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับอัครเสนาบดีของพวกเจ้า จึงตั้งใจมาช่วยเจ้าอีกแรง!”

ระหว่างที่พูด นางยังตบบ่าเฉียวเวยไปด้วย เล่นเอาอวัยวะภายในของเฉียวเวยแทบจะเคลื่อนที่ไปหมด

นางไม่เพียงรู้ถึงฐานะของจีหมิงซิว แต่ยังรู้ว่านางเกี่ยวพันกับจีหมิงซิวอย่างไร ซ้ำยังรู้ว่าจีหมิงซิวตกอยู่ในอันตราย คุณหนูจากชนเผ่าต่างแดนรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร

เฉียวเวยนวดหัวไหล่ตนเอง “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ยอดหญิงงามตอบว่า “ยิ่นอ๋องเป็นคนบอกข้า เขาเห็นประกายไฟบนท้องฟ้า เลยบอกว่านั่นเป็นสัญญาณว่าอัครเสนาบดีตกอยู่ในอันตราย”

ที่แท้ก็เช่นนี้เอง เช่นนั้นเรื่องของตนกับจีหมิงซิวก็เป็นยิ่นอ๋องที่แพร่งพรายออกไปงั้นสิ ช่างหน้าประหลาด อีตานั่นชอบเอาเรื่องชาวบ้านไปพูดตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าชั่วเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันเขาก็ยอมสิโรราบอยู่ใต้กระโปรงยอดหญิงงามผู้นี้ ยินดีที่จะบอกกล่าวทุกเรื่องให้ยอดหญิงงามฟังแล้ว

จีอู๋ซวงสกัดจุดให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยฟื้น ก่อนจะส่งเสียงหึเย็นๆ “คนประเภทใดก็ชักพาคนประเภทเดียวกันมาจริงๆ รู้จักแต่จะสร้างปัญหากันทั้งนั้น ช่วยคนกันเป็นที่ไหน ไม่ทำร้ายนายน้อยถึงตายก็นับว่าไม่เลวแล้ว! ข้าขอร้องแม่นางเฉียว เจ้ากับสหายช่วยยืนอยู่กับที่กันดีๆ เถอะ อย่างสร้างความวุ่นวายมากไปกว่านี้เลย!”

ยอดหญิงงามเดินเท้าสะเอวเข้าไปหาคนพูดแล้วก้มลงมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าใครสร้างความวุ่นวาย”

จีอู๋ซวงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “ข้าว่าเจ้า…”

ผลั่ก!

เขาถูกยอดหญิงงามเตะกระเด็นออกไป!

หัวหน้าค่ายกับเสี่ยวเว่ยลอบยกหัวแม่โป้งให้: ดุดันจริงๆ แม่นางเอ๋ย! พวกเราอยากสั่งสอนตาแก่นั่นมานานแล้ว สาแก่ใจนัก!

จีอู๋ซวงถูกเตะกระเด็นออกไป เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเกือบจะมีเรื่องลงไม้ลงมือกับยอดหญิงงาม

เฉียวเวยห้ามเขาไว้ “ลุงเยี่ยน! เจ้าอย่าวู่วาม!”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะวู่วามเพราะจีอู๋ซวงนั่นไม่ได้ ไม่คุ้มเอาเสียเลย! เขานั่นน่ะ สมควรโดนแล้ว!

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโกรธจนหัวร้อนไปหมด “นางมีสิทธิ์อะไรไปเตะเขาจนกระเด็น ทีนี้ก็ดีเลยสิ จีอู๋ซวงตายแล้ว! เจ้าพอใจแล้วสินะ!”

ยอดหญิงงามบอกว่า “เกี่ยวอะไรกันด้วย หากอัครเสนาบดีของพวกเจ้าไม่ตาย เขาก็ตายไม่ได้หรอก”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหันไปมองยอดหญิงงามด้วยสีหน้าอึ้งงัน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าอัครเสนาบดียังไม่ตาย”

ยอดหญิงงามยักไหล่ “พวกเจ้าไม่ได้มีพันธะสัญญาโลหิตกับอัครเสนาบดีหรอกหรือ หากอัครเสนาบดีตายแล้ว พวกเจ้าก็คงไม่รอด แต่พวกเจ้าทุกคนยังอยู่ดีกันอยู่เลย ไม่เท่ากับว่าอัครเสนาบดีก็ยังไม่ตายหรอกหรือ”

จริงด้วย พวกเขาทั้งหมดยังอยู่ดีกันอยู่เลย ไม่เท่ากับว่านายน้อยยังมีชีวิตอยู่ดีหรอกหรือ

เมื่อครู่ร้อนใจจนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ ถึงกับลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปได้

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยปีนลงหุบเหวไปด้วยความยินดี

หัวหน้าค่ายกับเสี่ยวเว่ยมุ่งหน้าไปยังทางน้ำ ยอดหญิงงามตัดสินใจเข้าไปสำรวจป่าจั้งชี่ร่วมกับเฉียวเวย

ก่อนออกเดินทาง อากุ้ยวิ่งเหงื่อแตกเหงื่อแตนเข้ามาบอกว่า “ข้า… ข้าว่ายน้ำได้!”

อากุ้ยจึงร่วมคณะไปกับหัวหน้าค่ายและเสี่ยวเว่ย

บนเขาเหลือนักฆ่าจากพรรคโลหิตพิฆาตอยู่จำนวนหนึ่ง

เมื่อม่านยามราตรีคล้อยต่ำ ทุกคนจึงจมหายไปกับยามค่ำคืน

ใต้ต้นอูถงอายุร้อยปี เฉียวเจิงฟื้นขึ้นเพราะความเจ็บปวดทั่วร่างกาย พอลืมตาภาพตรงหน้ามืดมิดไปหมด เขายังคิดว่าตนเองตาบอดเสียแล้ว เขาพยายามตั้งสติพร้อมหันมองไปรอบด้าน ถึงได้รู้ว่าฟ้ามืดแล้ว

“ท่านฟื้นแล้ว?”

น้ำเสียงของหญิงวัยชราดังขึ้นที่ข้างหู เฉียวเจิงตกใจจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว พอหันหน้าไปมองถึงเห็นว่ามีคนจุดไต้ไฟเอาไว้ จากแสงสว่างของไต้นั้น เขาได้เห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน คนผู้นั้นเป็นสตรีสูงอายุคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น สีผิวไหม้เกรียม แต่สองตากลับดูไม่ฝ้าฟาง สะท้อนกับแสงไฟดูกระจ่างชัดยิ่งนัก

เฉียวเจิงถามเสียงแตกพร่า “เจ้าเป็นใคร”

“ข้าคือแม่เฒ่าเฟิง หัวหน้าหุบเขาอู๋ถง”

หุบเขาอู๋ถง?

เฉียวเจิงพยายามใช้ความคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าหุบเขาอู๋ถงคือที่ไหน

“แล้วเจ้าเล่าเป็นใคร” แม่เฒ่าเฟิงถาม

“เฉียวเจิง” เขาตอบไปตามจริง

แม่เฒ่าเฟิงจุดตะเกียงน้ำมันขึ้นอันหนึ่ง รอบด้านจึงมีแสงสีส้มสว่างขึ้นรำไร

เฉียวเจิงลองขยับเขยื้อนร่างกาย แต่กลับปวดเมื่อยไปหมดยากจะขยับตัว “ดูเหมือนข้า…จะตกลงมาจากข้างบน”

“อื้อ” แม่เฒ่าเฟิงพยักหน้า

เฉียวเจิงกวาดมองไปรอบๆ ไม่พบเงาของจีหมิงซิว แต่เขาจำได้ชัดเจนว่า จีหมิงซิวตกลงมาพร้อมกับเขา

ในขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะถามแม่เฒ่าเฟิงดีหรือไม่นั้น แม่เฒ่าเฟิงก็เอ่ยปากบอกว่า “เจ้าหนุ่มนั่นเป็นใคร”

เฉียวเจิงพลันใจกระตุก “เจ้าหนุ่มไหน”

“คนนั้น” แม่เฒ่าเฟิงแกว่งนิ้วชี้บอก

เฉียวเจิงจึงได้เห็นจีหมิงซิว จีหมิงซิวนอนฟุบอยู่กับพื้น เสื้อผ้าขาดวิ่น ดูคล้ายได้รับบาดเจ็บ แต่ด้วยแสงสว่างที่ไม่เพียงพอ เขาจึงมองเห็นไม่ละเอียดนัก “เขาตายแล้วหรือยัง”

แม่เฒ่าเฟิงส่ายหน้า “ยังหายใจอยู่ เจ้ายังไม่ได้บอกว่าเขาเป็นใคร พวกเดียวกับเจ้าหรือไม่”

พอได้ยินว่าจีหมิงซิวยังหายใจอยู่ เฉียวเจิงก็ค่อยๆ เบาใจลง ไม่ใช่ว่าเขาใส่ใจอะไรจีหมิงซิวมากนัก แต่เพราะจีหมิงซิวเกิดเรื่องต่อหน้าต่อตาเขา หากวันใดบุตรสาวกับหลานๆ ซักถามเขาเรื่องนี้ขึ้นมา เขากลัวว่าตนจะตอบพวกเขาไม่ถูก “เขามากับข้า”

“เขาเป็นอะไรกับเจ้า ลูกชาย?”

“ไม่ใช่”

แม่เฒ่าเฟิงนิ่งใช้ความคิด “ลูกเขย?”

“…ไม่ใช่”

ไม่ใช่แน่นอน!

อย่าคิดว่าเขาปกป้องตนครั้งหนึ่งแล้ว ตนจะรับปากเรื่องแต่งงานระหว่างเขากับเสี่ยวเวยเลย

แม่เฒ่าเฟิงตอบอ้อคำหนึ่ง ไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่เฉียวเจิงกลับรู้สึกว่านางดูยินดีอย่างประหลาด

แม่เฒ่าเฟิงบอกว่า “ข้าพักอยู่ใกล้ๆ นี้เอง เจ้ายังเดินไหวรึไม่”

เฉียวเจิงบีบนวดตามเนื้อตัวตนเอง “ข้าไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูก น่าจะพอไหว”

แม่เฒ่าเฟิงรอให้อีกฝ่ายลุกยืนขึ้นแล้วเข้าไปช่วยเขาประคองจีหมิงซิวกลับบ้านไม้ไผ่หลังเล็กของตน

บริเวณลานหน้บ้านปลูกต้นไม้ดอกไม้ที่ใช้ทำสมุนไพรเอาไว้ ไม่ได้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนบ้านหลังใหญ่ แต่กลับเต็มไปด้วยสีสัน ดูอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก

สายตาของเฉียวเจิงหยุดมองที่ต้นสีม่วงดูดกหนาที่ปลูกเรียงเอาไว้เป็นแถว “แม่เฒ่าเฟิง นั่นต้นอะไรหรือ”

แม่เฒ่าเฟิงเหลือบมองก่อนถอนหายใจตอบ “วัชพืช เมื่อหลายวันก่อนข้าเพิ่งขุดมันออกไปเอง เหตุใดถึงโตเร็วเพียงนี้”

วัชพืช วัชพืช… นั่นคือหญ้าจื่อเป่าต่างหากเล่า! มันช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวก ขจัดพิษไล่ความชื้นในร่างกาย ถือเป็นยอดแห่งหญ้ารักษาไข้ป่าและโรคระบาดทีเดียว

หญ้าจื่อเป่าไม่ได้ขึ้นอยู่ในต้าเหลียง ซ้ำยังเติบโตเฉพาะในฤดูหนาว คิดไม่ถึงว่าในหุบเขาที่หนาวเย็นเช่นนี้จะได้เห็นมันมากมาย ซ้ำยังมีคนเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นวัชพืชเสียอีก

จีหมิงซิวไม่ได้หลอกเขาหรือ หรือว่าคนหนุ่มเดี๋ยวนี้พูดอะไรก็เป็นอย่างนั้น

“แม่เฒ่าเฟิง หญ้าพวกนั้นเจ้าเป็นคนปลูก” เฉียวเจิงถาม

แม่เฒ่าเฟิงจึงตอบว่า “ก็บอกอยู่ว่าเป็นวัชพืช แล้วข้าจะไปปลูกได้อย่างไร มันขึ้นของมันเอง”

เฉียวเจิงกลับสูดเอาอากาศเย็นๆ เข้าไป แม่เฒ่าเฟิงหนอแม่เฒ่าเฟิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าวัชพืชของเจ้ามีทองยังหาไม่ได้เลย

เฉียวเจิงตามแม่เฒ่าเฟิงเข้าไปให้ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง แล้ววางตัวจีหมิงซิวที่ยังคงสลบไสลลงบนแคร่ที่นอน ภายในห้องออกจะเรียบง่าย นอกจากเตียงกับโต๊ะและเก้าอี้อย่างละหนึ่งตัวแล้ว ไม่มีเครื่องเรือนชิ้นอื่นอีก แต่มีการปัดกวาดเช็ดถูอย่างสะอาดสะอ้าน

แม่เฒ่าเฟิงบอกว่า “พวกเจ้าพักกันที่นี่ก่อนแล้วกัน ข้าจะไปทำอะไรมาให้กิน”

เฉียวเจิงประสานมือ เอ่ยขอบคุณจากใจจริง “ขอบคุณแม่เฒ่าเฟิงมาก”

ชั่วขณะที่ตกหน้าผามานั้น เขาคิดว่าตนจะตายแล้วจริงๆ ใครจะคิดว่าจะรอดจากความตายมาได้หวุดหวิด ซ้ำยังได้มาพบคนดีๆ เช่นนี้อีก

เฉียวเจิงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก นับว่าสวรรค์คุ้มครองตนแล้ว

เฉียวเจิงเหลือบมองไปทางจีหมิงซิวอีกครั้ง คนผู้นี้ทำร้ายบุตรสาวตนจนต้องตกระกำลำบาก มาตอนนี้ต้องเป็นตายเท่ากันก็นับว่ากรรมตามสนองแล้ว

เฉียวเจิงนั่งลงบนเก้าอี้ มองท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง สายตาเขากวาดมองร่างของจีหมิงซิวทีหนึ่งก่อนจะเลื่อนออกไปอย่างเฉยชา

ลมเอื่อยๆ พัดเข้ามาพาให้กระดิ่งใต้ชายคาสั่นไหวเป็นเสียงที่ไพเราะเสนาะหู

เฉียวเจิงยืดเหยียดแขนขาที่ยังคงปวดเมื่อย แล้วสายตาก็มองไปยังจีหมิงซิวโดยไม่ได้ตั้งใจอีกครั้ง สายตาเขาพลันสั่นไหวก่อนจะเบือนหน้าหนีไป

เส้นก๋วยเตี๋ยวต้มเสร็จอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะที่ประตูถูกเปิดออก เฉียวเจิงทะลึ่งตัวลุกขึ้นจากเตียงพร้อมปล่อยมือจีหมิงซิวทันที “ข้าไม่ได้ตรวจชีพจรให้เขานะ!”

ผู้ที่เข้ามายิ้มเล็กน้อย