บทที่ 631 ฮันนีมูน

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ปาจรีย์ก้มหน้าไว้ไม่พูดจา

วารุณีถอนหายใจแล้วมองหน้าเธอ “แล้วตอนนี้เธอเตรียมจะทำยังไง?”

“อะไรทำยังไง?” ปาจรีย์ข้องใจ

วารุณีส่ายหัว “ก็ความสัมพันธ์ของเธอกับพงศกรไง เธอกับพงศกรก็อะไรอย่างนั้นกันแล้ว ไม่เตรียมพัฒนาความสัมพันธ์ไปอีกขั้นเหรอ?”

ปาจรีย์ยิ้มอย่างขมขื่น “วารุณี มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก พงศกรเกลียดฉัน ถึงเขารู้ว่าเมื่อคืนเป็นฉัน เขาก็ไม่คบกับฉันหรอก”

“อันนี้……”วารุณีอ้ำอึ้งไปครู่นึง ต่อมาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เธอพูดมีความเป็นไปได้สูงมาก

“งั้นเธอก็เตรียมจะอย่างนี้เลย?”วารุณีมองหน้าปาจรีย์ด้วยความสงสาร

ปาจรีย์นวดขมับที่ค่อนข้างปวดเกร็ง “ใช่ ถือซะว่าทุกอย่างของเมื่อคืนเป็นแค่อุบัติเหตุก็แล้วกัน พงศกรไม่ติดค้างฉัน ส่วนฉันก็ไม่ต้องการให้เขามารับผิดชอบ ถือซะว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลยก็แล้วกัน เมื่อก่อนไปมาหาสู่ยังไง ตอนนี้ก็ยังไปมาหาสู่อย่างนั้น”

เห็นเพื่อนรักเป็นแบบนี้ วารุณีกอดเธอด้วยความสงสาร

ปาจรีย์รู้ว่าวารุณีกำลังเป็นห่วงตัวเองอยู่ เธอรู้สึกคัดจมูกอยากร้องไห้ เธอเองก็ได้กอดวารุณีไว้

วารุณีปลอบใจปาจรีย์ไปสักพักใหญ่ๆ ปาจรีย์ตบแผ่นหลังเธอเบาๆ “เอาล่ะวารุณี ฉันไม่เป็นไรแล้ว เธอไปยุ่งก่อนเถอะ”

“ไม่เป็นไรแล้วจริงอ่ะ?”วารุณีก้มหน้ามองเธอ ยังค่อนข้างไม่ไว้วางใจ

ปาจรีย์ยิ้มให้เธอ “จริงๆ”

“โอเค งั้นฉันไปยุ่งก่อน มีอะไรก็มาหาฉันนะ”วารุณีลูบศีรษะของปาจรีย์

ปาจรีย์เห็นเธอคอยกล่อมตัวเองอย่างกับกล่อมเด็กคนนึงแล้ว ได้พยักหน้าอย่างร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “โอเค”

วารุณีเห็นปาจรีย์ยิ้มแล้ว ทีนี้ถึงวางใจที่จะจากไป

ตอนเที่ยง นัทธีได้พาลูกสองคนมาที่กินข้าวเที่ยงกับวารุณีที่บริษัท

ที่โต๊ะอาหาร จู่ๆนัทธีได้ยื่นแท็บเล็ตให้เธออันนึง “คุณลองดูว่าอยากไปเที่ยวที่ไหน?”

“ไปเที่ยวที่ไหนอะไรคะ?”วารุณีรับแท็บเล็ตมาอย่างค่อนข้างข้องใจ

อารัณรีบยกมือน้อยๆขึ้นมาพูดว่า:“ป่าป๊าอยากไปฮันนีมูนกับหม่ามี๊ครับ ถึงได้ถามหม่ามี๊ว่าอยากไปฮันนีมูนที่ไหน”

“อืมๆ หนูเป็นพยานได้ค่ะ” ไอริณกินข้าวไปด้วยและพยักหน้าไปด้วย

วารุณีมองผู้ชายอย่างประหลาดใจ “คุณอยากไปฮันนีมูน?”

“นี่เป็นเรื่องที่สมควรไม่ใช่เหรอ?ก่อนหน้านี้เรารับใบจดทะเบียนสมรสเสร็จ ต่างก็เพราะหน้าที่การงานของตัวเอง เลยไม่ได้จัดงานแต่ง และไม่ได้ไปฮันนีมูน ตอนนี้งานแต่งของเราก็ได้จัดแล้ว งั้นฮันนีมูนก็จะขาดไม่ได้ สิ่งที่คนอื่นมี ผมก็จะให้คุณน้อยกว่าไม่ได้”นัทธีมองหน้าวารุณีพร้อมพูดด้วยแววตาลึกซึ้ง

ในขณะที่วารุณีหน้าแดงก็รู้สึกซึ้งใจมาก ได้หัวเราะด้วยเบ้าตาเปียกชื้น “ผู้ชายเคร่งขรึมเวลาพูดคำหวานขึ้นมา มีแรงโน้มน้าวไม่น้อยเลย”

นัทธียกมุมปากขึ้น “ถือว่าคุณกำลังชมผมอยู่ก็แล้วกัน”

“ฉันก็กำลังชมคุณอยู่นี่ไงคะ” วารุณีกลอกตาขาวใส่เขาทีนึง

นัทธียิ้มอย่างลึกซึ้งขึ้น “ลองดูว่าอยากไปไหน ถึงเวลาผมให้มารุตจองโรงแรมไว้ล่วงหน้า”

“ค่ะ” วารุณีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นได้เริ่มเช็คประเทศและสถานที่ๆเหมาะกับการฮันนีมูน

ลูกทั้งสองตัวติดอยู่ที่ข้างกายเธอ คนนึงซ้ายคนนึงขวา ก็ได้ดูกับเธอด้วย และยังช่วยเธอเลือกอยู่เป็นครั้งคราว

สุดท้ายแม่ลูกทั้งสามเลือกไว้สี่ประเทศ ก็ไม่ได้เลือกต่ออีกเลย

ที่สำคัญคือเวลาฮันนีมูนแค่เดือนเดียว เดือนเดียวตะลอนสี่ประเทศก็พอสมควรแล้ว

บวกกับงานของเธอและงานของนัทธีต่างก็ทิ้งไว้นานไม่ได้ เพราะฉะนั้นพอประมาณก็พอ

“ที่รัก เสร็จแล้วค่ะ ”วารุณียื่นแท็บเล็ตไปให้เขา

หลังจากนัทธีรับแท็บเล็ตมาดูแล้วได้ยักคิ้ว “คอนเฟิร์มแล้ว?”

“คอนเฟิร์มแล้วค่ะ สถานีแรกไปที่ประเทศนาฟาก่อนหน้านี้ตอนที่แข่งขันระดับนานาชาติ ทางนิตยสารได้ให้ตั๋วcentury concertกับฉันใบนึง สถานที่ที่จัดคอนเสิร์ตคือประเทศนาฟาพอดีเลย สามารถถือโอกาสไปดูหน่อยค่ะ”วารุณีพูดด้วยรอยยิ้ม

ไอริณก็รีบพูดว่า:“ไอริณอยากไปดูหิมะที่ประเทศสวิสค่ะ”

“เธอไปไม่ได้” อารัณเปิดปากบั่นทอนกำลังใจของไอริณ

ไอริณรีบถามต่อว่า “เพราะอะไร?”

อารัณทำท่าคิดหนัก พร้อมยิ้มอย่างมีคงามสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “เพราะว่านี่คือฮันนีมูนของป่าป๊ากับหม่ามี๊ เป็นการท่องเที่ยวของพวกเขาสองคน เราสองคนไปไม่ได้”

“อะไรนะ?” ไอริณราวกับถูกฟ้าผ่ายังไงอย่างงั้น ได้เอ๋อไปทั้งคน

วารุณีกับนัทธีสบตากัน ต่างก็หัวเราะขึ้นมา

มองรอยยิ้มของป่าป๊ากับหม่ามี๊ ไอริณดึงสติกลับมาพร้อมเบะปากไว้ ดูกล้ำกลืนจะแย่อยู่แล้ว “แล้วทำไมพี่ไม่บอกหนูตั้งแต่แรกล่ะ ให้หนูดูอยู่ได้ตั้งนาน ฮือๆๆ พี่ใจร้าย”

อารัณคิดไม่ถึงว่าน้องสาวจะถึงขั้นร้องไห้ เขาก็ไม่มีเวลามาดูตลกของน้องสาวอีก ได้รีบไปกล่อมเธอ “ขอโทษนะไอริณ พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้เอง”

“จริงเหรอคะ?”ไอริณทำจมูกฟุดฟิดแล้วถาม

แววตาของอารัณลุกลี้ลุกลน จากนั้นได้พยักหน้าโกหกอย่างหน้าไม่แดงเลย “จริงสิ!”

“งั้นหนูยกโทษให้พี่ก็ได้ แต่ต่อไปพี่ต้องนึกเร็วกว่านี้อีกหน่อยสิ” ไอริณกำชับอย่างจริงจัง

อารัณก็พยักหน้าอย่างจริงจังเหมือนกัน “โอเค”

มองดูลูกสาวถูกลูกชายหลอกให้ผ่านๆไปอีกครั้ง รอยยิ้มในแววตานัทธีกับวารุณีก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น

ลูกสาวแสนโง่คนนี้

ดูท่าชาตินี้คงต้องถูกอารัณจูงจมูกแล้ว

พอทานข้าวเสร็จ นัทธีให้ลูกทั้งสองอยู่กับวารุณีต่อ ส่วนตัวเองได้ไปที่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปคนเดียว

เพิ่งถึงใต้ตึกบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป นัทธียังไม่ทันได้จอดรถ จู่ๆก็มีร่างเงานึงวิ่งออกมาขวางที่หน้ารถ

นัทธีสีหน้าเปลี่ยนและรีบเหยียบเบรค

รถได้ส่งเสียงที่แสบแก้วหูออกมา พร้อมทั้งได้เอนไปข้างหน้าแล้วจอดลง

ถึงแม้คนที่อยู่หน้ารถไม่ได้ถูกชน แต่ก็ตกใจไม่น้อยเลย ขาสองข้างอ่อนแรงพร้อมกับได้ล้มลงไปนั่งกับพื้น สีหน้าซีดเซียวและมองรถที่อยู่ด้านหน้าด้วยสายตาเอ๋อเหรอ

หลังจากนัทธีที่อยู่ในรถดูออกว่าคนที่อยู่ข้างนอกคือใครแล้ว สีหน้ายิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่ กลิ่นไอรอบตัวก็หนาวเย็นมาก

เขาปลดเข็มขัดนิรภัยออก จากนั้นได้เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินมาที่หน้ารถ ก้มหน้ามองจากที่สูงลงไปที่ต่ำ มองคนที่อยู่บนพื้นด้วยแววตาที่ไม่มีความเยื่อใยเลยสักนิด “จุ๊บแจง คุณอยากรนหาที่ตายหรือไง?”

ไม่นึกเลยว่าจะพุ่งออกมาจากด้านข้างมาขวางรถของเขาไว้

ถ้าไม่ใช่ว่าเขายังมีจิตสำนึกอยู่หน่อยนึง เขาจะไม่เหยียบเบรคเด็ดขาด จะพุ่งไปข้างหน้าโดยตรงเลย

จุ๊บแจงฟังเสียงของนัทธีแล้วตัวสั่น ในที่สุดก็ได้ฟื้นฟูกลับมาสภาพเดิมสักที เธอเงยหน้ามองเขา “ฉัน……ฉันแค่อยากให้คุณหยุด”

“คุณก็เลยแกล้งพุ่งมาที่หน้ารถผม?”นัทธีพูดเสียงสูง

จุ๊บแจงก้มหน้าลงไม่พูดจา ถือว่าได้ยอมรับโดยปริยายแล้ว

นัทธีกำหมัดไว้แน่น “จุ๊บแจง คุณน่าจะรู้สึกโชคดีที่ผมดึงสติกลับมาทัน และได้เหยียบเบรคไว้ ไม่งั้นคุณคิดว่าตอนนี้คุณยังจะมีชีวิตอยู่อีกเหรอ?”

จุ๊บแจงได้ยินคำพูดนี้แล้วม่านตาขยาย รู้สึกหนาวขึ้นมาทั้งตัว

เธอนึกถึงรถเมื่อครู่ที่ขับมาทางตัวเอง นึกถึงหัวรถที่แข็งแรงทนทานของรถ และความร้อนที่โชยมาที่หน้าในขณะที่รถขับมา ในใจเธอก็หวั่นกลัวขึ้นมาทันที

ตอนนั้นรถได้ขยายใหญ่อยู่ตรงหน้าเธอ เธอรู้สึกสมองว่างเปล่าไปหมด ไม่มีความสามารถในการคิดพิจารณาใดๆเลย แม้กระทั่งนาทีนั้น เธอราวกับว่าได้เห็นย่าตัวเองที่เสียชีวิตไปหลายปี กำลังยืนกวักมือให้เธออยู่ที่บนสะพานแห่งความตาย

นั่นก็หมายความว่า เมื่อครู่เธอได้กลิ่นไอของความตาย อีกนิดเดียวเธอก็เกือบตายแล้วจริงๆ

จุ๊บแจงคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้วตัวสั่นอย่างแรง ค่อนข้างเสียใจทำไมตอนนั้นตัวเองถึงได้หัวร้อนพุ่งออกมา ถ้าเกิดเขาเหยียบเบรคไม่ทันจริงๆ งั้นเธอก็คงตายไปแล้วจริงๆ

มองความหวาดกลัวที่เผยอยู่บนใบหน้าของจุ๊บแจงแล้ว แววตาของนัทธีมีความเยาะเย้ยแว๊บผ่าน เขาอยากไม่สนใจเธอ อยากจะหันหลังขึ้นรถไป

จุ๊บแจงดึงสติกลับมาได้ทันที เธอรีบลุกขึ้นมาจับแขนของเขาไว้ “ประธานคะ!”

“ปล่อย!”นัทธีหน้าบูดบึ้งไว้ ได้ใช้แรงดึงแขนออกมาโดยตรง

จุ๊บแจงได้ถอยหลังไปสองก้าว อีกนิดเดียวก็เกือบจะล้มลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้ง

แต่สุดท้ายเธอก็ได้ทรงตัวนิ่ง เธอมองนัทธีด้วยความแค้นเคือง เหมือนกับว่านัทธีคือผู้ชายที่ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของผู้หญิงยังไงอย่างงั้น