บทที่ 715 ชายสกุลเซียวในเหมืองเหล็ก

เว่ยฉิงเดินไปมองดูเด็กคนนั้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด บาดแผลของเด็กคนนี้อยู่บริเวณด้านหลังของศีรษะ เว่ยฉิงปิดปากแผลไว้ครู่หนึ่งเพื่อหยุดเลือด

เรื่องแบบนี้พบเห็นได้ทั่วไปภายในเหมือง คนเหล่านี้เป็นคนต้องโทษ ชีวิตของเขาไร้ค่า เวลาตายพวกเขาก็จะตายเยี่ยงทาสคนหนึ่ง ดังนั้นการวิวาทเช่นนี้จึงไม่มีใครให้ความสนใจนัก หากเดินไปในเหมืองก็อาจเจอกับคนตายได้ทุกที่

ลู่ตี้จูเห็นว่า เจ้ากรมอาญาผู้นี้มีความเห็นใจเด็ก จึงได้ส่งคนไปตามหมอมาทันที

หมอที่มารักษาเป็นหมอที่อยู่ในเหมือง ปกติแล้วเขาจะรักษาแค่เจ้าหน้าที่หรือทหารที่เฝ้าเหมืองไม่ก็แรงงานที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่เพราะคำสั่งของลู่ตี้จู เขาจึงตรวจบาดแผลของเด็กคนนี้แล้วห้ามเลือดให้อย่างรวดเร็ว เด้กคนนี้ช่างดวงแข็งอย่างน่าทึ่ง ไม่นานนักก็ฟื้นขึ้นมา เขาขดตัวทันทีเมื่อเห็นเว่ยฉิง

“นายท่านเป็นคนช่วยชีวิตเจ้าไว้” หมอชราพูด ความจริงแล้วชีวิตของเด็กในเหมืองช่างไร้ค่า และไม่ได้อยู่ในขอบเขตการดูแลของเขา หมอจะสามารถรักษาพวกเขาได้แบบลับๆ เท่านั้น ทั้งยังไม่สามารถจ่ายยาให้ได้

ในสายตาของคนคุมเหมืองแล้วการใช้ยากับทาสในเหมืองนับว่าเป็นเรื่องสูญเปล่า

ถ้าไม่ได้ใช้ยา หมออย่างเขาก็จะทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง

นายท่านผู้นี้ดูภายนอกเหมือนคนดุร้ายแต่ความจริงแล้วกลับมีเมตตากรุณาไม่น้อย

เมื่อได้ยินว่าเว่ยฉิงช่วยชีวิตตัวเอง เด็กหนุ่มก็มองเขาด้วยความประหลาดใจ เขาเลิกขดตัว

“เจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน ข้าจะพาเจ้าไปส่ง” เว่ยฉิงกล่าวพร้อมกับช่วยพยุงเด็กหนุ่มขึ้นมา

เด็กหนุ่มชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง เว่ยฉิงจึงตัดสินใจพาเขาไปส่งที่บ้าน ลู่ตี้จูก็ตามไปด้วย

ทั้งหมดพากันเดินมาถึงกระโจมที่ดูทรุดโทรมแห่งหนึ่ง หญิงวัยกลางคนมองเห็นเด็กหนุ่มอยู่กับเว่ยฉิง ใบหน้าของนางเปลี่ยนไป

“โกวตั้นเจ้าไปไหนมา!” เมื่อเห็นลู่ตี้จูในชุดเครื่องแบบ แข้งขาของนางก็อ่อนเปลี้ย

หญิงผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“นายท่าน โกวตั้นของข้าทำอะไรผิดหรือเจ้าคะ เขายังเด็กและโง่เขลามากได้โปรดอภัยให้เขาด้วยเถิด” แม้ว่านางจะตัวสั่นด้วยความกลัวแต่ก็ยังมายืนปกป้องเด็กหนุ่มไว้

“ไม่มีอะไร เขาหัวแตกที่ด้านหลัง ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ” เมื่อเว่ยฉิงกล่าวจบเขาก็พาลู่ตี้จูและหมอเดินออกไป นางถอนหายใจอย่างโล่งอก

“โกวตั้นหัวเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ฉินชวนและคนอื่นทำร้ายข้า”

“ถ้าครั้งหน้าเจ้าเจอพวกนั้นก็หนีไปเสีย คนที่เหมืองแห่งนี้ไม่ชอบเราหรอก” แม้เว่ยฉิงจะเดินไปแล้ว แต่หูของเขาก็ยังได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง

“เกิดอะไรขึ้นกับคนในครอบครัวนี้ เหตุใดคนอื่นในเหมืองถึงไม่ชอบเขา?” เว่ยฉิงถามลู่ตี้จู เขาทำท่าอ้าปากแต่กลับหุบลง

“ข้าต้องการรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเหมือง รบกวนท่านลู่ช่วยบอกข้าด้วย”

“ใต้เท้า เรื่องนี้เกี่ยวกับคดีเก่าของสกุลเซียวขอรับ..” ลู่ตี้จูพูดแล้วหยุดชะงักไปชั่วครู่

“เกี่ยวข้องกับคดีกบฏสกุลเซียวขอรับ แม้คนเหล่านี้จะไม่ได้อยู่ในสกุลเซียวโดยตรงแต่ก็มีความเกี่ยวพันกัน เมื่อเกิดเรื่องขึ้นพวกเขาจึงต้องโทษและถูกเนรเทศมาที่นี่ขอรับ” แม้ลู่ตี้จูจะไม่ได้พูดแบบตรงไปตรงมาแต่เว่ยฉิงก็คาดเดาได้อยู่แล้ว ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะเป็นคนบ้านเดียวกับสกุลเซียว

เมื่อโดนตราหน้าว่าเป็นกบฏ เห็นคนเหล่านั้นแซ่เซียวเหมือนกัน พวกเขาก็จะประนามเพราะคิดว่าพวกแซ่เซียวทำให้พวกตนเองต้องตกมาเป็นทาสเช่นนี้

แม้สีหน้าของเว่ยฉิงจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่มือของเขากำแน่น เขาสืบเรื่องของสกุลเซียวแบบลับๆมาตลอด พบว่าคนในสกุลเซียวทั้งหมดถูกตัดศีรษะ กองทัพของสกุลเซียวถูกปราบปราม สกุลเซียวเหลือท่านลุงสามและตัวเขาแค่สองคนที่อยู่รอด ไม่คิดเลยว่าจะยังมีคนที่เกี่ยวข้องคนอื่นที่เหลือรอดมาได้ พวกเขาอยู่ภายใต้เงาที่มืดมิดในเหมืองแห่งนี้นี่เอง

“พาข้าไปหาคนถลุงเหล็กที่ดูแลเหล็กในเหมืองหน่อยเถิด” เว่ยฉิงว่า

ลู่ตี้จูพาเว่ยฉิงไปพบชายวัยกลางคนท่าทางซื่อสัตย์ นามว่า เถี่ยกวน เว่ยฉิงขอดูบัญชีของเหมืองเหล็กแห่งนี้ เขาพบว่าปริมาณเหล็กที่เบิกออกไปตรงกับปริมาณที่ใช้ทำลูกธนูไม่คลาดเคลื่อนเลย เมื่ออ่านรายงานจนหมดแล้ว เว่ยฉิงตั้งใจจะออกไปเดินเล่นรอบๆ ลู่ตี้จูนิ่งงันไป เขามองเจ้าหน้าที่ถลุงเหล็กพร้อมถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

“ท่านลู่ไปทำธุระของตัวเองเถิด ไม่ต้องติดตามข้า” เว่ยฉิงกล่าว

“ขอรับใต้เท้าอู่”

เว่ยฉิงเดินชมเหมืองอยู่คนเดียวเพื่อดูวิถีชีวิตของคนในเหมือง พร้อมกับพูดคุยกับพวกเขาเป็นครั้งคราว ดูเหมือนคนเหล่านี้จะเกรงกลัวเขา ทำให้เว่ยฉิงไม่สามารถสืบถามข้อมูลที่มีประโยชน์ได้ เขาจึงได้แต่สังเกตด้วยตาของตัวเองเท่านั้น

เหมืองแห่งนี้ขาดแคลนทั้งอาหารและเสื้อผ้า คนส่วนใหญ่อาศัยนอนอยู่ในกระโจม มีชีวิตความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น เด็กๆ เติบโตมาอย่างยากลำบาก พวกเขารู้เพียงแต่สิ่งที่บิดามารดาสั่งสอนเท่านั้น ไม่มีวันที่จะลืมตาอ้าปาก ก้าวหน้ามากไปกว่านี้ได้เลย

ในหมู่พวกเขาเหล่านี้มีคนสกุลเซียวอยู่ด้วย…

เว่ยฉิงเดินหันหลังกลับออกจากเหมืองไปยังโรงเตี๊ยมอีกครั้ง ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าปกปิดใบหน้าแล้วออกจากโรงเตี๊ยมมาที่เหมืองแบบเงียบเชียบ

ในตอนกลางดึกทั้งเหมืองมีแต่ความเวิ้งว้าง เว่ยฉิงเดินมาตามทางที่อยู่ในความทรงจำของตัวเอง เขามายังกระโจมของคนสกุลเซียว

ร่างกำยำของเขาซ่อนตัวอยู่ในความมืด เว่ยฉิงลอบฟังเสียงเคลื่อนไหวภายในกระโจม

“หัวของโกวตั้น..”

“โดนเด็กคนอื่นที่เกลียดพวกเรารังแก”

“พวกเขาไม่ควรรังแกคนเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะท่านแม่ทัพเซียว คนในหมู่บ้านจะรอดตายได้อย่างไร พวกเขาตอบแทนความเมตตาของท่านแม่ทัพด้วยการแก้แค้นเช่นนี้ แม้ความอยากลำบากในตอนนี้จะเป็นความผิดของท่านแม่ทัพก็ตาม” หญิงสาวลดเสียงลง ชายคนนั้นถอนหายใจอีกครั้ง

“ข้ารู้สึกว่าท่านแม่ทัพเซียวโดนใส่ร้าย…คนดีๆ เช่นเขาจะเป็นกบฏได้อย่างไร”

“เหตุใดเจ้าพูดแบบนี้ อยากตายหรือ?”

“ดึกแล้ว ไม่มีใครได้ยินหรอก..” นางหยุดพูดไปเมื่อเห็นว่าเขาจ้องตา หลังจากนั้นไม่นานชายร่างผอมในชุดขาดวิ่น ก็เดินออกมาจากบ้าน เว่ยฉิงลอบตามชายผู้นั้นไปเงียบๆ

เมื่อตามมาถึงเชิงเขา ชายคนนั้นนั่งยองๆเขาหยิบกระดาษสีเหลืองออกมาจากแขนเสื้อแล้วจุดไฟเผากระดาษ

“แม่ทัพเซียว..วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของท่าน ข้าเซียวเหล่าจิ่วทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเผากระดาษทองให้ เผื่อว่าท่านจะซื้อข้าวของในโลกหลังความตาย..” เซียวเหล่าจิ่วกระซิบเบาๆ ในขณะที่พูดเขาก็จุดไฟเผากระดาษอีกครั้ง เว่ยฉิงลอบฟังเงียบๆ วันนี้เป็นวันที่สกุลเซียวโดนประหารทั้งสกุล เขาไม่คิดเลยว่านอกจากท่านลุงสามและตนเองจะมีคนจำวันนี้ได้

หลังจากนั้นไม่นานเมื่อกระดาษถูกเผาจนหมด ชายคนนั้นก็ขุดหลุมและฝังขี้เถ้าลงไป เขาลุกขึ้นเตรียมจะเดินกลับ แต่เมื่อหันมาพบกับชายร่างสูงที่ยืนเงียบเชียบอยู่ด้านหลัง เซียวเหล่าจิ่วก็ตกใจจนทรุดไปกองที่พื้น

“ท่านเป็นใคร?”

เว่ยฉิงปกปิดใบหน้าของตัวเองไว้เหลือเพียงแค่ดวงตาเท่านั้น

“เซียวเหล่าจิ่ว เจ้ากราบไหว้ท่านแม่ทัพเซียวหรือ?”

ร่างกายของเซียวเหล่าจิ่วสั่นสะท้าน เขาระมัดระวังตัวมาหลายสิบปี ไม่คิดว่าวันนี้จะโดนจับได้ จบสิ้นกันแล้ว เซียวเหล่าจิ่วพยายามหันกลับไปพร้อมวิ่งหนีแต่ก็ถูกเว่ยฉิงจับตัวไว้

“ข้าชื่นชมท่านแม่ทัพเซียวเช่นกัน ข้าจะไม่บอกใครเรื่องนี้ แต่ข้ามีคำถามอยากถามเจ้าสักสองสามข้อ” เว่ยฉิงพูดกับเขาอย่างนุ่มนวล

เซียวเหล่าจิ่วมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสับสน ตอนนี้ความลับของเขาถูกเปิดเผย ย่อมไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากพยักหน้ารับเท่านั้น

“ท่าน..ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่?”

เว่ยฉิงปล่อยเขา

“เซียวเหล่าจิ่ว เจ้ามีความเกี่ยวพันอย่างไรกับแม่ทัพเซียว?” เว่ยฉิงกล่าว

เซียวเหล่าจิ่วมองชายหนุ่ม สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวในดวงตาของคนผู้นี้

เขาจำต้องเปิดปากเล่าออกไป

“เดิมทีข้าเป็นคนในหมู่บ้านเซียวที่อยู่ทางตอนใต้ของชานเมืองหลวง เดิมที่หมู่บ้านเซียวถูกเรียกว่าฉวนสุ่ย นี่นั่นมีน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง ข้าถูกญาติของเจ้ากรมการคลังหลอกล่อ ตอนนั้นพวกเขาพยายามที่จะยึดครองฉวนสุ่ย หากทำได้สำเร็จชาวบ้านจะไม่มีที่อยู่อาศัย ชาวบ้านจึงลุกขึ้นมาต่อต้านผู้ที่มีอำนาจทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น ในช่วงนั้นแม่ทัพเซียวเป็นคนที่ยื่นมือมาช่วยหมู่บ้านของเรา ลงโทษคนมีอำนาจเหล่านั้น สุดท้ายฉวนสุ่ยจึงได้สงบสุข..”

“ในเวลานั้นหัวหน้าหมู่บ้านคือบิดาข้า มีแซ่เซียวเช่นเดียวกัน แม่ทัพเซียวจึงพูดติดตลกว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน แม่ทัพเซียวเป็นคนดีมาก เขาปฏิบัติต่อเราด้วยความเมตตากรุณา ข้าสาบานกับท่านพ่อไว้ว่าข้าจะจดจำบุญคุณในครั้งนี้ไปตลอดชีวิต เพื่อเป็นการขอบคุณหมู่บ้านท่านแม่ทัพ หมู่บ้านของเราจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นหมู่บ้านเซียว”

หลังจากที่เว่ยฉิงได้ฟังเขาก็เข้าใจความเชื่อมโยงทั้งหมด ท่านตาของเขาเป็นคนที่เกลียดความชั่วและเป็นคนที่ตรงไปตรงมา คนมีอำนาจกลุ่มหนึ่งจึงรู้สึกขุ่นเคืองในตัวเขาไม่น้อย ต่อมาหลังจากเกิดเรื่อง ทุกคนพร้อมใจกันเหยียบย่ำสกุลเซียว คนที่เคยได้รับความเมตตาจากท่านตาของเว่ยฉิงนั้นก็ลืมบุญคุณเสียสิ้น จดจำแต่เพียงความแค้นที่มี

อย่างไรก็ตาม ยังมีคนที่ยังจดจำบุญคุณในครั้งนั้นได้อยู่เสมอ และหวังว่าวันหนึ่งสกุลเซียวจะสามารถล้างมลทินได้

เว่ยฉิงมองไปที่เซียวเหล่าจิ่วที่กำลังหดตัวอยู่ด้วยความกลัว

“ข้าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร เจ้าก็เห็นว่าข้าแข็งแกร่งมากจนสามารถกำจัดเจ้าได้ แต่ข้าไม่ทำอะไรเจ้า ไม่ต้องกังวล” เซียวเหล่าจิ่วมองเขา พลางคิดว่าคำพูดของเขามีเหตุผล เขาไม่จำเป็นต้องโกหก เซียวเหล่าจิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เจ้าทำงานให้เหมืองแห่งนี้มายี่สิบปีแล้วใช่หรือไม่?” เว่ยฉิงถาม

“ข้าอยากถามอะไรเจ้าบางอย่าง”

“ถามมาเถิดขอรับ”

“เจ้ามีหน้าที่ทำงานในเหมืองหรือถลุงเหล็ก?” เว่ยฉิงถามอีกครั้ง

“การถลุงเหล็กต้องใช้ประสบการณ์มาก ตอนนี้ข้าเองเป็นคนถลุงเหล็กขอรับ” เซียวเหล่าจิ่วกล่าว

“เหมืองเหล็กแห่งนี้สามารถถลุงแร่เหล็กออกมาได้เท่าไรภายในหนึ่งเดือน?”

เว่ยฉิงถามต่อไป อีกฝ่ายจึงตอบกลับมา

“ปีที่แล้วผลิตได้เท่าไรหรือ?” เมื่อเว่ยฉิงถามอีกครั้ง เซียวเหล่าจิ่วก็ระบุตัวเลขมาจำนวนหนึ่ง เว่ยฉิงขมวดคิ้วก่อนจะจมลงไปในห้วงความคิด ตัวเลขจำนวนนี้ไม่สอดคล้องกับบัญชีที่เจ้าหน้าที่มอบให้เว่ยฉิง

คลังอาวุธก็รู้เห็นเป็นใจด้วยเช่นนั้นหรือ? บางทีเหมืองและคลังอาวุธอาจจะมีความลับที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ก็เป็นได้