บทที่ 655 ในที่สุดก็ชัดเจน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 655 ในที่สุดก็ชัดเจน

บทที่ 655 ในที่สุดก็ชัดเจน

หลังจากที่เหมียวซื่อทุบตีเหมียวเอ้อร์ นางก็วิ่งไปข้างหน้าและคร่ำครวญ “ใต้เท้า เหมียวเอ้อร์เป็นสัตว์ร้าย ข้าไม่รู้ว่าเขาทำอะไร เรื่องที่เขาทำนั้นข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง! เหมียวเอ้อร์เป็นคนทำทั้งหมด เหมียวเอ้อร์เป็นคนทำทั้งหมด!”

เหมียวซื่อไม่รู้ว่าท่าทางที่บ้าคลั่งของนางในขณะนั้นเป็นเรื่องน่าขันในสายตาของคนอื่น ๆ

เมื่อเห็นท่าทางที่บ้าคลั่งของนาง ลวี่เทาไม่ได้รู้สึกเห็นใจเหมียวซื่อ แต่เห็นใจเหมียวเอ้อร์

“เหมียวเอ้อร์ ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวสามารถกลายเป็นความเกลียดชังชั่วนิรันดร์ ดูสิ ต้นไม้ล้มและลิงก็หนีไป*[1] ภรรยาของเจ้าก็กำลังตำหนิเจ้า เหมียวซื่อนะเหมียวซื่อ ถ้าเจ้าไม่ได้ล่อลวงเหมียวเอ้อร์ เขาจะทำสิ่งที่โหดร้ายเช่นนี้หรือไม่!”

“เฮ้อ สามีและภรรยาเป็นนกในป่าเดียวกัน และพวกมันจะบินแยกกันเมื่อเกิดภัยพิบัติ เหมียวซื่อ เหมียวเอ้อร์ไม่ได้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีในช่วงห้าปีที่ผ่านมาหรือ! เจ้าโทษเหมียวเอ้อร์ทุกอย่าง จริง ๆ แล้วถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เขาจะยอมฆ่าภรรยาและลูกของตนเองหรือไม่!”

ทุกคน ทุกคำพูดล้วนกล่าวหาเหมียวซื่ออย่างต่อเนื่อง

ตอนนี้รู้สึกว่าเหมียวซื่อผู้นี้น่ากลัวมาก

ย้อนกลับไปในตอนนั้น ความโลภในความมั่งคั่ง นางจึงล่อลวงเหมียวเอ้อร์และให้กำเนิดลูก ต่อมาเมื่อเหมียวเอ้อร์ทำเรื่องเช่นนั้น แม้ว่านางจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่นางก็เป็นคนยุยงเหมียวเอ้อร์ ไม่เช่นนั้นเหมียวเอ้อร์จะลงมืออย่างโหดเหี้ยมได้อย่างไร!

เหมียวซื่อไม่คิดว่าปัญหานี้จะทำให้ทุกคนชี้มาที่นาง นางตกใจเล็กน้อยจึงรีบเดินไปหยุดข้างเหมียวเอ้อร์และดึงเขา จากนั้นก็พูดอย่างโกรธเคือง “เหมียวเอ้อร์ เจ้าพูดสิ เจ้าพูดสิว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย ข้าเองก็ตกเป็นเหยื่อด้วย ข้าก็เป็นเหยื่อเช่นกัน!”

“โอ้สวรรค์ ลูกสาวที่น่าสงสารของข้า หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ควรจะทุบสุนัขคู่นี้ให้ตายไปเสีย!” เซี่ยเหอซื่อกรีดร้องอย่างเศร้าสร้อยจากด้านข้าง

ทันทีที่เหมียวซื่อได้ยินเรื่องนี้ นางก็ถ่มน้ำลาย นางถ่มน้ำลายต่อหน้าเซี่ยเหอซื่อและสาปแช่ง “หุบปาก การตายของลูกสาวเจ้าไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ไม่เกี่ยวเลยสักนิด! เป็นเพราะเขา เป็นเพราะเขา เขาทำมันทั้งหมด!”

หลังจากฟังคำพูดของว่านฟาง เหมียวเอ้อร์ก็ผลักเด็กสองคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาไปต่อหน้านาง

อย่างไรก็ตาม เด็กสองคนนี้โอบแขนไว้รอบคอของเหมียวเอ้อร์แน่นและไม่ยอมปล่อย ราวกับว่าพวกเขากำลังกลัวเหมียวซื่อที่ตอนนี้กำลังตีโพยตีพาย

ในขณะนี้ เหมียวซื่อนั้นเรียกได้ว่าเป็นวิญญาณในนรก

หลี่ฝานอยู่ข้าง ๆ ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและประสานมือของเขา “ใต้เท้า เหมียวเอ้อรก็กลับมาแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกู้เสี่ยวหวานและข้าแล้ว กู้เสี่ยวหวานถูกกล่าวหา ข้าหวังว่านายท่านจะรู้สถานการณ์ และให้ความยุติธรรมกับกู้เสี่ยวหวานกับหญิงชราที่อยู่ข้างหน้าข้า ข้าหวังว่าใต้เท้าลวี่จะจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรมและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ตาย! หมดธุระของข้าแล้ว ข้าขอตัว!”

ลวี่เทาถอนใจและยื่นมือออกไปเพื่อหยุดหลี่ฝาน หากแต่หลี่ฝานไม่สนใจ เขาจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ตอนนี้จึงมีเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ห้องพิจารณาคดี

หลี่ฝานก้าวเท้าจากห้องพิจารณาคดี หยุดยืนมองดูผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ด้านนอกและรู้สึกผ่อนคลาย

เกือบครึ่งวันแล้วที่มาที่นี่ และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกู้เสี่ยวหวานบ้าง

หลี่ฝานรีบเดินไปที่ร้านอาหาร!

แต่เห็นเสี่ยวเซิ่งจื่อรออยู่ที่ประตูอย่างใจจดใจจ่อ เดินไปรอบ ๆ เขาเอียงคอและมองออกไปข้างนอกอย่างกังวล

ในที่สุดเมื่อเขาเห็นหลี่ฝาน เสี่ยวเซิงจื่อก็มีความสุขมากจนแทบจะกระโดดขึ้นและตะโกนว่า “เถ้าแก่กลับมาแล้ว!” เขาตะโกนและรีบวิ่งไปหาหลี่ฝาน

หลี่ฝานก็หัวเราะเช่นกันเมื่อเห็นเสี่ยวเซิ่งจื่อ แต่เขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อพูดว่า “ทำไมเจ้าไม่ไปอยู่ด้านในล่ะ?”

เสี่ยวเซิ่งจื่อมุ่ยปากและพูดด้วยท่าทางหวาดกลัว “เถ้าแก่ ข้ากลัวจะแย่แล้ว ทำไมเหมียวเอ้อร์ถึงตายไปล่ะ?”

“นั่นคือเรื่องที่กลุ่มเจ้าหน้าที่พูดเรื่องไร้สาระ เหมียวเอ้อร์จะตายได้อย่างไร ตอนนี้เขาก็อยู่ในศาลไม่ใช่หรือ!” หลี่ฝานปลอบโยน

เสี่ยวเซิ่งจื่อที่โกรธจัดกระทืบเท้าของเขา “เจ้าหน้าที่โง่ ๆ!”

อย่างไรก็ตาม หลี่ฝานไม่ได้สนใจเขาและเดินเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเซิ่งจื่อเห็นดังนั้น จึงวิ่งเหยาะ ๆ ตามไป

“เสี่ยวหวานตื่นหรือยัง?”

“ยังไม่ตื่น นางเพิ่งกินยาไปตอนกลางวันจึงยังหลับอยู่ แต่ไข้ก็ลดลงมากแล้ว ท่านหมอพานบอกว่าไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว แต่ต้องพักผ่อนให้มากกว่านี้จึงจะสามารถฟื้นฟูร่างกายได้” เสี่ยวเซิ่งจื่อพูดอย่างมีความสุข

ทันทีที่เขาได้ยินว่าไข้ของกู้เสี่ยวหวานลดลงแล้ว หลี่ฝานก็โล่งใจ เขาเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว โดยมีเสี่ยวเซิ่งจื่อรีบตามไปข้างหลัง

เมื่อเขาไปถึงห้องรับรองบนชั้นสาม หลี่ฝานก็เคาะประตูด้วยความเคารพ และเสี่ยวเซิ่งจื่อก็ประหลาดใจกับท่าทางของเขา

เป็นเวลานานที่ไม่มีเสียงออกมาจากข้างใน เสี่ยวเซิ่งจื่อใจร้อนเล็กน้อย เขามองไปที่เถ้าแก่หลี่ จึงเห็นว่าเขายังคงให้ความเคารพและไม่ได้ดูร้อนใจแต่อย่างใด

ในใจเสี่ยวเซิ่งจื่ออยากรู้อยากเห็น

ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยถามอะไรบางอย่าง น้ำเสียงแหบแห้งเย็นชาดังขึ้นมาจากด้านใน “เข้ามา!”

มีความแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยในคำพูดของเขา เขาเห็นหลี่ฝานจัดเสื้อผ้าและค่อย ๆ ผลักประตูเข้าไป ถ้าคนอื่นไม่รู้ คงคิดว่าหลี่ฝานเป็นลูกค้าและมาที่นี่เพื่อพบเจ้าของร้าน ท่าทางของหลี่ฝานดูให้เกียรติและไม่กล้าที่จะประมาท

เสี่ยวเซิ่งจื่อกำลังจะตามเขาไป แต่หลี่ฝานกลับปิดประตูลง เสี่ยวเซิ่งจื่อหมดหนทาง ดังนั้นจึงทำได้เพียงลงไปชั้นล่างและรอให้เถ้าแก่ออกมาบอกว่าเขามีคำสั่งอื่น ๆ หรือไม่

ทันทีที่เขายืนนิ่ง คนรับใช้ก็วิ่งเข้ามา “เสี่ยวเซิ่งจื่อ มีคนกำลังมองหาเจ้าอยู่ข้างนอก!”

หลังจากที่เสี่ยวเซิ่งจื่อได้ยิน เขาก็วิ่งลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่หลี่ฝานเข้าไปในห้องรับรองแล้ว เขาก็มาถึงหน้าม่าน แต่ก็ยังไม่กล้าเข้าไปอีก เขากระซิบจากด้านนอกว่า “นายท่าน…”

หลังจากที่ฉินเย่จือตอบรับ หลี่ฝานถึงกล้าที่จะยกม่านและเดินเข้าไป

ทันทีที่เขาเข้าไป ท่าทางของฉินเย่จื่อไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก เขาจับมือกู้เสี่ยวหวานด้วยมือข้างหนึ่งและมองนางอย่างทุกข์ใจ

ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ หลี่ฝานก็รีบจุดตะเกียง เมื่อเห็นว่าแสงในห้องสว่างขึ้นมาก เผยให้เห็นใบหน้าที่ยังคงซีดเซียว แม้ว่าจะผ่านมาแล้วครึ่งวันก็ตาม

*[1] เมื่อคนที่เป็นตัวหลักล้มลง คนที่พึ่งพาเขาก็แยกย้ายกันไป