บทที่ 537 ผู้แพ้พ่ายที่ไม่เป็นรอง (3)
“ศิษย์อยากย้ายตำหนักเทพวารีไปยังพื้นที่บริเวณใกล้เคียงของวังดุสิต จากนั้นก็ย้ายยอดเขาหยกน้อยไปยังตำหนักเทพวารีในตอนนี้ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็กล่าวต่อไปว่า “ในครั้งนี้ ศิษย์ยังอยากขอรบกวนท่านโปรดช่วยดำเนินการให้ อย่างแรกคือ ขอให้เหล่าจื้อเห็นชอบในเรื่องนี้ก่อนด้วย และอย่างที่สองก็คือ ช่วยศิษย์สร้างค่ายกลเฉียนคุนเจี่ยจื่อเพื่อเปลี่ยนยอดเขาหยกให้กลายเป็นภูเขาปลอม”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า “นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดี ไม่ต้องกังวลหรอก เจ้าทำไปเลย เหล่าจื้อจะขับไล่เจ้าออกไปได้อย่างไรเล่า?
ส่วนเรื่องค่ายกลเจี่ยจื่อนั้น ไว้ข้าจะทำแผนภาพค่ายกลให้เจ้าหลังจากนี้ แล้วเจ้าจะสามารถสำรวจรู้ได้ด้วยตัวเจ้าเอง ซึ่งนอกจากนี้ ยังถือได้ว่าเป็นการทดสอบเพื่อสอนเต๋าค่ายกลให้เจ้า”
หลี่ฉางโซ่วอดจะลิงโลดใจไม่ได้และรีบทำการคารวะเต๋าอย่างรวดเร็วพร้อมกับกล่าวว่า “ขอบคุณท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ขอรับ!”
“เอาล่ะ แม้จะยังเร็วเกินไปที่เจ้าจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่ แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นมากพิธีถึงเพียงนั้นหรอก”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เอามือไพล่หลังพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เมื่อระดับฐานพลังของเจ้าดีขึ้น ข้าก็ย่อมจะกลับบ้านได้อย่างสงบสุข สบายใจ และกลับไปฝึกบำเพ็ญในเสวียนตูอย่างอิสระ”
หลี่ฉางโซ่วพลันฉวยโอกาสจากสถานการณ์แล้วถามว่า “ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ เสวียนตูอยู่ที่ใดกันแน่หรือขอรับ? ศิษย์ตรวจสอบตำราโบราณหลายเล่ม แต่มีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยยิ่งนัก”
“เสวียนตู” ทันใดนั้น ดวงตาของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ฉายรอยแห่งความคิดถึงออกมาเล็กน้อย “เมืองเสวียนตูที่ถูกสร้างขึ้นมาในสมัยโบราณนั้น มันลอยอยู่ในทะเลโกลาหล ต่อมา มันได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นจากการแสดงธรรมถกาของบรรพาจารย์เต๋าในวังเมฆม่วง”
เขากล่าวต่อไปว่า “แต่ต่อมา หลังจากที่เกิดภัยพิบัติมหาสงครามจอมเวท-ปีศาจ บรรดาปรมาจารย์มากมายนับไม่ถ้วน ล้วนดับชีพลง และมีผู้คนจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ ที่รู้ว่าเมืองเสวียนตูนั้นอยู่ที่ใด
จนกระทั่งในท้ายที่สุดแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสนใจมัน และมันก็ลดตัวตนลงไปเช่นนั้นเรื่อยๆ ในยามนั้น ตอนที่ข้าเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนจิน ท่านอาจารย์ได้โยนข้าไปที่เมืองเสวียนตู และปล่อยให้ข้าต่อสู้กับเหล่าปรมาจารย์สามร้อยคนเพื่อเรียนรู้และฝึกฝนพลังเวทต่อสู้ของข้าจากพวกเขา และในเวลานั้น ข้าก็มักจะถูกบรรดาปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นทำร้าย”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “หากไม่ฝ่าพายุต้องพิรุณ แล้วจะเห็นสายรุ้ง[1]ได้อย่างไรกัน?”
จากนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็เลิกคิ้วขึ้นและกล่าวว่า “ต่อมา ข้าก็ทำร้ายพวกเขาเอาคืนกลับเป็นสองเท่า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันฉับพลัน
ขณะที่เขากำลังจะจุดไฟให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้นำเขาไปที่ดวงตาแห่งทะเลประจิมแล้ว และฝังตราประทับเฉียนคุนเอาไว้บนแผ่นฟ้า
สิ่งที่เรียกว่า ตราประทับเฉียนคุนนั้น มันเป็นเพียงเสี้ยวพลังส่วนเล็กๆ ของพลังแห่งแผนภาพไท่จี๋
ตามความเข้าใจของหลี่ฉางโซ่วในยามนี้ พลังแห่งแผนภาพไท่จี๋นั้น มุ่งเน้นไปที่ ‘จักรวาล’
พลังของธงผานกู่ จะมุ่งเน้นไปที่ความเฉียบคม
ระฆังโกลาหล ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นระฆังจักรพรรดิบูรพานั้น มุ่งเน้นไปที่ “เวลา” เป็นหลัก… ในบรรดาของทั้งสามอย่างนี้ แผนภาพไท่จี๋ เป็นสายป้องกันมากที่สุด
ในขณะที่ธงผานกู่ เป็นสิ่งที่สังหารได้รุนแรงที่สุด ส่วนระฆังโกลาหลนั้น ลึกลับที่สุด ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ฝังอักขระเต๋าของแผนภาพไท่จี๋ เอาไว้ในดวงตาของสี่คาบสมุทร จากนั้นเขาก็พาหลี่ฉางโซ่วไปที่วิหารเทพทะเลเพื่อรอให้ดูเหตุการณ์ดีๆ
ในเวลานี้ สถานการณ์ในทะเลประจิมได้ถึงจุดที่จะระเบิดเช่นกัน เผ่ามังกร และสำนักบำเพ็ญประจิม กำลังรอดูว่า ฝ่ายใดจะลงมือโจมตีก่อน และคราวนี้ การโจมตีนั้น จะต้องทรงพลังรุนแรงมากอย่างแน่นอน
สิ่งที่หลี่ฉางโซ่วทำได้นั้นค่อนข้างจำกัด เขาทำได้เพียง…
เขาเตรียมเหล่าตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์และค่ายกลระเบิดวิญญาณปีศาจปฐพีหลายชุด
ทันทีที่หลี่ฉางโซ่วกลับไปที่ห้องโถงด้านหลังของวิหารเทพทะเล ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็อุทานออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะทันได้นั่งลง
“ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ มีอันใดเกิดขึ้นหรือขอรับ?”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูยิ้มและไม่พูดอะไร เขาถือแผนภาพไท่จี๋เอาไว้ในมือซ้าย ทันใดนั้น ก็มีภาพกระจายไปในหมู่เมฆและเผยให้เห็นภาพเหตุการณ์
มีเทพธิดาในชุดขาวผู้หนึ่ง ยืนอยู่บนเมฆและลอยอยู่เหนือป่าดอกท้อบาน ในยามนั้น นางกำลังบีบนิ้วทำมุทราหยั่งรู้
ในขณะที่นางปรากฏตัวท่ามกลางของหมู่เมฆหมอกนั้น ร่างของนางดูพร่ามัวเล็กน้อย แน่นอนว่า นางย่อมใช้พลังเวทของนางปิดกั้นการตรวจจับ
ทว่าในใจของหลี่ฉางโซ่วนั้น เขาเห็นนางยืนอย่างหยิ่งทะนงในชุดเสื้อคลุมสีขาวของนางอยู่บนหมู่เมฆ
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า “นางกำลังมองหาตำแหน่งของเจ้าอยู่ แต่ดูเหมือนว่า นางจะไม่อาจหยั่งรู้ได้ ข้าต้องเตือนนาง”
“ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ นี่…”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “เชิญนางมาที่นี่เถิดขอรับ”
“เอาล่ะ หลังจากนี้ ห้ามเจ้าเรียกข้าว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่อีก เมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์น้องหญิงอวิ๋นเซียว ให้เรียกข้าว่าศิษย์พี่”
จากนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ออกคำสั่งและชี้นิ้วขวาไปที่หมู่เมฆ
เทพธิดา ซึ่งเดิมทีบีบนิ้วทำมุทราหยั่งรู้อยู่นั้น บัดนี้ นางอดจะหันไปมองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไม่ได้ ทันใดนั้น ร่างของนางก็ถูกหมู่เมฆเข้าปกคลุม แล้วหายไปอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย นางคงจะรีบมาที่แห่งนี้แล้ว
ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้พลิกมือขวาของเขา และจู่ๆ เจดีย์เล็กๆ ที่ห่อหุ้มด้วยลมปราณเสวียนหวง[2]ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือของเขาก่อนที่เขาจะผลักมันออกไป
บัดนั้น เจดีย์เสวียนหวงก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย และเสี้ยวลำแสงแห่งเจตจำนงวิญญาณก็เข้าสู่จิตใจของหลี่ฉางโซ่ว และมันก็กลายเป็น … เสียงหัวเราะร่าอย่างไร้การยับยั้งชั่งใจใดๆ
“เจ้าเด็กน้อย ไม่เจอกันนาน ครั้งนี้ ปู่เจดีย์จะปกป้องเจ้า ระเบิดเจ้าปีศาจและสัตว์ประหลาดพวกนั้นต่อไป!”
หลี่ฉางโซ่วทำการคารวะเต๋าและปล่อยให้เจดีย์เสวียนหวงเข้าไปในหน้าอกของเขาเพื่อปกป้องร่างเต๋าปราณวิญญาณของเขา บัดนี้ ความรู้สึกปลอดภัยสูงสุดได้กลับคืนมาแล้ว!
ทันใดนั้นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็กล่าวว่า “ไฉนยามนี้ถึงดูคึกคักนัก? ยังคงมีคนกำลังพุ่งมาที่นี่”
ขณะที่เขากล่าว ก็มีเมฆปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ภาพที่ปรากฏนั้นชัดเจนมาก ภายใต้ท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาว เหนือทะเลทักษิณ ร่างใหญ่กำยำสองร่างกำลังวิ่งอยู่บนเกลียวคลื่น
บุรุษผู้สวมหมวกม้าและชุดหนังกำลังหวีแผงคอเรียบของเขาด้วยหวีหิน รายละเอียดเหล่านั้น ได้ถูกฉายออกมาอย่างสมบูรณ์แบบด้วยแผนภาพไท่จี๋
และยังได้ยินแม้แต่เสียงของพวกเขา…
“วัว หากเรากำลังจะแสดงความยินดีกับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ แล้วเหตุใดเราถึงจะไปวิหารเทพทะเลกัน? ฮี้!”
“ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่คือคนที่เราจะสามารถพบได้เพียงเพราะเราอยากพบเช่นนั้นหรือ? เราทำได้เพียงไปหาเทพแห่งท้องทะเลเท่านั้น ข้าหมายถึง เทพวารี! นอกจากนี้ หากเราไม่อาจหาเหตุผลได้ แล้วเราจะไปขอเครื่องปรุงรสจากเทพวารีได้อย่างไรเล่า?
ม่อ! เฮ้อ ม้า บอกข้ามาที เผ่ามังกรถูกเทพวารีนำขึ้นสู่ศาลสวรรค์ แล้วเมื่อใดกันที่แดนยมโลกของเราจะได้รับความเมตตาเป็นที่โปรดปรานจากศาลสวรรค์เสียที?”
หลี่ฉางโซ่วผงะงันจนพูดไม่ออก
เขารู้สึกว่าแดนยมโลกนั้น ช่างงดงามจริงๆ
………………………………………………………………..
[1] เปรียบดั่งคนเราจะพบกับความสำเร็จอันงดงามได้อย่างไรหากไร้ความพากเพียรอย่างหนักและไม่เคยผ่านพบหรือสั่งสมประสบการณ์ใดๆ มาก่อน
[2] เสวียนหวงหมายถึงสวรรค์และปฐพี และในอีกความหมายเสวียนคือ สีดำ หรือลึกลับและหวงคือ สีเหลือง