บทที่ 723 ล่อลวงเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มทั้งสองยืนตรงราวกับหยกคู่ ท่าทางสง่างามหล่อเหลา พวกเขามองไปยังคนที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดพร้อมกัน เว่ยจื่ออั๋งเปิดปากพูดขึ้นก่อน

“ในเมื่อฮ่องเต้มีพระกระแสรับสั่งเรียกตัวกระหม่อมมา เหตุใดจึงไม่เห็นคนของฝ่าบาทเล่า?”

จ้าวชูไม่ตอบคำถาม เขามองไปยังเด็กทั้งสอง

“เจ้าทั้งสองเป็นบัณฑิตที่มากด้วยพรสวรรค์ ได้ตำแหน่งทั้งอันดับหนึ่งและสองในการสอบหน้าพระที่นั่ง เหตุใดพวกเจ้าจึงคบหากับองค์ชายไม่ได้ความอย่างเจ้าหกเล่า?”

นี่คือเรื่องที่จ้าวชูยังคงติดค้างและสงสัยอยู่ภายในใจมาตลอด

ในความรู้สึกของเขา บัณฑิตเป็นคนมีเกียรติมากต่างจากพวกเสเพลไม่ได้เรื่อง องค์ชายหกเป็นแค่เด็กหนุ่มไม่เอาไหน ไม่รักเรียน เอาแต่เล่นสนุกไม่มีอะไรดีเลยด้วยซ้ำ

สวี่เจวี๋ยตอบ

“เพราะเขาคือองค์ชาย การจะปีนขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงขึ้นย่อมต้องมีการผูกมิตรต่อเชื้อพระวงศ์”

น้ำเสียงและคำพูดของสวี่เจวี๋ยเต็มไปด้วยความจองหอง เว่ยจื่ออั๋งตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเขารีบเสริมทันที

“ใช่! อีกอย่างเขาเองก็เป็นคนโง่เขลา กระหม่อมขอให้เขาช่วยเหลือเรื่องต่างๆ ได้”

“ถึงแม้กระหม่อมจะไม่ใช่คนธรรมดาสามัญทั่วไปก็จริง แต่กระหม่อมก็ต้องใช้คนเพื่อไต่เต้าในการประสบความสำเร็จพะย่ะค่ะ”

สวี่เจวี๋ยเสริมขึ้น จ้าวชูตกตะลึง เด็กหนุ่มทั้งสองเป็นคนมีพรสวรรค์และมีความสามารถก็จริงอยู่ แต่พวกเขาก็ต้องใช้คนในการที่จะปีนป่ายไปสู่อำนาจเช่นกัน

“ตอนนี้เสด็จพ่อของข้าแต่งตั้งข้าเป็นองค์รัชทายาท พวกเจ้าเต็มใจทำงานให้ข้าหรือไม่” จ้าวชูยังคงถามต่อ เว่ยจื่ออั๋งกระพริบตา

“จะไม่มีปัญหาหรือ?”

แต่สวี่เจวี๋ยกลับตอบรับ เขายกมือขึ้นแล้วพูดว่า

“กระหม่อมจะทำให้เต็มความสามารถพะย่ะค่ะ”

จ้าวชู “……”

ในตอนแรกจ้าวชูตั้งใจจะทดสอบเด็กทั้งสอง เขารู้เรื่องชาติกำเนิดของพวกเขาดี ทั้งสองคนเป็นบุตรบุญธรรมของถังหลี่ ต่อมาเมื่อนางแต่งงานกับอู่อวี้ พวกเขาจึงกลายเป็นบุตรบุญธรรมของอู่อวี้ไปด้วย

ในตอนที่จ้าวชูได้พบถังหลี่นั้น นางยังไม่ได้แต่งงาน หากเขาเลือกถังหลี่แทนจูชุนเจียวจุดจบคงจะไม่เป็นเช่นตอนนี้

ถ้าถังหลี่แต่งงานกับเขาเสียตั้งแต่ตอนนั้น เด็กทั้งสองคนก็จะเป็นบุตรบุญธรรมของด้วยเช่นกัน จ้าวชูจึงมีความคิดที่อยากจะเอาชนะเด็กหนุ่มทั้งสองคน

ประการแรกเพราะความเสียดาย อีกประการหนึ่งเป็นเพราะเขาอยากจะเอาชนะอู่อวี้

ส่วนประการสุดท้ายเขาเสียดายพรสวรรค์เหล่านั้น ความประทับใจแรกที่จ้าวชูมีต่อเด็กทั้งสองคือความสามารถและพรสวรรค์ เขาไม่คาดคิดว่าทั้งสองจะยอมจำนนต่อเขาอย่างรวดเร็ว…ผิดปกติเกินไป

ความผิดปกติคือความน่ากลัว…

“อู่อวี้ไม่ลงรอยกับข้า หากเจ้าภักดีกับข้าแต่เขาปฏิเสธข้าล่ะ?” จ้าวชูถามต่อ

“ผู้ที่รู้สถานการณ์คือผู้ฉลาด กระหม่อมจะเกลี้ยกล่อมให้ท่านพ่อภักดีต่อองค์ชายแน่นอน” เว่ยจื่ออั๋งว่า

“แต่หากองค์ชายไม่พอใจ ท่านย่อมส่งบิดาไปยังชายแดนได้ ตราบใดที่เขายังมีชีวิตนั่นคือการแสดงความกตัญญูของพวกกะหม่อม” สวี่เจวี๋ยตอบไม่สะทกสะท้าน

จ้าวชู “…..”

เด็กหนุ่มทั้งสองเสนอให้เขาส่งอู่อวี้ไปยังชายแดนห่างไกลหรือ? เหตุใดจู่ๆ เขาจึงเห็นใจชายคนนั้น เขาหลงเลี้ยงหมาป่าตาขาวแบบนี้ไว้ข้างกาย

จ้าวชูรู้สึกมีความสุข ทว่า…หมาป่าตาขาวเช่นนี้ถึงจะมากพรสวรรค์เพียงใดก็ยังไม่สะดวกใจที่จะใช้ทำการใหญ่

“ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในวังไปก่อน เมื่อบิดาของเจ้ากลับมาแล้ว เจ้าก็ไปโน้มน้าวเขาเสีย” หลังจากที่จ้าวชูพูดจบเขาก็หันหลังจากไปทันที สวี่เจวี๋ยหันไปมองจ้าวชูพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“องค์ชายสาม ได้โปรดพระราชทานรางวัลในการแสดงความภักดีของพวกกระหม่อมเอาไว้ด้วยพะย่ะค่ะ”

จ้าวชูรีบเดินหายไปอย่างรวดเร็ว เว่ยจื่ออั๋งเม้มริมฝีปากแล้วคลี่ยิ้มออกมา ดวงตาของเขาโค้งเป็นเสี้ยวในยามที่เด็กหนุ่มยิ้ม ใบหน้าที่งดงามขึ้นสีแดงระเรื่อทำให้เว่ยจื่ออั๋งดูทั้งหล่อเหลาและน่ารักไปพร้อมกัน

แม้สถานการณ์ดูอันตรายล่อแหลม แต่ทั้งสองคนไม่หวาดกลัวเลยซ้ำยังออกจะมีความสุข

สวี่เจวี๋ยเป็นคนที่เยี่ยมยอดจริงๆ ดูเหมือนจื่ออั๋งเองต้องเรียนรู้เอาไว้ ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่าบัณฑิตที่ดีต้องรับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำต่อตัวเอง พวกเขาปฏิบัติตามมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เว่ยจื่ออั๋งกำลังหัดโกหกตามสวี่เจวี๋ย

ไม่ดี ไม่ดี..

เว่ยจื่ออั๋งต้องใคร่ครวญดูให้ดีก่อน

….

พระสนมเหลียงขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้โจวหลายครั้งแต่ถูกปฏิเสธมาตลอด แต่วันนี้นางกลับได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าได้ ทว่าเมื่อเข้าไปในตำหนัก ผู้ที่นั่งรออยู่กลับกลายเป็นหวังกุ้ยเฟยแทน

นางชายตาอย่างเย่อหยิ่งมาที่มายังพระสนมเหลียง

“น้องเหลียงนี่เอง” นางแย้มยิ้มแต่รอยยิ้มกลับส่งไปไม่ถึงดวงตา

พระสนมเหลียงและหวังกุ้ยเฟยเป็นศัตรูทั้งทางลับและที่แจ้งกันมาตลอด ยามพบปะกันก็แค่ทักทายกันอย่างผิวเผินเพียงประโยคสองประโยคเท่านั้น

พระสนมเหลียงเป็นผู้รู้จักวางตนและรู้ดีว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้นางย่อมตกเป็นรองหวังกุ้ยเฟย ก่อนหน้านี้พรรคพวกของนางโดนโจมตี จึงเป็นเรื่องไม่ฉลาดถ้าหากคิดจะเผชิญหน้ากับหวังกุ้ยเฟยในยามนี้

ไม่ว่าหวังกุ้ยเฟยจะเอ่ยอะไร พระสนมเหลียงจะตอบกลับเบาๆ นางยอมที่กลืนความเกลียดชังลงไปในอก คนผู้นี้สังหารพี่รองของนาง

ทันใดนั้นมีเสียงแปลกๆ ดังออกมาจากห้องด้านใน คล้ายกับเสียงของมีคมกรีดลงไปบนพื้น

สีหน้าของหวังกุ้ยเฟยดูอำมหิต

“สนมเหลียง เจ้าไม่อยากเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรอกหรือ? ฝ่าบาทประทับอยู่ด้านใน เจ้าเข้าไปสิ”

ก่อนหน้านี้สถานการณ์ยังไม่มั่นคงดีนัก พระสนมเหลียงจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าฮ่องเต้โจว ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมาสกุลเหลียงเหมือนตั๊กแตนหลังฤดูใบไม้ร่วง พวกเขาไม่อาจขยับหรือเคลื่อนไหวใดๆ ได้เลย

ในราชสำนักก็ปราศจากการเคลื่อนไหวเช่นกัน จ้าวชูผ่อนคลายมากขึ้น พระสนมเหลียงถึงได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าฮ่องเต้โจวในวันนี้ได้

พระสนมเหลียงเข้าไปในโถงด้านในอย่างรวดเร็ว เมื่อนางได้เห็นผู้ที่อยู่ในห้องอย่างชัดเจน ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้น เสื้อผ้าของชายผู้นั้นสกปรก ผมสีขาวกระเซอะกระเซิงรุงรัง ร่างกายบิดเบี้ยวด้วยท่าทีแปลกพิกล ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน

“เอายามา”

“ได้โปรดเอายามาให้ข้า…”

เขาพูดอย่างเจ็บปวดน้ำเสียงฟังไม่ชัด ราวกับว่ามีบางอย่างอุดตันอยู่ในลำคอ

เป็นการยากเหลือเกินที่พระสนมเหลียงจะจินตนาการได้ว่าชายคลุ้มคลั่งผู้นี้เป็นคนเดียวกับฮ่องเต้โจว พระสวามีผู้สง่างามของนาง

“เจ้าทำอะไรฝ่าบาท?” พระสนมเหลียงตะโกนออกมาทันที ประตูเบื้องหลังถูกปิดลง เมื่อนางวิ่งไปพยายามจะเปิด จึงพบว่าประตูถูกลงกลอนจากด้านนอก คนบนพื้นคลานมาหานางช้าๆ กลิ่นของเลือดและปัสสาวะคละคลุ้งจนนางแทบหายใจไม่ออก จู่ๆ นางรู้สึกมึนงงสับสนขึ้นมา

นางเป็นใคร…ที่นี่ที่ไหน…

ตาข่ายขนาดใหญ่ตกลงมาคลุมนางไว้แน่น ทำให้นางไม่สามารถหนีพ้นได้

….

จวนสกุลเหลียง

เหลียงตงถูกประหารชีวิตในข้อหาลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ ทำให้ร่างของเขาไม่ได้ถูกส่งกลับมายังจวนสกุลเหลียง ไม่สามารถจัดการงานศพได้ สกุลเหลียงทำได้แต่เพียงสวมชุดไว้ทุกข์เท่านั้น

จ้าวจิ่งซวนสวมชุดไว้ทุกข์ นั่งอยู่เงียบๆในห้อง เขาคิดเรื่องนี้วนไปมา

เขาเป็นคนที่ทำให้ท่านลุงรองตายหรือไม่?

หากวันนั้นเขากลับเข้าวังหลวงกับองครักษ์แทนที่จะลอบมายังสกุลเหลียง บางทีท่านลุงรองก็คงไม่ตาย

เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อเขาเปิดออกจ้าวจิ่งซวนเห็นเหลียงหยูอยู่ที่หน้าประตู