จี้หมัวมัวเดินนำ ส่วนองค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่เดินตามอยู่ด้านหลัง
คนที่เดินนำด้านหน้าหัวใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ทว่าไม่ได้แสดงออก ในขณะที่เด็กสาวสองคนที่เดินตามด้านหลังสอดส่ายสายตาสำรวจจวนเยี่ยนอย่างใคร่รู้
ขณะนี้อยู่ในช่วงต้นเดือนแรกของปี อากาศยังคงเย็นยะเยือก บุปผาพรรณพืชนิ่งค้างไม่ขยับไหว กิ่งก้านไร้สี แต่ถึงกระนั้นองค์หญิงทั้งสองก็ยังคงมองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงฝูชิงหรือองค์หญิงสิบสี่ การได้ออกมานอกวังกับพี่น้องเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากนัก
“องค์หญิงทั้งสอง เชิญทางนี้เพคะ” จี้หมัวมัวเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าเรือนก่อนจะผายมือ
องค์หญิงฝูชิงคลี่ยิ้มอ่อนโยนพลางกล่าวด้วยวาจาอ่อนสุภาพ “ท่านพี่สะใภ้สี่สวดภาวนาอยู่ที่นี่งั้นหรือ”
เรือนนั้นมีขนาดไม่ใหญ่ ด้านในปูพื้นด้วยหินกรวดหลากสีเป็นทางยาวไปจนถึงหน้าประตูทางเข้า ภายในดูเรียบง่ายและสงัดเงียบ
องค์หญิงฝูชิงพิจารณาอยู่ชั่วครู่ทว่ามิได้กล่าวคำใด
ยิ่งเดินเข้าไป กลิ่นหอมของไม้จันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
มีสาวรับใช้หน้าตาน่าเอ็นดูสองคนยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ครั้นเห็นองค์หญิงทั้งสองเสด็จผ่านมา พวกนางก็รีบคุกเข่าถวายความเคารพ “ถวายบังคมองค์หญิง”
องค์หญิงฝูชิงเป็นอ่อนสุภาพและให้เกียรติคนที่มียศต่ำกว่าเสมอ นางเอื้อมมือไปจับแขนของสาวรับใช้พลางบอก “รีบลุกขึ้นเถิด พวกเจ้าคงเป็นสาวรับใช้ข้างกายท่านพี่สะใภ้เจ็ดสินะ”
อาเฉี่ยวและอาหมานลุกขึ้นพร้อมกัน
อาหมานถูกอาเฉี่ยวกำชับไว้ว่าให้สงบปากสงบคำ เวลานี้อาเฉี่ยวจึงเป็นคนตอบคำถามนั้น “บ่าวชื่ออาเฉี่ยว ส่วนนี่คืออาหมานเพคะ บ่าวทั้งสองเป็นสาวรับใช้ที่ติดตามพระชายาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์เพคะ”
องค์หญิงฝูชิงส่งยิ้มพลางพยักหน้ารับก่อนจะชำเลืองเข้าไปด้านใน “พระชายาอยู่ข้างในนั้นหรือ”
“พระชายาทรงกำลังสวดภาวนาอยู่เพคะ” อาเฉี่ยวเอี้ยวตัวไปด้านข้าง
องค์หญิงฝูชิงเห็นเงาร่างสง่างามกำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ เพียงแค่เห็นเงาด้านหลังก็สัมผัสได้ถึงแรงศรัทธา
ทันทีที่จี้หมัวมัวที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นเงานั้น ดวงตาของนางก็เบิกกว้าง นางจดภาพเบื้องหน้าด้วยอาการตกตะลึงสุดขีด
ภายในห้องมีเพียงแสงสลัวกับควันธูปจึงไม่อาจฟันธงได้ว่านางตาฝาดไปหรือไม่
“พระชายา องค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่เสด็จมาเยี่ยมเพคะ” อาเฉี่ยวตะโกนรายงาน
คนในห้องเอียงหน้ามาด้านข้างเล็กน้อยก่อนจะผงกศีรษะให้ทางประตูเป็นเชิงทักทาย
จี้หมัวมัวถลึงตา เท้าของนางเผลอก้าวถอย แต่โชคดีที่อาหมานพยุงไว้ได้ทัน
จี้หมัวมัวหันมาสบตาอาหมาน แววตาของนางสื่อชัดว่า เป็นไปได้อย่างไร
อาหมานเม้มปากเล็กน้อยทว่ามิได้เกริ่นกล่าว
อาเฉี่ยวหันมาอธิบายแก่องค์หญิงฝูชิง “ก่อนหน้านี้พระชายาทรงฝันว่ามีคนหนึ่งมาบอกกับพระนางว่า ให้พระนางสำรวมวาจาจดจ่อกับการทำสมาธิแล้วอานิสงส์จะส่งผลแรงกล้า ตั้งแต่วันนั้นพระชายาก็ไม่ตรัสอะไรอีกเลยเพคะ”
“มีฝันประหลาดเช่นนี้ด้วยหรือ” องค์หญิงฝูชิงรู้สึกแปลกใจ
อาเฉี่ยวรีบพยักหน้า “ใช่แล้วเพคะ พระชายาทรงฝันพิสดารอยู่บ่อยครั้ง แต่ละครั้งก็ไม่เหมือนความฝันของคนทั่วไปเพคะ”
องค์หญิงฝูชิงพยักหน้าเห็นพ้องเมื่อหวนนึกถึงเรื่องที่เจียงซื่อเคยรักษาโรคดวงตาของนาง
นางทราบดีว่าท่านพี่สะใภ้เจ็ดเป็นผู้มีศาสตร์วิชาลึกลับเพียงไร
“พระชายาทรงทุกข์ใจเนื่องจากยังไม่พบร่างของพี่ชาย อีกทั้งยังทรงเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของท่านอ๋อง พระนางจึงยังคงสวดภาวนาอย่างขะมักเขม้นจนถึงบัดนี้ องค์หญิงทั้งสองเสด็จมาเยือนในคราวนี้ พระชายาไม่อาจให้การต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ บ่าวต้องขอประทานอภัยแทนพระชายาด้วยเพคะ…”
“มิต้องถึงขนาดนั้นหรอก ที่ข้ามาคราวนี้ก็เพราะคิดถึงท่านพี่สะใภ้เจ็ด แค่ได้เห็นเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ข้าไม่อยากรบกวนการสวดภาวนาของท่านพี่สะใภ้เจ็ดไปมากกว่านี้ รอพี่เจ็ดกลับมาเมื่อไหร่ ข้ากับน้องสิบสี่ค่อยมาเยี่ยมใหม่จะดีกว่า” องค์หญิงฝูชิงหันไปทางประตูด้านในแล้วจึงย่อเข่าพลางกล่าว “ท่านพี่สะใภ้เจ็ด ไว้หม่อมฉันกับน้องสิบสี่จะมาเยี่ยมใหม่นะเพคะ”
คนด้านในค้อมหลังตอบรับคำลาขององค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่
องค์หญิงสิบสี่เป็นคนสงวนวาจา นางเพียงแต่พยักหน้าและเดินตามองค์หญิงฝูชิงออกไปจากจวนอ๋อง
ครั้นองค์หญิงทั้งสองเสด็จกลับไปแล้ว จี้หมัวมัวก็เข่าอ่อนลงทันใด นางชี้นิ้วเข้าไปด้านในพลางถาม “พระ พระชายาไม่อยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใด เหตุใดถึงได้…”
นางไม่อาจกล่าวจนจบประโยค เพราะสตรีในห้องลุกขึ้นยืนและกำลังเดินออกมา
เมื่อสตรีนางนั้นเดินผ่านแสงสลัวกับควันธูปขมุกขมัวออกมาแล้ว นางก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูที่มีแสงส่องสว่าง จี้หมัวมัวเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง นางชี้นิ้วไปที่สตรีนางนั้นพลางกล่าวเสียงหลง “เจ้า เจ้าไม่ใช่พระชายาหรอกหรือ”
ในขณะที่ปากเอ่ยเช่นนั้น แต่ทว่าในใจของกลับรู้สึกลังเลไม่น้อย เนื่องจากนางรู้สึกว่าสตรีตรงหน้าตาละม้ายคล้ายกับพระชายาเยี่ยนอ๋องยิ่งนัก
ใบหน้าของสตรีผู้นั้นซีดขาวเล็กน้อย นางเอ่ยด้วยความขลาดกลัว “องค์หญิงทั้งสองเสด็จกลับแล้วรึ”
อาเฉี่ยวจากเดิมที่สงบนิ่งแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่นเล็กน้อยดุจกัน “เสด็จไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านวางใจได้”
หญิงสาวถอนหายใจยกใหญ่ นางพิงบานประตูในขณะที่กำลังรวบรวมสติ
จี้หมัวมัวฉงนหนัก “นี่คือ…”
อาหมานหัวเราะ “นี่คือต้ากูไหน่ไน พี่สาวคนโตของพระชายา เมื่อครู่ที่ท่านอยู่ในห้องนั้น พวกบ่าวรู้สึกว่าท่านเหมือนนายหญิงจริงๆ เจ้าค่ะ แม้แต่บ่าวรับใช้ยังดูไม่ออก หากไม่ทราบว่านายหญิงเดินทางลงใต้ คงเชื่อว่าคนที่อยู่ในห้องเมื่อครู่คือนายหญิงอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
จี้หมัวมัวเพิ่งได้สติ สายตาที่มองไปที่เจียงอีเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านช่าง…”
เจียงอีที่หายจากอาการอกสั่นขวัญแขวนเมื่อครู่ส่งยิ้มอ่อนโยน “หากแต่งนิดเติมหน่อย ข้ากับน้องสี่ก็หน้าตาไม่ต่างกันนักหรอก”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” จี้หมัวมัวพยักหน้าเชื่องช้า
อาหมานเอ่ยเตือน “หมัวมัว ที่ด้านหน้ามีเรื่องอีกมากมายรอให้เจ้าไปจัดการอยู่นะ”
จี้หมัวมัวพิศมองไปที่เจียงอีอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป
ครั้นอาหมานเห็นว่าจี้หมัวมัวเดินจากไปแล้ว อาหมานก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางตบเข้าที่อกพลางกล่าว “ใจหายใจคว่ำ โชคดีที่ต้ากูไหน่ไนแต่งออกมาได้เหมือนนายหญิงเพียงนี้”
เจียงอีส่ายศีรษะด้วยอาการเลื่อนลอย “โชคดีที่น้องสี่มองการณ์ไกล ถึงได้เตรียมแผนรับมือเอาไว้”
ในอวี้เหอย่วน นอกจากอาเฉี่ยวและอาหมาน ยังมีหญิงรับใช้จากจวนปั๋วอีกคนที่ชื่อว่าหงเสี้ยน นางเป็นคนฉลาด ไหวพริบดี อีกทั้งยังมีฝีมือในการแต่งหน้าเป็นเลิศ
ก่อนที่เจียงซื่อจะไป นางได้ถ่ายทอดพื้นฐานวิชาแปลงกายให้แก่หงเสี้ยน
จริงอยู่ที่เจียงซื่อก็มิได้เชี่ยวชาญศาสตร์วิชาแขนงนี้ ฉะนั้นแล้วฝีมือของลูกศิษย์จึงมิได้โดดเด่นไปกว่าอาจารย์ผู้สอน แต่เมื่อเจียงอีอยู่ในห้องที่มีแสงไฟส่องสลัวกลับทำให้นางดูเหมือนเป็นเจียงซื่อไม่มีผิดเพี้ยน
เดิมทีทั้งสองพี่น้องก็มีบางส่วนที่คล้ายกันอยู่แล้ว การจะแต่งแต้มอีกนิดหน่อยให้เหมือนขึ้นไปอีกจึงมิใช่งานยาก
อาหมานได้ยินดังนั้นก็หัวเราะร่า “ของนั้นมันแน่เจ้าค่ะ นายหญิงของพวกบ่าวเป็นคนรอบคอบ เหนียงเหนียงวางแผนอย่างรัดกุมก่อนที่จะออกจากจวนแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงอีหัวเราะพลางพยักหน้า แต่เมื่อในใจหวนคิดถึงน้องสาวที่กำลังเดินทางไกล นางก็อดเป็นห่วงไม่ได้
มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่ทราบว่านางใจเสียเพียงใดเมื่อได้รับจดหมายจากน้องสาวว่าจะแอบเดินทางลงใต้ ในตอนนั้นนางรีบรุดมายังจวนอ๋อง แต่นางมาช้าไปก้าวหนึ่ง
โชคดีที่หงเสี้ยนเป็นคนมีฝีมือ ถึงได้แต่งองค์ทรงเครื่องให้นางจนเหมือนกับน้องสี่ปานฉะนี้ นางถึงได้เบาใจไปเปราะหนึ่ง
น้องสี่กำชับนางไว้ว่า ปีที่แล้วไม่ให้นางมาที่จวน เพื่อมิให้เป็นจุดสนใจของคนรอบข้าง แต่หากขึ้นศักราชใหม่แล้วน้องสี่ยังไม่กลับมา วันที่สองของปีก็ให้นางแอบมาที่จวนอ๋องเพื่อมาคอยรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิด
นึกไม่ถึงเลยว่า นางมาที่นี่ได้เพียงสองวันก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ!
น้องสี่รู้เรื่องนี้แต่แรกแล้วอย่างงั้นหรือ
ในวินาที เจียงอีรู้สึกนับถือในความปราดเปรื่องของน้องสาวยิ่งนัก
น้องสาวที่นางค่อยเป็นห่วงเป็นใย บัดนี้เก่งกาจกว่าพี่สาวไร้ประโยชน์ของนางเสียอีก
เมื่อก่อนที่บ้านเคยมีน้องรองที่คอยสนับสนุนคนในครอบครัว แต่บัดนี้น้องรองไม่อยู่แล้ว จึงเหลือแค่นาง...
เจียงอีซับน้ำตาที่บริเวณหางตาอย่างเบามือทำให้รอยหมึกที่แต่งเติมอยู่บนหน้าถูกลบออกไป เผยให้เห็นโฉมหน้าเดิมของนาง
เมื่อเยี่ยมจวนอ๋องเรียบร้อยแล้ว องค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตลาดที่มีผู้คนสัญจรเนืองแน่น แต่กลับพบว่าร้านค้าส่วนใหญ่ยังไม่เปิดให้บริการ พวกนางจึงใช้เวลาเดินเล่นเพียงไม่นานก็ตัดสินใจกลับวังหลวงเพื่อไปน้อมทักฮองเฮา