บทที่ 665 ลู่เหยารู้ความ

บทที่ 665 ลู่เหยารู้ความ

“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องพูดมากความ ข้าเชื่อว่าคุณหนูลู่เป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย ๆ คนหนึ่ง” กล่าวจบ เจี่ยงเถิงก็จากไป ไม่ได้หันกลับไปมองลู่เหยาแม้แต่แวบเดียว

“คุณหนู ไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ?”

พวกเขาต่างก็คาดไม่ถึงว่าคุณชายเจี่ยงที่แม้จะดูอ่อนแอ แต่ฝีปากนั้นช่างร้ายกาจยิ่งนัก คำพูดที่เขาพูดออกมาเมื่อครู่ อย่าว่าแต่คุณหนูเลย ต่อให้พวกเขาได้ยินก็อับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเช่นกัน

“ข้าไม่เป็นไร ท่านแม่อยู่ที่ใด?” แม้ว่าลู่เหยาจะเสียใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือท่านแม่

เดิมทีท่านแม่ต้องการปกปิดท่านพ่อ แต่ท่านพ่อรู้ข่าวจากหมอหลวงว่าท่านแม่ตั้งครรภ์ ทั้งยังจัดงานเฉลิมฉลองเสียใหญ่โต เรื่องนี้ทำให้ท่านแม่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นตอนนี้บรรยากาศทั้งจวนลู่จึงไม่นับว่าดีมากนัก

เมื่อครู่ลู่เหยาตั้งใจจะไปหาท่านแม่เพื่อพูดกับท่านแม่ให้รู้เรื่อง ใครเลยจะรู้ว่าจู่ ๆ เจี่ยงเถิงจะบุกมาหาถึงจวน นางตั้งใจจะรับมือเจี่ยงเถิงก่อนแล้วค่อยไปหาท่านแม่

“ฮูหยินอยู่ในจวน คุณหนูอยากไปหาฮูหยินหรือไม่เจ้าคะ?”

“อื้อ ไปสิ” ระหว่างที่ตรงเข้าไปในจวนของตู้เหิงนั้น จิตใจของลู่เหยากระวนกระวายยิ่งนัก เดิมทีอารมณ์ของท่านแม่ไม่ค่อยดีนัก ตอนนี้ยิ่งโกรธง่ายเข้าไปใหญ่

“น้อมทักทายท่านแม่เจ้าค่ะ” ลู่เหยาทำความเคารพตู้เหิง แล้วเดินมาข้างกายของตู้เหิงอย่างว่าง่าย

“เจ้ามาทำไม?”

“ลูกอยากคุยกับท่านแม่เจ้าค่ะ”

“เจ้าอยากพูดสิ่งใด?” ตู้เหิงเอามือออกจากหน้าผาก จากนั้นก็เปลี่ยนอากัปกิริยาในท่าที่ตัวเองสบายขึ้น แล้วมองมายังลู่เหยาพลางเอ่ยขึ้น

“เรื่องเกี่ยวกับน้องชายเจ้าค่ะ”

“ตอนนี้เขายังไม่เกิด จะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงก็ไม่ยังไม่รู้ เหตุใดเจ้าถึงกำหนดว่าเขาเป็นน้องชายด้วยเล่า?”

“เพราะมีแค่น้องชายเท่านนั้นที่จะทำให้ท่านแม่อารมณ์ดี มีแค่น้องชายที่จะทำให้ท่านแม่อยู่ในจวนลู่ได้อย่างมั่นคง ลูกรู้ว่าท่านแม่กลัวว่าลูกจะรับไม่ได้ แต่ลูกหวังแค่อยากให้ท่านแม่เบิกบานใจ เรื่องอื่นไม่สำคัญ”

“เหยาเหยา เจ้า….” ครั้นได้ยินคำพูดของลู่เหยา ตู้เหิงก็อดยืดตัวตรงไม่ได้ นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าลูกสาวของตัวเองจะรู้ความถึงเพียงนี้ หลังจากได้ยินข่าวนี้ แม้จะไม่โวยวายแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจตนเองมากนัก ใครเลยจะรู้ว่าตอนนี้กลับเป็นลูกสาวที่มาโน้มน้าวตน ยิ่งใช้ชีวิตยิ่งถอยหลังลงไปทุกที

“ท่านแม่ฟังลูกพูดให้จบก่อน ลูกรู้ดีว่าท่านแม่เป็นห่วงลูก กลัวว่าถ้ามีน้องชายแล้วลูกจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากในจวนเหมือนแต่ก่อน แต่ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ลูกโตแล้ว ทำเรื่องที่ตัวเองชอบได้ ดังนั้นลูกหวังว่าท่านแม่จะเบิกบานใจเช่นกัน”

“ความหมายของเจ้าแม่เข้าใจดีว่าลูกมีความตั้งใจ“

“ท่านแม่ ท่านอย่าทะเลาะกับท่านพ่อได้หรือไม่?”

“แล้วข้าอยากทะเลาะกับพ่อเจ้านักรึ? เห็น ๆ อยู่ว่าเขาหาเรื่องเอง ถ้าเขาใจกว้างมากพอก็ไม่ต้องทะเลาะกันจนเป็นแบบนี้หรอก” ครั้นเอ่ยถึงลู่เย่นางก็พลันโกรธฉุนเฉียว ยังไม่ทันได้บอกเขาเสียหน่อย?

ต้องถึงกับโกรธเพียงนี้เลยรึ? คำพูดหวานเยิ้มที่เคยพูดก่อนหน้าเหล่านั้นไม่ได้น่าเชื่อถือแม้แต่คำเดียว

“ท่านแม่ ท่านพ่อดีกับท่านมาก แม้ว่าในจวนหลังจะมีภรรยาอีกไม่น้อย แต่ท่านพ่อไม่เคยโปรดปรานพวกนางอยู่ในสายตา แต่ยามที่ท่านพ่อมองท่านนั้นแตกต่างกัน”

ลู่เหยาพูดเป็นต่อยหอย อาจจะเพราะความหนักแน่นของผู้เป็นแม่ ดังนั้นยามนางอยู่ต่อหน้าตู้เหิงมักจะแสดงท่าทีระมัดระวัง

“เจ้าเป็นเด็กจะไปรู้อะไร? ถ้าอยากจะแสดงความกตัญญูกับข้า ก็รีบจับองค์รัชทายาทมาอยู่ในครอบครองของเจ้าให้ข้าได้แล้ว เจ้าดูอย่างหลินซือสิ เมื่อเร็ว ๆ นี้นางได้รับพระราชทานอนุญาต กลายแม่ค้าขายเกลือ ทำไมเจ้าถึงไม่มีหัวด้านค้าขายบ้าง?”

ตู้เหิงไม่เข้าใจ ครั้นเปรียบเทียบระหว่างนางและเหยาซูก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ลู่เหยากลับแย่กว่าหลินซือก้าวหนึ่ง ไม่เพียงแต่แย่งผู้ชายไม่ได้แล้ว แม้แต่การค้าขายก็ยังสู้หลินซือไม่ได้

ตอนนี้หลินซือได้เป็นเจ้าของกิจการอย่างอิสระ แต่ลู่เหยากลับอุดอู้อยู่แต่ในจวน เอาแต่เย็บปักถักร้อยอะไรเทือกนั้นได้ทุกวัน ไฉนเลยจะดึงดูดความสนใจองค์รัชทายาทได้

“ลูกไม่ดีเอง ทำให้ท่านแม่โกรธ”

“เอาละ ๆ เจ้าออกไปเถอะ ข้าเห็นเจ้าแล้วอารมณ์ไม่ดี”

“เจ้าค่ะ ลูกขอตัวลา” ครั้นได้ยินคำพูดของตู้เหิง ลู่เหยาก็ไม่กล้าอยู่ต่อ

นางไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านแม่ถึงต้องเปรียบเทียบกับป้าซูไปเสียทุกด้าน กระทั่งยังเอานางไปเปรียบเทียบกับพี่หลินซือ นางยอมรับว่าพี่หลินซือโดดเด่นมาก แต่นางก็ได้รับคำชื่นชมจากผู้คนไม่น้อย เหตุใดท่านแม่ถึงไม่เห็น

เพราะนางไม่ขยันมากพอรึ? ครั้นคิดได้ตรงนี้ ลู่เหยาก็ยิ่งรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมในใจ หลังจากเดินออกจากจวนของตู้เหิงแล้วก็ปล่อยโฮออกมา

“ฮือ ฮือ ฮือ….ข้าพยายามเต็มที่แล้วจริง ๆ” คนรอบตัวที่เห็นเหตุการณ์นั้น ก็พากันถอยออกไปอย่างเป็นงาน พวกนางรู้ว่ายามคุณหนูใหญ่ได้รับความไม่เป็นธรรม มักจะชอบอยู่เพียงลำพัง

ยิ่งลู่เหยาคิดก็ยิ่งไม่ได้รับความเป็นธรรม นางเองก็อยากเป็นเหมือนพี่หลินซือ แต่นางไม่มีหัวด้านนั้น อีกอย่างทำไมคุณชายเจี่ยงต้องด่านางด้วย? นางไม่ได้อยากทำร้ายจิตใจของพลี่หลินซือ หลังจากรู้ว่าพี่หลินซือตกหน้าผาไปนางก็เป็นกังวลมาตลอด ทำไมทุกคนถึงไม่มีใครฟังนางอธิบายบ้าง?

“เจ้าร้องไห้ทำไม?” จู่ ๆ เสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ลู่เหยาเงยหน้าขึ้นด้วยจิตใต้สำนึก กระทั่งเห็นองค์รัชทายาทในฉลองพระองค์แบบยาวสีเหลืองอร่าม วันนี้เขาไม่ได้ใส่กวานมา แต่มัดผมขึ้นเป็นมวย ใช้ปิ่นหยกด้ามหนึ่งปักให้มั่นคง

การแต่งกายเข้าชุดเช่นนี้ ทำให้ร่างทั้งร่างขององค์รัชทายาททรงดูอ่อนเยาว์ลงไปอีก แต่ก็ยังแผ่กระจายความสูงส่งออกมา ทำให้ผู้คนต้องยืนดูอยู่ห่าง ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้โดยพลกาล

ลู่เหยาไม่เข้าใจ ทำไมองค์รัชทายาทถึงได้ปรากฏตัวอยู่ในจวนของนาง อีกทั้งยังไม่มีใครเข้ามารายงานด้วย ความฉงนได้แสดงออกมาทางสีหน้าโดยไม่รู้ตัว ทำให้องค์รัชทายาทรงขบขันระลอกหนึ่ง

ทำไมนางถึงได้น่ารักเพียงนี้ ไม่ว่าจะคิดอะไรก็มักจะแสดงออกมาทางสีหน้าของนางเสมอ

“วันนี้ข้าได้รับคำสั่งจากเสด็จพ่อ ให้ออกนอกวังมาเยี่ยมเยือนทุกข์สุขของราษฎร”

“แล้วเหตุใดองค์รัชทายาทถึงเสด็จมายังจวนลู่ล่ะเพคะ?” ความจริงแล้วสิ่งที่ลู่เหยาอยากจะถาม เหตุใดองค์รัชทายาทถึงได้ปรากฎตัวอยู่ที่นี่ นางไม่ทันเตรียมตัว และยังทำให้เขาเห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของตัวเองอีก

“เพราะนึกถึงเจ้า ข้าจึงมา เรื่องในคราวที่แล้วเป็นความผิดข้า ข้าทิ้งเจ้าไว้ข้างนอกเพียงลำพัง เจ้าวางใจเถอะ คราวต่อไปจะไม่เกิดขึ้นอีก”

“หม่อมฉันไม่ถือโทษองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันเสนอตัวจะช่วยพระองค์เอง อีกอย่างไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นองค์รัชทายาทไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอกเพคะ”

“ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ดีขึ้นไหม? ต้องการยาอะไรหรือไม่?”

“ไม่ต้อง ไม่ต้องเพคะ ร่างกายของหม่อมฉันดีขึ้นมากแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเลย” ปกติลู่เหยาไม่ชอบดื่มของเหลวอะไรเทือกนั้นอยู่แล้ว ได้รับบาดเจ็บครานี้นางต้องดื่มมันจนเพียงพอแล้ว

“งั้นก็ดี ข้าจะได้วางใจ”

ครั้นเห็นนัยน์ตาแดงก่ำของลู่เหยา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ ๆ องค์รัชทายาทก็รู้สึกปวดใจอยู่ภายในระลอกหนึ่ง เหมือนกับคนถูกทำร้ายอย่างไรอย่างนั้น จนอยากจะยื่นมือออกไปลูบหน้าของลูเหยาอย่างอดไม่ได้