บทที่ 652 ซูหมาง แห่งหมินซาน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 652 ซูหมาง แห่งหมินซาน

บทที่ 652 ซูหมาง แห่งหมินซาน

เสี่ยวหลีจื่อทรุดตัวลงกับพื้นและมองร่างผอมบางอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อมองดูใบหน้านี้ ดูเหมือนจะสามารถดูออกได้อย่างรวดเร็วว่าคนผู้นี้คือเหมียวเอ้อร์

เขายังตกใจและพึมพำกับตัวเองว่า “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมท่านถึงไม่ตาย!”

คำพูดของเสี่ยวหลีจื่อนั้นไม่เบา แต่คนอื่น ๆ กำลังให้ความสนใจเหมียวเอ้อร์และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ยินคำพูดของเสี่ยวหลีจื่อ แต่หลี่ฝานต่างออกไป ตอนนี้เขาผ่อนคลายลง แน่นอนว่าสิ่งที่ทุกคนพูด เขาล้วนได้ยินอย่างชัดเจน

หลี่ฝานยิ้มอย่างเย็นชา มองไปที่เสี่ยวหลีจื่อและยิ้มเยาะ “ทำไมล่ะ? เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหมียวเอ้อร์ไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เขายังไม่ตาย เจ้าก็น่าจะมีความสุขมากนี่? ทำไมเมื่อฟังจากน้ำเสียงของเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกราวกับว่าเจ้าต้องการให้เขาตายล่ะ!”

“ข้า…” เสี่ยวหลีจื่อกำลังจะเถียงด้วยเหตุผล แต่เมื่อคำพูดนั้นมาถึงปาก เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เมื่อคิดถึงตอนที่เขาทำให้หลี่ฝานขุ่นเคืองเพื่อรับเงินสิบตำลึงเงินจากคนว่าจ้าง เขาก็รู้สึกเสียใจมาก

ดังนั้นเขาจึงคลานไปหาหลี่ฝานด้วยมือและเท้าของเขา และกำลังจะดึงเสื้อคลุมของหลี่ฝาน แต่หลี่ฝานรีบเดินออกไปและมองดูเขาด้วยความรังเกียจ

“เถ้าแก่หลี่ ข้ามีตาหามีแววไม่ เป็นข้าเองที่พูดเท็จ ข้าเองที่สมควรถูกด่า ข้าไม่ควรใส่ร้ายเถ้าแก่และแม่นางกู้เลย พวกท่านเป็นคนดี พวกท่านทั้งหมดเป็นคนดี!” เสี่ยวหลีจื่อร้องไห้อย่างขมขื่นพลางตบหน้าของตนขณะที่ร้องไห้ ดูเหมือนจะรู้แล้วว่าตนเองคิดผิด

“บัดซบ!” หลี่ฝานพูดอย่างชั่วร้ายโดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย และก้าวเดินไปหาเหมียวเอ้อร์ ก่อนจะตะโกนถามว่า “เหมียวเอ้อร์ เจ้าหายไปครึ่งปีแล้ว เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา?”

เหมียวเอ้อร์ไม่ได้พูดอะไร และเห็นชายคนหนึ่งสวมชุดส่งสารอย่างเป็นทางการเดินออกมาจากท่ามกลางฝูงชน แต่เสื้อผ้าของเขาแตกต่างจากเสื้อผ้าของผู้ส่งสารที่นี่มาก

ชายผู้นั้นมีใบหน้าเหลี่ยม ตาโตเท่าระฆัง มองดูแล้วน่ากลัว

เมื่อทุกคนเห็นเขาเดินผ่านหน้าไป ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นลม

หลังจากที่ชายคนนั้นเข้าไปในศาล เขาก็คำนับ “ใต้เท้าลวี่…”

“เจ้า… คือ…” ลวี่เทาไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน แต่ดูจากเสื้อผ้าของเขา แน่นอนว่าตัวตนของคนผู้นี้ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของเขา แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผ้าของขุนนาง แต่ตำแหน่งก็ยังใหญ่กว่าเขา

ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทำอะไร รีบดึงสติกลับมากอีกครั้งและทักทายกลับ “ข้าขอเอ่ยถามว่าท่านคือ… ”

“ใต้เท้าลวี่ ข้าคือซูหมาง แห่งหมินซาน!”

หมินซาน?

นั่นเป็นสถานที่สำหรับกักขังอาชญากร!

ซูหมาง เจ้านายเลือดเย็นที่รู้จักกันดีของหมินซาน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ที่เชี่ยวชาญในการกักขังนักโทษ

ผู้บัญชาการเรือนจำอันเลื่องชื่อ!

ในเขตหมินซาน มีภูเขาสูงและมีหินมากมาย คนที่ก่ออาชญากรรมแต่ยังไม่ถึงกับต้องโทษประหารชีวิตจะได้รับมอบหมายให้ทำงานที่นั่น… โดยเฉพาะการขุดหิน!

มีนักโทษจำนวนมาก และมีเขตแดนกว้างเป็นเรื่องปกติที่นักโทษจะหลบหนี

เมื่อสองสามปีก่อน มีนักโทษหลายสิบคนหลบหนี ซึ่งทำให้หลงเหยียนโกรธ ต่อมาก็ได้ย้ายซูหมางซึ่งเพิ่งกลับมาจากแนวหน้ามาประจำการที่หมินซาง

ทันทีที่ซูหมางมาประจำการ เขาก็เปลี่ยนทุกคนในหมินซาน

แม้จะไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีไหน แต่ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้หลบหนีอีกเลย

ชื่อเสียงของเขาเป็นที่ยำเกรง แม้แต่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของเขาก็ใหญ่กว่าลวี่เทาเสียอีก!

หัวใจของลวี่เทาสั่นไหว เขาคุกเข่าลงโดยไม่ต้องคิด “ข้าน้อยขอคำนับใต้เท้าซู!”

ซูหมางเป็นคนหยาบคาย เขาเคยจัดการกับศัตรูและต่อมาก็จัดการกับนักโทษ ปกติแล้วเขาไม่สามารถรับการแสดงมารยาทเหล่านั้นได้ เขาจึงดึงลวี่เทาขึ้น

เขาไม่ได้ใช้แรงมากนัก ลวี่เทาเป็นข้าราชการที่ไม่มีสถานะทางทหาร แขนของเขาที่ถูกซูหมางจับเมื่อครู่ กระดูกแขนของเขาก็ราวกับจะหักและรู้สึกเจ็บปวดไปหมด แต่เขาไม่กล้าแสดงมันออกมา

เมื่อทุกคนเห็นลวี่เทาทำเช่นนั้น ทุกคนก็คุกเข่าลงและคิดว่าคนนี้ที่สวมชุดทางการต้องมีตำแหน่งใหญ่กว่าลวี่เทาแน่นอน

ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงเบิกตากว้างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

ลวี่เทาไม่สามารถรอให้ความเจ็บปวดที่แขนของเขาคลายลงได้ เขาจึงโค้งคำนับและพูดว่า “ไม่ทราบว่าใต้เท้าซูมาที่นี่ ท่านมีธุระอันใดหรือ?”

อย่างไรก็ตาม ซูหมางโบกมือราวกับว่าเขาไม่สนใจมารยาทที่ไร้สาระและพูดเสียงดัง “ข้าเคยคุมขังนักโทษที่เคยก่อคดีฆาตกรรมในหมินซาน แต่ข้าได้ทราบมาว่าคนผู้นี้มีความผิดคดีฆาตกรรม ข้าจึงคิดจะนำบุคคลนี้กลับมาและปล่อยให้ใต้เท้าลวี่จัดการ!”

คำพูดสองประโยคนี้ของซูหมางทำให้ลวี่เทารู้สึกชาที่หนังศีรษะและรู้สึกหนาวสันหลัง

ซูหมางรู้ได้อย่างไรว่าเหมียวเอ้อร์ก่อคดีฆาตกรรม?

เป็นไปได้หรือไม่ที่เหมียวเอ้อร์ผู้นี้ฆ่าภรรยาและลูกสาวของเขาจริง ๆ?

ในขณะนี้ หน้าผากของลวี่เทามีหยาดเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ หยดลงมาเรื่อย ๆ ตัวของเขาสั่นสะท้านและคิดหาวิธีจัดการกับมัน

“ใต้เท้าซู เหมียวเอ้อร์ผู้นี้อยู่ในเขตหมินซานของท่านมาตลอดเลยหรือไม่?” ในที่สุดลวี่เทาก็นึกขึ้นได้ แต่เขาไม่ได้พูดถึงคดีฆาตกรรมของเหมียวเอ้อร์ แต่ถามถึงที่มาของเหมียวเอ้อร์แทน

“ใช่แล้ว! กว่าครึ่งปีที่ผ่านมา คนผู้นี้ถูกส่งไปที่เขตหมินซานของข้า โดยบอกว่าเขาเป็นคนทำบัญชีแต่ยักยอกเงินในร้านอาหารไปกว่าสองพันตำลึงเงิน! หลักฐานเป็นที่แน่ชัด คนฉ้อฉลเช่นนี้ ข้าจะไม่มีวันเมตตา!”

ว่าอย่างไรนะ? การที่เหมียวเอ้อร์หายตัวไปในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าเขาถูกควบคุมตัวไว้ที่หมินซาน!

ทุกคนกระซิบและมองไปที่เหมียวเอ้อร์ ไม่น่าแปลกใจที่เหมียวเอ้อร์จะผอมมากจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ผิวพรรณหมองคล้ำไม่น่ามองราวกับคลานออกมาจากกองถ่านหิน

ลวี่เทาก็ตกใจเช่นกัน เขาเหงื่อออกและมองไปที่หลี่ฝาน เขาไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไร

ไม่น่าแปลกใจที่หลี่ฝานไม่เคยยอมรับว่าเขาฆ่าเหมียวเอ้อร์ และไม่ได้มารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ นั่นเป็นเพราะว่าเหมียวเอ้อร์ถูกส่งไปยังเขตหมินซานเพื่อขุดหินนี่เอง

อย่ามองหลี่ฝานที่ดูหน้าตาใจดี แต่ไม่คาดว่าเขาจะโหดเหี้ยมขนาดนี้

หลังจากฟัง เหมียวซื่อที่อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่เชื่อและโต้กลับอย่างแข็งกร้าว “ท่านใต้เท้า อย่าฟังการใส่ร้ายของเขา เหมียวเอ้อร์ของข้าไม่เคย ไม่เคย…”

“โอ้อวด!” ลวี่เทาได้ยินและด่าไปโดยไม่คิด “มานี่ ตบปาก!”

เมื่อเหมียวซื่อได้ยินดังนั้นนางก็ตกตะลึง และเห็นเจ้าหน้าที่สามคนก้าวขึ้นมา จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ทั้งสองรั้งนางไว้ เหมียวซื่อก็ร้องตะโกนว่า “ใต้เท้า ใต้เท้าเจ้าคะ ยกโทษให้…”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เหมียวเอ้อร์ยังไม่ตายจริง ๆ ด้วยสินะคะ แต่คนแบบนี้ต้องได้รับกรรม

ไหหม่า(海馬)