ภาค 4 ตอนที่ 32 ฆ่ากั๋วกง ช่วยกั๋วกง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ตรวจตราการหาที่พักให้ประชาชนผู้ประสบภัยเสร็จแล้ว ยามเย็นย่ำพลบค่ำนายหญิงอวี้ก็กลับมาถึงในจวนที่เถียนเหยาจัดไว้ให้

ตัวเมืองเหอเจียนที่ไม่ถูกทหารจินโจมตียังคงรุ่งเรืองอย่างวันวาน จวนที่ทำการขุนนางแห่งนี้หรูหรางดงามและอบอุ่น

ในจวนสาวใช้หญิงรับใช้เป็นโขยงปรนนิบัตินายหญิงอวี้อาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และยกอาหารโอชามา ขุนนางฝ่ายพลเรือนขุนนางฝ่ายทหารในเมืองกับครอบครัวนั่งล้อมอยู่ในห้อง สนทนาพาทีเป็นเพื่อนนายหญิงอวี้

จนกระทั่งโคมไฟเริ่มจุดสว่าง บรรดานายหญิงทั้งหลายถึงขอตัวจากไปพร้อมๆ กัน

ในห้องม่านหน้าต่างปลดลงมา โคมไฟค่อยๆ ดับลงทีละดวง สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายล้วนถอยออกไปแล้ว เหลือเพียงนายหญิงอวี้คนเดียว

จนกระทั่งถึงนาทีนี้ นายหญิงอวี้ถึงพรูลมหายใจช้าๆ สีหน้ายากปิดบังความเหนื่อยล้าเอนพิงบนเตียงเชื่องช้า ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไร คล้ายหลับไปแล้ว แต่นาทีต่อมานางก็ยื่นมืออกมาช้าๆ อีกครั้ง หยิบป้ายหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากคอ

หยกวงกลมเล็กๆ แผ่นนี้ นับไม่ได้ว่าคุณสมบัติเลิศเลอเท่าไร ร้อยไว้กับเชือกแดงเส้นหนึ่ง

นายหญิงอวี้หลับตาลงลูบไล้หยกวงกลมครั้งแล้วครั้งเล่า

“อวี้หลาง ดูท่าชีวิตนี้ ท่านจะไปก่อนข้าก้าวหนึ่งแล้ว” นางพึมพำเสียงเบา หางตามีน้ำคลอแวววาว

นางกำหยกวงกลมไว้ในมือแน่น ลุกขึ้นนั่งช้าๆ มองดูโคมไฟสลัวในห้อง แผ่นหลังเหยียดตรงนิ่งไม่ขยับ

ราตรีมืดมิด โลกดำสนิทไปหมด

แต่ทอดสายตามองไป มีคบไฟประดุจดวงดาราใต้ท้องนภามืดมิดแถบหนึ่ง ยิ่งเคลื่อนเข้าใกล้ก็จะค้นพบว่าดวงดาราระยับระยับแถบนี้อาณาเขตใหญ่มากคล้ายกับแม่น้ำแถบหนึ่ง

ค่ำคืนดึกดื่นแล้ว เสียงเข่นฆ่าเอะอะยามกลางวันหายไป อากาศอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง

แสงคบไฟเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดสาดส่องเห็นกระโจมชำรุดแถบนี้ได้ ธงที่ปักอยู่บนพื้นก็มีร่องรอยถูกเผา เอียงกะเท่เร่ ยังมีไม่น้อยล้มอยู่กับพื้นเปรอะเปื้อนเลือดและดินโคลมเต็มไปหมด มองดูสภาพดั้งเดิมไม่ออก

นี่เป็นที่ราบซึ่งถูกคูน้ำสายแล้วสายเล่าล้อมรอบอยู่ ชั่วขณะหนึ่งมองดูคล้ายไม่มีคน แต่ถ้าพินิจมองจะเห็นว่าด้านในคูน้ำวงแล้ววงเล่ามีศีรษะคนขยับไหวอยู่

เสียงครวญครางรวมถึงเสียงสะอื้นไห้เบาๆ ดังมาจากด้านใน

รองเท้าบู้ทหนังเหยียบย่ำพื้นดินส่งเสียงดังตึกตึก ทำให้ในคูน้ำด้านนี้กลายเป็นเงียบสงบไปครู่หนึ่ง

“บาดเจ็บล้มตายเท่าไร?” เสียงบุรุษทุ้มนุ่มเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านในคูน้ำ

ชุดเกราะขยับส่งเสียงดังเกรียวกราวพักหนึ่ง เห็นชัดว่านี่เป็นเหล่าทหารลุกขึ้นขยับ

ท่ามกลางแสงสว่างเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดมองใบหน้าของคนเหล่านี้ไม่ชัด เห็นเพียงเงาคนเบียดแน่นอยู่ในคูน้ำแคบๆ

“ตอบท่านกั๋วกง ปีกซ้ายของพวกเรายังเหลือหนึ่งร้อยยี่สิบนาย” เสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งดังขึ้น

เสียงนี้ทำให้นคูน้ำตกสู่ความเงียบอีกครั้ง

“บุรุษผู้กล้าทั้งหลาย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้น

ตามติดมาด้วยร้องเท้าบู้ทหนังเดินเคลื่อนที่ เงาคนด้านนี้เคลื่อนที่ไปตามคูน้ำ คล้ายไล่สำรวจนายทหารที่นั่งนอนอยู่ในคูน้ำไปทีละคนๆ

ไม่ทราบเดินอยู่นานเท่าไร เสียงก้าวเท้าก็หยุดลง เงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งปืนขึ้นมาจากคูน้ำ

หลังร่างเงาคนทั้งหลายรีบติดตาม ยืนอยู่หลังร่างเขา

เงาร่างสูงใหญ่นั่นยืนนิ่งไม่ส่งเสียงอยู่เนิ่นนาน ลมหอบหนึ่งพัดผ่านไปพาเสียงร่ำไห้ที่คล้ายเสียงแตรสัญญาด้วยมา

“ให้ทหารทั้งหลายถอยกลับไปแนวป้องกันที่สามเถอะ” เสียงทุ้มนุ่มพลันดังขึ้น “ด้านนั้นยังมีกำแพงเมืองพังให้พึ่งพิงได้”

ถอยมาที่หนึ่ง ถอยมาที่สอง วันนี้ในที่สุดก็ถอยมาถึงที่สามแล้ว

ผู้คนนับหมื่น เสียไปสามส่วน เสียไปเกินครึ่ง ทัพใหญ่แตกแล้ว

กำแพงเมืองพังพึ่งพิงได้ที่ว่า สื่อนัยว่ากำลังจะเข้าสู่ศึกแลกชีวิตสุดท้ายแล้ว

เสียงของเขานิ่งสงบ ท่ามกลางสีดำสนิท พื้นดินเกลื่อนกลาดทหารบาดเจ็บผืนนี้ ฟังดูไม่ลังเลเฉกเช่นวันวาน

“ขอรับ”

เสียงบรรดาแม่ทัพหลังร่างก็ดังขึ้นทันที ไม่มีความหวาดกลัวสักนิดเช่นกัน นิ่งสงบดั่งแรกเริ่ม

“เสียดายที่ปล่อยให้ตัวลู่หนีรอดไปได้” เสียงทุ่มนุ่มเอ่ยขึ้นอีก

“ทว่าประชาชนสามเมืองของพวกเราคงถอยไปอย่างปลอดภัยแน่นอนแล้ว” แม่ทัพหลังร่างเอ่ยขึ้น “เอาเขาแลกกับประชาชนหลายสิบหมื่นของพวกเรา” คุ้มแล้ว

เสียงทุ้มนุ่มหัวเราะ

“ใช่ คุ้มแล้ว” เขาเอ่ย

คนอื่นๆ ก็หัวเราะตามเขาด้วย

ในสนามรบมืดมิดคลุ้งกลิ่นคาวเลือดแห่งนี้ เสียงหัวเราะระลอกนี้ประหนึ่งสายลมวสันต์ฤดูมอมเมาผู้คน

ในตอนนี้เอง แผ่นดินไกลออกไปพลันมีแรงสั่นสะเทือนลอยมา คล้ายมีหมึกดำมืดทะมึนกดทับลงมา

เสียงหัวเราะหายไป

“ทนรอโจมตีเข้ามาอีกไม่ได้ปานนี้เชียว ดูท่าทั่วป๋าอูร้อนใจมากนะ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้น

“เขาน่ะกลัวทหารกองหนุนมา ดังนั้นถึงรีบสู้รีบจบ” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ย

เสียงทุ้มนุ่มหัวเราะอีกครั้ง

“แต่ข้าจูซานไม่เคยรอทหารกองหนุน” เขาเอ่ย พูดจบเงาร่างพลันหมุน นำเงาวูบไหวสีน้ำหมึกแถบหนึ่ง “รับศึก”

“ขอรับ!” แม่ทัพทั้งหลายตวาดเสียงพร้อมเพรียง

เสียงแตรสัญญาณฮูมฮูมดังมาจากแผ่นดินใหญ่กลางดึก สอดประสานรวมกับเมฆดำที่โถมมาไกลๆ

เสียงแตรสัญญาณนี่คล้ายกระตุ้นเมฆดำด้านนั้นให้โมโห หลังครู่หนึ่งเสียงโห่ร้องอื้ออึงพลันดังขึ้น

เสียงโห่ร้องนี่ไม่ใช่ภาษาหูอย่างก่อนหน้า แต่เป็นภาษาฮั่น สำเนียงภาษาประหลาดแต่ถ้อยคำชัดเจน

“ฆ่าจูซาน!”

“ฆ่าจูซาน!”

“ฆ่าจูซาน!”

……………………………………….

แสงสว่างปริ่มล้นออกมาบนพื้นทีละชุ่นๆ ผืนดินค่อยๆ สว่างขึ้นมา

ที่ราบกว้างใหญ่ไพศาลผืนนี้ ฤดูใบไม้ผลิคล้ายจะยังไม่เข้าปกคลุม ดูไปแล้วกว้างสุดลูกหูลูกตา

พร้อมกับแสงอรุณ บนที่ราบปรากฏกองทหารกลุ่มหนึ่ง มีราวเจ็ดแปดพันคน สวมชุดเกราะเต็มยศ ด้านหลังยังมีรถสัมภาระสิบคันติดตาม

เสียงกีบเท้าม้าเร่งรีบดังมาแต่ไกล ในสายตาปรากฏม้าสีดำสามตัว

ม้าควบเร็วรี่มา เพราะวิ่งเร็ว ผ้าคลุมสีแดงสดของคนที่นำหน้าจึงพลิ้วสะบัด ผ้าคลุมศีรษะปลิวหลุดร่วง ผมเปียเส้นหนึ่งปลิวสะบัดด้านหลังร่าง ความเร็วของพวกเขาพริบตาก็มาถึงหน้ากระบวนทัพอย่างรวดเร็ว

นายทหารทั้งหลายในกระบวนทัพทหารยืนนิ่ง คนขี่ม้าทั้งสามคนนี้ไม่ทำให้พวกเขาวุ่นวายสักนิด คนสามคนม้าสามตัวตัดผ่านกลางกระบวนทัพ มาถึงหน้ารถคันหนึ่งตรงกลางอย่างรวดเร็วยิ่ง

เวลานี้หน้ารถคนยืนอยู่ไม่น้อย บนโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้ารถวางแผนที่แผ่นแล้วแผ่นเล่าอยู่ พวกหยางจิ่ง เซี่ยหย่ง หลี่กั๋วรุ่ยล้วนล้อมอยู่ด้านหน้านั้น มองหาอะไรอย่างละเอียดอยู่พลางพุดคุยกันเสียงเบา

เดินเข้าไปใกล้ก็จะเห็นชัด แผนที่แผ่นแล้วแผ่นเล่านี้ที่จริงเป็นเพียงแผนที่สถานที่แห่งหนึ่ง เพียงแต่ขยายใหญ่มากนัก วาดคูน้ำแต่ละเส้นถนนสายน้อยในชนบทแต่ละเส้นไว้ชัดเจน

คุณหนูจวินก็อยู่ด้านข้าง ฟังการถกเถียงของพวกเขาด้วยสีหน้านิ่งสงบ

“พี่สาว” จ้าวฮั่นชิงร้องเรียก ชักม้าหมุนอยู่ที่เดิม แส้ในมือชี้ไปหลังร่าง “ด้านหน้าก็คือคลองไป๋เหมาแล้ว”

ได้ยินคำพูดของนาง ผู้คนที่ล้อมอยู่ด้านหน้าแผนที่พลันหัวเราะแล้ว หลี่กั๋วรุ่ยยังอดไม่ได้กำหมัดเหวี่ยงรุนแรง

“เดินถนนเส้นนี้ถูกต้องแล้วจริงๆ ด้วย” เขาเอ่ย “ประหยัดเวลากว่าปกติตั้งห้าวัน”

“แน่นอนต้องเป็นเช่นนั้นจริง” เซี่ยหย่งเอ่ย “ไม่ต้องสงสัย”

หลี่กั๋วรุ่ยหัวเราะ มองดูคุณหนูจวินด้านข้างแล้วถอนหายใจอยู่บ้าง

เขาอยู่แดนเหนือนี่มาแปดเก้าปีแล้ว ยังไม่รู้เลยว่ามีถนนเช่นนี้เดินทางได้ นับประสาอะไรกับแม่นางน้อยอายุเพิ่งสิบกว่าปีคนนี้

แผนที่นี่…

หลี่กั๋วรุ่ยมองดูแผนที่ซึ่งกางอยู่บนโต๊ะ นี่วาดออกมาได้อย่างไร? ละเอียดลออถึงขั้นน่ากลัวปานนี้ แน่นอนก็มีความผิดพลาดบ้าง ตัวอย่างเช่นชื่อหมู่บ้านบางส่วนไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ล้วนแม่นยำ

แผนที่ล้วนวาดออกมาตามสภาพสถานที่ แต่มองดูแผนที่อันนี้เขามักรู้สึกว่าสถานที่วาดออกมาตามแผนที่

คุณหนูจวินยกมือส่งสัญญาณให้เก็บแผนที่ขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราตอนนี้ก็กำลังจะเข้าอี้โจวแล้ว” นางเอ่ย

เสียงของนางอ่อนโยน แต่อี้โจวสองคำนี้เอ่ยออกมา คนรอบด้านอดไม่ได้ชาหนึบวูบหนึ่ง ยังมีบางส่วนคุมไม่อยู่สั่นระริกเล็กน้อย

อี้โจว

พวกเขาเป็นแม่ทัพเป็นทหารมานานปานนี้ เพิ่งเหยียบเข้ามาในถิ่นชาวจินแห่งนี้เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังพาทหาร พาหอก ลากรถปืนใหญ่มาด้วย

นี่ทั้งน่ากลัวทั้งเร้าใจ

คุณหนูจวินเดินเข้ามาหลายก้าวช้าๆ มองดูพวกเขาแล้วมองดูกระบวนทัพที่ยืนนิ่งอยู่

ธงในกระบวนทัพปลิวสะบัด แม้ธงมากมาย แต่ที่จริงมีเพียงสองแบบ ด้านหนึ่งเขียนว่ากองทหารซุ่นอัน ด้านหนึ่งเขียนว่ากองทหารชิงซาน

คนหลายสิบคนของกองทหารชิงซานไม่ตั้งขบวนแถวลำพังอีกแล้ว พวกเขาปะปนสอดแทรกอยู่ในกองทหารซุ่นอันแห่งนี้ กองทหารซุ่นอันนายทหารมากมายล้วนสวมชุดเกราะเช่นเดียวกับคนเหล่านี้ของกองทหารชิงซาน วันนี้ไม่ดูให้ละเอียดแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร

“ใต้เท้าหลี่” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น หันกลับมามองหลี่กั๋วรุ่ย “พวกท่านติดตามข้ามาอี้โจว นับว่าเคลื่อนทหารโดยพลการหรือไม่?”

กองทหารซุ่นอันของเหอเจียนถูกส่งมาป้าโจว เหตุผลคือเพื่อช่วยคุ้มครองประชาชนลงใต้ แต่หลี่กั๋วรุ่ยท้ายที่สุดกลับนำทหารขึ้นเหนือ และข่าวนี้ยังปิดบังค่ายใหญ่ที่เหอเจียน

“นี่ไม่นับว่าเคลื่อนทหารโดยพลการ” หลี่กั๋วรุ่ยสีหน้าจริงจังเอ่ย “พวกเราเป็นทหารแม่ทัพใต้บังคับบัญชาของเฉิงกั๋วกง”

นี่แล้วอย่างไร?

พวกหยางจิ่งกับเซี่ยหย่งมองไปทางเขา

“ทหารฟังแม่ทัพ แม่ทัพฟังขุนพล ขุนพลฟังนายเหนือหัว ราชสำนักสูงส่งไกลโพ้น พวกเรานายทหารตัวน้อยแม่ทัพตัวน้อยเหล่านี้ไม่เข้าใจและไม่มีคุณสมบัติเข้าใจ คำสั่งของราชสำนักสั่งลงมาย่อมมีเฉิงกั๋วกงปฏิบัติตาม ส่วนพวกเราก็ปฏิบัติตามคำสั่งของเฉิงกั๋วกง เฉิงกั๋วกงไม่เคยออกคำสั่งให้พวกเราถอนทหาร นอกจากนี้เฉิงกั๋วกงวันนี้อยู่ที่อี้โจวรบกับชาวจิน ถ้าเช่นนั้นพวกเราย่อมต้องมุ่งไปรบด้วย” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ยต่อ

พูดถึงตรงนี้ก็สีหน้าเคร่งขรึม

“ดังนั้นพวกเรานี่ไม่นับว่าพลการ หากราชสำนักจะลงโทษ ที่ลงโทษย่อมไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นเฉิงกั๋วกง”

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

จินสือปาที่ยืนอยู่หัวแถวเบะมุมปาก ยิ้มหยันจางๆ

“เจ้ายิ้มอะไร?” เหลยจงเหลียนด้านข้างเอ่ยถามขึ้นทันที

จินสือปาไม่ได้ไม่สนใจเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้

“ข้ายิ้มคนใกล้ชาดติดสีแดงคนใกล้หมึกติดสีดำ” เขาเอ่ย “กระทั่งแม่ทัพเล็กๆ คนนี้ยังกล้าพูดเลอะเทอะหน้าตาเฉย แล้วยังพูดเต็มปากเต็มคำเช่นนี้อีก”

“ข้ารู้สึกว่าเขาพูดถูกต้อง ไม่เลอะเทอะนี่” เหลยจงเหลียนเอ่ย

จินสือปามองเขา

“เพราะเจ้าก็เลอะเทอะ” เขาเอ่ย

เหลยจงเลิกคิ้วต้องการพูดอะไร แต่เสียงของคุณหนูจวินก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขารีบเก็บคำพูด จดจ่อมองไปอย่างตั้งใจ

คุณหนูจวินมองไปทางกระบวนทัพทหาร

“พวกเรามีเพียงไม่ถึงแปดพันคน” นางเอ่ย “กำลังจะไปสู้ศึกกับทหารจินนับหมื่นนาย ในดินแดนของผู้อื่น ในเขตแดนของผู้อื่น พวกเจ้ากลัวหรือไม่?”

“ไม่กลัว!” เสียงต้องตะโกนพร้อมเพรียงดังขึ้น

“พวกเจ้าทำไมไม่กลัว?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม

“เพราะเฉิงกั๋วกงไม่กลัว” เสียงตะโกนร้องพร้อมเพรียงตอบอีกครั้ง “เพราะคุณหนูจวินไม่กลัว”

หลี่กั๋วรุ่ยก็ตะโกนตามด้วย คล้ายคุ้นชินแล้วก็คล้ายกับเหมาะสมสมควร

ใช่แล้ว เฉิงกั๋วกงยังไม่กลัว บุกเข้าไปในแผ่นดินของชาวจินลอบสังหารองค์ชายของอีกฝ่าย คุณหนูจวินผู้หญิงอ่อนแอคนนี้ก็ไม่กลัว ติดตามพวกเขาสู้ศึกกับชาวจินตั้งแต่ต้นจนจบ

นอกจากนี้ยังมีชุดเกราะประณีตเหล่านี้อีก รถสัมภาระที่ขนอาวุธร้ายกาจอาวุธวิเศษนั่นอีก หนึ่งต้านสิบได้ มีอันใดน่ากลัว!

คุณหนูจวินได้ยินเสียงตะโกนโห่ร้องนี้ก็อมยิ้มพลิกกายขึ้นม้า พวกหลี่กั๋วรุ่ยกับเซี่ยหย่งก็ขึ้นม้าตามนางด้วย

คุณหนูจวินทะยานม้าไปข้างหน้าหลายก้าว

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไป…” นางเอ่ยขึ้น รับดาบยาวจากมือจ้าวฮั่นชิงชี้ไปทางทิศเหนือ “ช่วยเฉิงกั๋วกง”

กองทหารส่งเสียงดังกระฮึ่ม หอกยาวดาบยาวตั้งเรียงรายชี้ไปทิศเหนือ เสียงโห่ร้องสะเทือนแก้วหูแทบดับกลบฟ้ากลบดิน

“ช่วยเฉิงกั๋วกง!”

“ช่วยเฉิงกั๋วกง!”

“ช่วยเฉิงกั๋วกง!”