บทที่ 646 ตัดสินใจได้แล้ว

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 646 ตัดสินใจได้แล้ว

บทที่ 646 ตัดสินใจได้แล้ว

หลังกินข้าวเสร็จ หลี่ว์หรูหยาเกิดอาการมึนเมาเล็กน้อย

เพราะจัดการเรื่องกู้เงินเสร็จเลยสบายใจขึ้น

เพราะงั้นถึงกล้าคุยกับเสี่ยวเถียน

และสิ่งที่ทำคือการเอ่ยขอโทษต่อเธอ

“เสี่ยวเถียน เรื่องวันนี้ฉันคิดไม่ถึงจริง ๆ แถมยังทำให้คนใหญ่คนโตมาข้องเอี่ยวด้วยอีก!”

หากผู้อำนวยการจากโรงงานอื่น ๆ มาเห็นภาพนี้คงตกใจแน่ เพราะโรงงานผ้าไหมเป็นโรงงานขนาดใหญ่ สร้างรายได้ให้ประเทศระดับมหาศาล มีคนงานหลายพันเลยที่ทำงานที่นี่เพื่อหาเลี้ยงชีพ

ในฐานะที่มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการลำดับที่สอง เขาต้องมีไพ่อยู่ในมืออยู่แล้ว

แต่คนแบบนี้กลับแสดงความวิตกกังวลต่อหน้าเธออยู่

เสี่ยวเถียนมองหลี่ว์หรูหยาเพื่อให้แน่ใจเขาไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ

ส่วนคนถูกมองด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์นั้นรู้สึกอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆ

รู้ได้ทันทีว่าเสี่ยวเถียนเป็นคนที่ไม่ควรไปยั่วโมโหมากที่สุด

และถ้าทำให้เธอขุ่นเคืองขึ้นมา อย่าว่าแต่ตำแหน่งผู้อำนวยการเลย ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าตำแหน่งรองผู้อำนวยการในตอนนี้จะรักษาไว้ได้หรือเปล่า

หลังจากตรวจสอบก็มั่นใจว่าคงไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ

ตอนแรกโกรธหลี่ว์หรูหยามาก เพราะถ้าไม่พาไอ้นั่นมาคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอก

แต่ตอนนี้โล่งใจแล้วที่รู้ว่าเขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น

ในโลกธุรกิจ ความสัมพันธ์ธุรกิจมันแค่ผิวเผิน

หลี่ว์หรูหยาไม่จำเป็นต้องรู้สันดานผู้อำนวยการเฉียนหรอกนะ ถ้าเขาพาไอ้คนน่าขยะแขยงมา ตัวเองก็คงไม่วายกลายเป็นแบบนั้นด้วย

“รองผู้อำนวยการอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ เรื่องวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคุณขนาดนั้นเลยนะ!”

ใช่ มันเกี่ยวไม่เยอะ แต่ไม่ใช่ว่าไม่เกี่ยวเลย

หลี่ว์หรูหยาหวาดกลัวที่จะเอ่ย

“แต่หลังจากนี้ต้องสอบถามเรื่องของคนที่จะผูกมิตรสักหน่อยนะคะ! มนุษย์มักจะดึงดูดคนประเภทเดียวกันมาอยู่ด้วยกันค่ะ!” เธอเอ่ยเบา ๆ

หลี่ว์หรูหยาเป็นคนฉลาด เสี่ยวเถียนไม่ได้ตั้งใจจะอ่อนข้อให้ในคราวนี้ ทั้งยังตั้งใจจะจัดการผู้อำนวยการเฉียนด้วย

“เสี่ยวเถียนมีแผนแล้วหรือ?”

เด็กหญิงเหลือบมองก่อนยกยิ้มสดใสที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันตราย!

“ถ้าเขาไม่ทำอะไรก็ว่าไปอย่างค่ะ จะถือเสียว่าเมาแล้วทำตัวไม่รู้ความ”

หลี่ว์หรูหยา “วันนี้ผู้อำนวยการเฉียนดื่มไปเยอะเลยนะ!”

ก็เลยทำตัวผิดจากปกติไปแบบนั้นไงล่ะ

“หนูไม่เชื่อค่ะ ถ้าดื่มจนเมา ทำไมถึงไม่บุกเข้าไปพูดจาไร้สาระในสถานีตำรวจล่ะ?” เสี่ยวเถียนยิ้มเย็น

ไอ้พวกคนเมา แปดในสิบจะมีสติ แต่สองคนที่เหลือจะเมามายไม่ก็หลับไปเท่านั้น

ไอ้ที่เมาแล้วพูดจาทุเรศ มันจงใจทั้งนั้น!

หลี่ว์หรูหยาไม่กล้าเอ่ยต่อ เพราะไม่อยากพูดอะไรผิดหู แต่รู้สึกว่าประโยคนั่นมันมีเหตุผลจริง ๆ

ผู้อำนวยการเฉียนเมาก็จริง แต่ไม่ได้ถึงขนาดแยกแยะอะไรไม่ถูก

ตอนนี้เขาไม่อยากพูดอะไรเพื่อคนคนนั้นต่อแล้วล่ะ

เสี่ยวเถียน “ถ้าเขายังสร้างปัญหาต่อ อย่าหาว่าหนูไร้มารยาทเลยค่ะ”

รองผู้อำนวยการแอบภาวนาว่า ขอให้มันสายเกินไปที่ผู้อำนวนการเฉียนจะหยุดมือ

เพราะเราเองก็อยากจัดการกับอีกฝ่ายเช่นกัน

ขอแค่ไม่ไปบอก อีกฝ่ายก็ไม่มีทางรู้ว่ากำลังล้อเล่นกับใครอยู่

เสี่ยวเถียนสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา

ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา

แสดงว่าเป็นแค่เพื่อนเฉย ๆ ถ้าเป็นเพื่อนสนิท จะต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกผู้อำนวยการเฉียนแน่นอน

หลี่ว์หรูหยาไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ จากนั้นก็นึกถึงเรื่องผู้อำนวยการหลิวแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

“เสี่ยวเถียน ฉันไปถามมาแล้วล่ะ ผู้อำนวยการหลิวรู้จักคนทำงานด้านสินเชื่อ เลยขอให้มาช่วยน่ะ”

เด็กสาวคาดไม่ถึงในความเร็วนี้เลย ยังนึกอยู่ว่าต้องใช้เวลาอีกหลายวันเสียอีกกว่าจะหาเจอ

เธอยิ้ม “ขอบคุณนะคะ”

“เรารู้จัดกันมาตั้งนาน อย่าเกรงใจเลย!”

“หากเรื่องนี้สำเร็จ หนูติดหนี้บุญคุณคุณนะคะ”

“อย่าพูดแบบนี้สิ ฉันต่างหากที่ติดหนี้เธอ!”

“แล้วก็เรื่องนี้ด้วยค่ะ คุณไม่ต้องรับผิดชอบหรอก ใครทำก็ให้คนนั้นมันรับเอา”

มันควรเป็นปัญหาของผู้อำนวยการเฉียน และเธอไม่ยอมให้ใครมาจัดการแทนหรอกนะ เว้นแต่ว่าเขาจะมีนิสัยเหมือนกันเท่านั้น!

หลี่ว์หรูหยาโล่งใจในที่สุด

เสี่ยวเถียนบอกให้เห็นแล้วว่าจะไม่โทษผู้อื่น

แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ!

“ได้ หลังจากนี้เราไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้วนะ! ส่วนคนที่จะพามารับแขก ฉันก็จะระวังให้มากกว่านี้ด้วย” เขารีบบอก

ถ้าไม่ใช่คนดี อย่าพามาหออีหมิงอีก

ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะวิ่งเล่นได้หรอกนะ

ไม่ว่าจะเขา หรือผู้อำนวยการจากที่อื่น ๆ ก็เช่นกัน ต้องเตือนพวกเขาสักหน่อยแล้วล่ะ

เด็กสาวยิ้ม “เข้าใจแล้วค่ะ!”

หลังจากคุยกันเสร็จ หลี่ว์หรูหยาเดินออกมาด้วยความมั่นใจ แต่เยื้องย่างกลับโซเซเล็กน้อยเหมือนเมา

หลังจากนั้นเสี่ยวเถียนก็ยังคงเรียนหนักเหมือนเช่นเคย

พลังด้านการอ่านของเธอเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในระบบเองก็มีของมาเพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน

แต่เพราะช่วงนี้ไม่มีกิจกรรมสำคัญ แต้มสะสมจึงเพิ่มช้า

ตอนนี้เสี่ยวเถียนไม่รู้จะเพิ่มมันยังไงดี

ทางฝั่งหลี่ว์หรูหยากำลังตื่นเต้น

เพียงสามวันก็นัดหมายให้เสี่ยวเถียนได้แล้ว

“จองสถานที่ไว้แล้วหรือคะ?” เธอถาม

“เย็นพรุ่งนี้น่ะ จองไว้ที่หออีหมิงได้หรือเปล่า?”

หออีหมิงเป็นอาณาเขตของเธอ แล้วเขาก็ไม่กล้าพอไปไหนด้วย กลัวเกิดอะไรขึ้นจะพูดลำบาก

เด็กสาวพยักหน้ารับแล้วยิ้ม

ในยุคนี้คนค่อนข้างกู้เงินกันน้อย และธนาคารเองก็ใช่ว่าจะได้ทำหน้าที่นี้ตลอด

หลังจากสุขสบายมาหลายปี ตอนนี้ข้าวหม้อใหญ่เริ่มไม่มีแล้ว แม้แต่พนักงานธนาคารยังเริ่มหวั่น ๆ

แต่ด้วยนโยบายที่ถูกนำมาใช้ในตอนนี้ ธนาคารจึงต้องขยายธุรกิจ

เพราะความคิดการทำธุรกิจยังไม่ได้หยั่งในจิตใจคนมากนัก และพวกเขาก็ยินดีออมเงินมากกว่าจะขอยืม

เพราะงั้นงานในด้านสินเชื่อจึงไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร

ขอแค่มีคนมายืม เสี่ยวเถียนคาดว่าคงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเท่าไร

เพราะตอนนี้เธอเป็นคนมีสิ่งมาให้จำนอง ถือเป็นลูกค้าคุณภาพสูงเลย

ในช่วงบ่ายของวันที่สอง หลี่ว์หรูหยามารอผู้อำนวยการหลิวและหัวหน้าตู้ผู้รับผิดชอบสินเชื่อโดยเฉพาะแต่เช้า

เพราะแขกยังไม่มา เลยนั่งสนทนากับเสี่ยวเถียนไปเรื่อย ๆ ก่อน