ข้อสันนิษฐานนี้มีความเป็นไปได้สูง
ทางใต้มีชนกลุ่มน้อยมากกว่าสิบเผ่า แต่ถึงกระนั้นอูเหมียวและเสวี่ยเหมียวกลับมีเชื้อสายมาจากที่เดียวกัน ชนเผ่าทั้งสองใช้หนอนพิษกู่และหญ้าพิษในการกำจัดศัตรู
หากจะบอกว่ามีผู้ใดลอบเข้าไปในเผ่าเสวี่ยเหมียว คำตอบก็คงหนีไม่พ้นเผ่าอูเหมียว
ผู้อาวุโสที่เอ่ยก่อนหน้านี้ถามด้วยความสงสัย “ที่บอกว่าองค์ชายเจ็ดแห่งของต้าโจวเป็นคนทำร้ายหัวหน้าเผ่าเป็นเพียงการคาดเดาของผู้อาวุโสหรงใช่หรือไม่”
ผู้อาวุโสหรงผงะเล็กน้อย “ผู้อาวุโสไป๋หมายความว่าอย่างไร”
ผู้อาวุโสไป๋เงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะกล่าว “ในเมื่อหัวหน้าเผ่าส่งอาซานไปสังหารองค์ชายเจ็ดแห่งต้าโจว แล้วเหตุใดจู่ๆ หัวหน้าเผ่าและอาซานถึงเสียชีวิตในกองเพลิง หรือว่าองค์ชายเจ็ดรู้ว่าหัวหน้าเผ่าจ้องจะกำจัดเขา เขาถึงได้ชิงลงมือก่อน”
“ใช่ว่าไม่มีโอกาสเช่นนั้น” ผู้อาวุโสหรงกล่าว
“เช่นนั้นผู้อาวุโสหรงทราบสาเหตุที่หัวหน้าเผ่ากำจัดองค์ชายเจ็ดแห่งต้าโจวหรือไม่”
ผู้อาวุโสหรงจนด้วยคำถาม
เขาเพิ่งจะได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าเผ่าเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ฉะนั้นเรื่องบางเรื่อง เขาเองก็ไม่ทราบแน่ชัด
ผู้อาวุโสไป๋เห็นดังนั้นก็ลอบยิ้ม
เขาทราบสาเหตุที่หัวหน้าเผ่าตั้งใจจะกำจัดองค์ชายเจ็ดแห่งต้าโจว
หัวหน้าเผ่าบอกเรื่องที่ได้รับคำทำนายจากเผ่าอูเหมียวให้เขาฟัง ในตอนนั้นหัวหน้าเผ่าตั้งมั่นแน่วแน่ว่าจะกำจัดองค์ชายเจ็ดแห่งต้าโจว ส่วนเขาในตอนนั้นก็พยายามคัดค้าน
เนื่องจากเขามองว่าคำทำนายนั้นเป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อ อีกทั้งเสวี่ยเหมียวยังเป็นรองอูเหมียวเสมอมา ฉะนั้นแล้วหากมีปัญหาขัดเคืองกับต้าโจวก็รังแต่จะส่งผลเสียยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ผู้ใดจะคิดว่าคำทำนายนั้นเป็นเรื่องจริง อีกทั้งยังเป็นเหยื่อล่อที่อูเหมียวจงใจปล่อยออกมา
แต่เมื่อหัวหน้าเผ่าเป็นพวกถึงไหนถึงกัน ในขณะที่เขาเป็นพวกรักสงบ ทัศนคติที่แตกต่างกันทำให้ทั้งคู่ห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉะนั้นแล้ว หัวหน้าเผ่าถึงได้ลงมือโดยไม่บอกให้เขารับรู้
“ฉะนั้นแล้วเรื่องที่หัวหน้าเผ่าส่งอาซานไปลอบสังหารองค์ชายเจ็ดแห่งต้าโจวเมื่อคืนวานก็เป็นเพียงคำกล่าวด้านเดียวจากผู้อาวุโสหรงเช่นกัน”
ผู้อาวุโสหรงโกรธเกรี้ยว “ผู้อาวุโสไป๋ นี่ท่านกำลังสงสัยในตัวข้าอย่างนั้นหรือ”
ผู้อาวุโสไป๋หัวเราะ “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้เกิดความเกลียดชังระหว่างเผ่าของพวกเราและต้าโจวก็เท่านั้น หัวหน้าเผ่าเพิ่งจะจากไป คงไม่ฉลาดนักหากพวกเราจะไม่ลงรอยทั้งกับอูเหมียวและต้าโจว”
“ผู้อาวุโสไป๋ เจ้ากลัวต้าโจวงั้นรึ เช่นนี้แค้นของหัวหน้าเผ่าก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย?”
ผู้อาวุโสไป๋แสดงท่าทีเย็นชา “หากองค์ชายเจ็ดแห่งต้าโจวทำร้ายหัวหน้าเผ่าจริง ข้าก็ไม่มีทางปล่อยเลยตามเลย ที่ข้ากำลังจะบอกคือไม่ต้องการให้พวกเราด่วนสรุปก็เท่านั้น หากจะบอกว่าอาซานทำภารกิจตามคำสั่งของหัวหน้าเผ่าจริง แล้วเหตุใดร่างศพของเขาถึงมาอยู่ในห้องที่ถูกเพลิงไหม้เช่นนี้”
“ผู้อาวุโสไป๋ เช่นนั้นท่านคิดว่าควรทำอย่างไร” บุตรชายของหัวหน้าเผ่าเอ่ยถาม
ผู้อาวุโสไป๋ใจชื้นขึ้นกว่าเก่าทว่ามิได้แสดงออกทางสีหน้า “แน่นอนว่าต้องสืบหาความจริงให้ได้เสียก่อน ทางแรกต้องสืบจากร่องรอยขององค์ชายเจ็ดแห่งต้าโจว ส่วนอีกทางคือไปสืบที่เผ่าอูเหมียว”
“ต้องไปที่อูเหมียวอย่างนั้นหรือ” คำตอบนี้เกินความคาดหมายของทุกคนมากทีเดียว
นอกจากผู้อาวุโสไป๋จะไม่เห็นด้วยกับผู้อาวุโสหรงแล้ว ยังชักจูงไปทิศทางอื่นอีกหรือ
ผู้อาวุโสไป๋กล่าวด้วยความทุกข์ระทม “ตามเนื้อตัวของหัวหน้าเผ่าไร้ร่องรอยการถูกทำร้าย ความเป็นไปได้แรกคืออาจเสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ และความเป็นไปได้อีกประการหนึ่งคือ อาจถูกใครบางคนควบคุมจนไม่สามารถขยับร่างกายเอาชีวิตรอดจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ และถ้าหากเป็นอย่างหลัง การที่ใครคนหนึ่งสามารถลักลอบเข้าไปในห้องตำราของหัวหน้าเผ่า และควบคุมหนอนพิษกู่ในร่างของหัวหน้าเผ่าได้ ฆาตกรผู้นั้นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเผ่าอูเหมียวอย่างแน่นอน หรือไม่ก็เป็นคนอูเหมียวเสียเอง!”
ครั้นผู้อาวุโสไป๋กล่าวจบ ทั้งหมดก็ตกอยู่ในความเงียบเนิ่นนาน ผู้อาวุโสอีกคนกล่าวขึ้นว่า “แต่พวกเราไม่มีหลักฐานนี่ ในเมื่อร่างของหัวเผ่าไร้ร่องรอยของการถูกทำร้าย หัวหน้าผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียวคงบอกว่าหัวหน้าเผ่าของพวกเราเสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้อย่างแน่นอน”
ผู้อาวุโสไป๋หัวเราะเย้ยหยัน “ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องยืนกรานว่าหัวหน้าเผ่าถูกทำร้าย จริงอยู่ที่อูเหมียวคงจะหาทางแก้ต่าง แต่ทุกท่านวางใจได้ ข้าจะเป็นคนไปที่อูเหมียวและเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่หัวหน้าเผ่าเอง”
ทั้งหมดค้อมทำความเคารพ “ฝากท่านผู้อาวุโสไป๋ด้วย”
ถัดจากตำแหน่งของหัวหน้าเผ่า ผู้ที่มีอำนาจรองลงมาคือผู้อาวุโสไป๋ ฉะนั้นในช่วงเวลาเช่นนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าทำให้เขารู้สึกขุ่นเคือง
ครั้นผู้อาวุโสไป๋เห็นว่าทุกคนแสดงความนอบน้อมต่อตนเอง ในใจของเขาก็ปีติยินดียิ่งถึงแม้ใบหน้าจะยังคงแสดงออกถึงความทุกข์โศกก็ตามที
เขาตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากการเสียชีวิตของหัวหน้าเผ่าเพื่อทำคะแนน และผลักดันตัวเองให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่าคนใหม่ให้ได้เสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆ ค่อยว่ากันทีหลัง
ผู้อาวุโสหรงเห็นเช่นนั้นก็พยายามเก็บซ่อนความหวาดหวั่นไว้ในใจ เขาเริ่มวางแผนว่าตัวเองคงต้องหารือกับนายน้อยเพื่อขัดขวางไม่ให้ผู้อาวุโสไป๋บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
หลังจากนั้นผู้อาวุโสไป๋ได้เดินทางไปยังอูเหมียวเพื่อล้างแค้นและแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง ส่วนชาวเสวี่ยเหมียวอีกกลุ่มหนึ่งก็สืบจากร่องรอยขององค์ชายเจ็ดแห่งต้าโจว การต่อสู้ยื้อยุดของสองขั้วอำนาจภายในเสวี่ยเหมียวเป็นไปอย่างดุเดือดและร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมิจำเป็นต้องลงรายละเอียด
……
รถม้ามุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ ขยับเข้าใกล้เมืองหลวงวันต่อวัน มีเพียงความโกลาหลที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
แต่ยังมีอีกสิ่งที่เดินทางเร็วกว่าเจียงซื่อก้าวหนึ่งคือจดหมายลับที่ถูกส่งไปถึงโต๊ะสลักลายมังกรเบื้องหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้
เมื่อเห็นว่าชื่อจ่าหน้าซองมาจากหน่วยองครักษ์จิ่นหลินที่ส่งไปสืบราชการลับ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็แทบจะคลี่ดูในทันที
เมื่อตอนต้นปีเขาส่งหงหลูซื่อชิงและพรรคพวกไปที่อูเหมียว โดยสั่งให้องครักษ์จิ่นหลินแฝงตัวเข้าไปในกองขบวน แม้หงหลูซื่อชิงจะกลับมาแล้ว แต่คนเหล่านั้นยังคงแฝงตัวเป็นพ่อค้าและอาศัยอยู่ที่ทางใต้
เมื่อเป็นเรื่องของเผ่าอูเหมียวที่สุดแสนจะลึกลับ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เพิ่มความระมัดระวังมากเป็นเท่าตัว เขาต้องการทราบทุกความเคลื่อนไหวของคนที่นั่น
เมื่ออ่านจดหมายแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เอนหลังพิงพนักเงียบงัน
พานไห่รินชาใส่ถ้วยและวางลงตรงหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้โดยมิได้ส่งเสียงดุจกัน
หลังจากนั้นไม่นาน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็หันไปสั่งพานไห่ “ไปเชิญฮองเฮามาที่นี่”
พานไห่รับคำสั่งเตรียมจะเดินออกไป แต่แล้วจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เปลี่ยนใจ เขาลุกขึ้น “ช่างเถอะ ข้าไปที่ตำหนักคุนหนิงเองดีกว่า”
ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาเช้า พื้นในห้องยังร้อนได้ที่ ฮองเฮาที่ยืนอยู่ข้างๆ หน้าต่างใช้กรรไกรเงินจัดแต่งดอกไม้สดในกระถางอย่างพิถีพิถัน
“เหนียงเหนียง ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ”
ฮองเฮาวางกรรไกรเงินลงก่อนจะรี่เข้าไปต้อนรับ “ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์ถึงเสด็จมาเพลานี้ล่ะเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินเข้าไปด้านในก่อนจะนั่งลง สีหน้าในขณะนั้นมิได้สื่ออารมณ์ยินดีหรือยินร้าย
ฮองเฮาเห็นดังนั้นก็มิได้เซ้าซี้ นางหันไปสั่งให้นางในทั้งหมดออกไป และรินน้ำชาให้ฮ่องเต้ด้วยตัวเอง
จิ่งหมิงฮ่องเต้รับถ้วยชานั้นไปถือ นิ้วมือลูบผิวกระเบื้องชั้นดีชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยปากออกมาในที่สุด “มีจดหมายจากสายลับที่คอยจับตาดูอูเหมียว”
ฮองเฮาสำรวมท่าทีก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน “ที่นั่นมีความเคลื่อนไหวแล้วหรือเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ผงกศีรษะรับ “เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอูเหมียวเสียชีวิตไปแล้ว แต่จู่ๆ นางก็มาปรากฏตัวในเทศกาลซินหั่ว...”
ฮองเฮาขมวดคิ้วด้วยความฉงน “หากจะบอกเช่นนั้นก็หมายความว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สตรีศักดิ์สิทธิ์เก็บตัวฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างนั้นหรือเพคะ”
“เก็บตัวฝึกบำเพ็ญเพียรจริงไหมไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่ยังมีเรื่องแปลกอีกเรื่อง”
“เรื่องอะไรหรือเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบงันหลายอึดใจก่อนจะกล่าว “เนื้อความในจดหมายบอกว่า เทศกาลซินหั่วมิได้เปิดให้คนนอกเข้าร่วม ฉะนั้นพวกเขาจึงซ่อนตัวอยู่บนที่สูงและใช้กระจกส่องทางไกล และพวกเขาพบว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ของอูเหมียว…หน้าตาละม้ายคล้ายกับสะใภ้เจ็ด…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้อยู่ในอาการสับสน เขานิ่งเงียบเนิ่นนานก่อนจะกล่าว “สะใภ้เจ็ดบอกว่าตัวเองเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ศาสตร์วิชา แต่ใบหน้าของนางกลับเหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียว…จริงสิ ฮองเฮา ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าสะใภ้เจ็ดเก็บตัวสวดภาวนาขอพรเพื่อเจ้าเจ็ดอยู่ในจวนอ๋องใช่หรือไม่”
หัวใจของฮองเฮาเต้นแรง นางผงกศีรษะทว่ามิได้ส่งเสียง
“หากจะบอกอย่างนั้นก็หมายความว่า สะใภ้เจ็ดไม่ได้ออกจากจวนมานานแล้วน่ะซิ”
“เพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เคาะนิ้วลงบนโต๊ะแผ่วเบาซึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังลังเล
ฮองเฮาคาดเดาในใจ แต่มิได้บอกออกไป
ผ่านไปหลายอึดใจ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ตัดสินใจได้ในที่สุด “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าจะส่งคนไปดูที่จวนเยี่ยนอ๋อง”