บทที่ 662 ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 662 ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

บทที่ 662 ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกละอายใจเล็กน้อยกับความกตัญญูของกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือ ดังนั้นจึงปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ยังจะขอบคุณอยู่อีก!” เมื่อเห็นว่าหลี่ฝานยังคงปฏิเสธ ฉินเย่จือจึงมองไปที่เขาด้วยแววตาตักเตือน เถ้าแก่หลี่เข้าใจในทันทีและเอ่ยว่า “เสี่ยวหวาน เจ้าพักผ่อนต่อเถอะ ข้าและท่านหมอพานไม่รบกวนเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าต้องการสิ่งใดบอกลุงหลี่คนนี้มาได้เลย”

หลังจากพูดจบ โดยไม่รอให้กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือพูดอะไร เขาจึงนำหมอพานออกไป

เมื่อเห็นท่าทางรวดเร็วของทั้งสองคน กู้เสี่ยวหวานรู้สึกงุนงง นางเบือนสายตาไปมองฉินเย่จือและถามด้วยความสงสัย “ทำไมวันนี้ท่านลุงหลี่ถึงดูแตกต่างไปจากปกติล่ะ?”

ฉินเย่จือไม่ได้คิดเช่นนั้น และส่งเสียงหัวเราะลั่น “เขาอาจจะกลัวรบกวนการพักผ่อนของเจ้า เจ้านอนพักสักหน่อยเถอะ! หรือถ้าไม่เหนื่อย เช่นนั้นไม่เรียกหนิงผิงและเสี่ยวอี้มาเยี่ยมเจ้าล่ะ?”

ครั้นกู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของนางพลันสว่างขึ้น และพยักหน้าหงึกหงัก “ตกลง ข้าไม่ได้เจอพวกเขามาหลายวันแล้ว เกรงว่าพวกเขาจะเป็นกังวลเพราะอาการป่วยของข้า!”

“อย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องทำตามเงื่อนไขของข้าเสียก่อน!” ฉินเย่จือมุ่ยปาก เมื่อเห็นท่าทางดีใจโลดเต้นของนางก็รู้สึกว่านางตื่นเต้นมากกว่าการเห็นตัวเองเสียอีก

“ว่าอย่างไรนะ?” กู้เสี่ยวหวานตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง ไม่คิดว่าการจะได้เจอน้องชายและน้องสาวยังต้องมีเงื่อนไข

จากนั้นฉินเย่จือก็พูดช้า ๆ ว่า “ให้พวกเขาเข้ามาได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เพราะอาการป่วยของเจ้าเพิ่งจะหาย ร่างกายของเจ้ายังต้องการพักผ่อน”

“ข้านอนมาหลายวันแล้ว ให้พวกเขามาคุยกับข้าหน่อยไม่ได้หรือ?” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างกระเง้ากระงอด

“ไม่ได้ ข้าเกรงว่าทั้งสองจะทะเลาะกัน และทำให้เจ้าไม่ได้พักผ่อน เมื่อถึงเวลามันจะส่งผลต่ออารมณ์ของเจ้า!” ฉินเย่จือกล่าว ดวงตาเรียวยาวมองไปยังกู้เสี่ยวหวาน ดวงตาคู่นั้นทำให้กู้เสี่ยวหวานยากที่จะปฏิเสธได้

เมื่อคิดถึงสิ่งที่ลุงหลี่เพิ่งพูดว่าฉินเย่จือเป็นคนที่ช่วยชีวิตนางจากกองไฟ หัวใจของกู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกซาบซึ้ง

แต่นางก็นึกถึงสิ่งหนึ่ง และเอ่ยถามอย่างประหม่า “เจ้าไม่ได้รับความทุกข์ทรมานในคุกใช่หรือไม่? ข้าอยากไปหาท่านลุงหลี่เพื่อช่วยเจ้า แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะมาช่วยข้าเสียก่อน”

“เด็กโง่! ข้าไม่เป็นไร!” ฉินเย่จือพูดพลางจับปอยผมของนางแนบปลายหูอย่างแผ่วเบา และเอ่ยเบา ๆ อย่างสำนึกผิด “เดิมทีข้าคิดว่ามันสามารถเข้าใจผิดกันได้ แต่ข้าไม่คิดว่าหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงจะใส่ร้ายเจ้า!”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า มันเป็นสิ่งที่นางคาดไม่ถึงในตอนแรก เดิมทีนางน่าจะรู้ว่าตนเองโดดเด่นเกินไป และทำให้คนอื่นไม่พอใจ

“เจ้าออกจากห้องขังได้อย่างไร? มีข่าวเกี่ยวกับเหมียวเอ้อร์หรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานดูกังวลเพราะกลัวว่าฉินเย่จือจะหนีออกมา

“ไม่ต้องห่วง พวกเขาเจอตัวเหมียวเอ้อร์แล้ว มีคนพาตัวเขามายังโรงศาลเพื่อมอบตัว”

“มอบตัวอย่างนั้นหรือ? เขาก่ออาชญากรรม?” กู้เสี่ยวหวานงุนงง จากนั้นนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาและเอ่ยถามอย่างเงียบ ๆ “พี่ใหญ่ฉิน เขายังมีชีวิตอยู่จริงหรือ?”

แน่นอนว่าเขาที่ว่านี้หมายถึงเหมียวเอ้อร์

และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหมียวเอ้อร์ในเวลานั้น มีเพียงฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวานเท่านั้นที่รู้

ในเวลานั้นเหมียวเอ้อร์โดนฉินเย่จือแทงด้วยไม้ไผ่บริเวณหน้าอก กู้เสี่ยวหวานเห็นด้วยตาของนางเอง ในเวลานั้นนางคิดว่าเหมียวเอ้อร์จะตายจริง ๆ!

คาดไม่ถึงว่าเขาจะยังไม่ตาย

ความสงสัยฉายชัดในแววตาของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือจึงอธิบายว่า “ในตอนนั้น ข้าไม่ได้แทงเขาจนตาย ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิตของเขา ต่อมาข้าส่งเขาไปที่ให้ทางการของเมืองรุ่ยเสียน และเมื่อหลักฐานการก่ออาชญากรรมของถูกเปิดเผย บุคคลนั้นจะถูกพิพากษาให้ไปขุดหินที่เขตหมินซาน”

“ขุดหิน?”

“อืม ภูเขาหมินซานทั้งสูงและกว้างขวาง และมีแร่ธาตุมากมายอยู่ในนั้น นักโทษบางคนที่ก่ออาชญากรรมแต่ไม่ถูกตัดสินประหารชีวิตจะถูกส่งไปที่นั่น!” ฉินเย่จือกล่าว “เวลานานแล้วที่เขาไม่สามารถกลับบ้านได้ ครอบครัวของเขาจึงคิดว่าเขาตายไปแล้ว ตอนนั้นข้าบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องห่วงข้า ข้าจะกลับมาภายในสามวัน!”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า หากแต่ยังคงมีคำถามอยู่ในใจ “แต่ทำไมเขาถึงยอมมอบตัว? เขาทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ?”

“เรื่องมันยาวน่ะ ข้าได้ยินมาจากเถ้าแก่หลี่แล้ว และคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าขัน”

หลังจากที่เขาพูดจบก็บอกกู้เสี่ยวหวานสั้น ๆ เกี่ยวกับครอบครัวของเหมียวเอ้อร์ เดิมทีเรื่องนี้สกปรกโสมมเกินไป และฉินเย่จือไม่ต้องการพูดมัน อย่างไรก็ตามเพื่อสร้างความมั่นใจให้กู้เสี่ยวหวาน เขาจึงเลือกพูดสิ่งที่สำคัญที่สุดและเข้าใจง่ายที่สุด

หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานได้ฟัง นางก็ตกตะลึง

เหมียวเอ้อร์ผู้นี้ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาวจริงหรือ?

เพื่อที่จะได้ลูกชาย แม้แต่ลูกสาวของตัวเองยังกล้าทำได้ลงคอ

เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดตอนนี้ทำให้นางกลัว ดังนั้นเขาจึงรีบจับมือของกู้เสี่ยวหวานและพูดเบา ๆ ว่า “ตอนนี้เหมียวเอ้อร์ได้รับสิ่งที่เขาสมควรได้รับแล้ว และมันก็เป็นการลงโทษที่หนักที่สุดเช่นกัน! และหญิงน่าสงสารผู้นั้นก็ได้รับความยุติธรรมเรียบร้อยแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานใช้เวลาอยู่นานกว่าจะดึงตัวเองออกมาจากอารมณ์นั้นได้

เหมียวเอ้อร์จะฆ่านางเป็นเพราะเขามีคดีฆาตกรรมอยู่ในมือ ดังนั้นเขาจึงไม่หวาดกลัว

อย่างไรก็ตาม ยังดี…

ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานแดงก่ำ เมื่อมองไปยังฉินเย่จือที่กำลังมองนางด้วยความกังวล จึงบีบมือของฉินเย่จือและพูดว่า “พี่ใหญ่ฉิน ขอบคุณนะ!”

“ขอบคุณข้าเรื่องอะไร?” ฉินเย่จือแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นนางทำท่าทางจริงจัง

“เจ้าช่วยข้าไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงตายไปนานแล้ว” กู้เสี่ยวหวานพูดถูก

ครั้งแรก เหมียวเอ้อร์กำลังจะฆ่านาง

ครั้งที่สอง ฝูงหมาป่ากินคน

ครั้งที่สาม พวกค้ามนุษย์ที่น่ารังเกียจ

ครั้งที่สี่ ชาวบ้านกล่าวหาว่านางถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง

ในทุก ๆ เรื่อง ถ้าฉินเย่จือไม่ได้ช่วยนางไว้ ตัวนางคงถูกกินจนไม่เหลือกระดูกไปแล้ว!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งกระดูกสันหลัง สิ่งเหล่านี้ไม่ว่านางจะโดนสิ่งใด นางจะไม่มีวันรอดกลับมา

“เจ้าโง่!” เมื่อเห็นท่าทางเคร่งขรึมของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็พูดอย่างจริงจังว่า “ถ้าตอนนั้นเจ้าไม่ช่วยข้า เกรงว่าแม้แต่ศพของข้าก็คงไม่เหลือ!”