บทที่ 543 เจ้าหน้าที่พลเรือนแห่งศาลสวรรค์ไม่เก่งกาจเรื่องการต่อสู้ (1)
ในห้องโถงหลักของวังมังกรทะเลประจิม หลี่ฉางโซ่วกำลังอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับความแปลกประหลาดของวิญญาณน้ำเต้าทั้งเจ็ดของเขาเหล่านี้อย่างฉะฉาน
ห่างจากร่างหลักของหลี่ฉางโซ่วไปเพียงไม่ถึงสิบจั้ง ขณะนี้ นอกจักรวาลเต็มไปด้วยน้ำทะเล ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่หรี่ตาพลางแย้มยิ้ม และในบางครั้ง เขาจะแอบสังเกตเทพธิดาอวิ๋นเซียวจากในระยะไกลอยู่ลับๆ
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กระตือรือร้นและมุ่งมั่นทุ่มเทให้กับการต่อสู้ครั้งนี้ ซึ่งเขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน…
แต่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็กำลังให้ความสนใจกับบางสิ่งที่แตกต่างออกไปเช่นกัน เขากำลังเฝ้าดูปฏิกิริยาของเทพธิดาอวิ๋นเซียว
หากอวิ๋นเซียวรู้สึกว่า หลี่ฉางโซ่วทำอะไรบางอย่างผิดและเข้าใจผิดว่าเขาใจร้อนโลดโผนเกินไป… ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็จะส่งข้อความเสียงเพื่อเตือนหลี่ฉางโซ่วทันทีว่าให้เผยความแข็งแกร่งอีกด้านหนึ่งของเขาที่ทำให้เกิดการระเบิดทางวิญญาณได้อย่างที่ระเบิดวิญญาณจั๊กจั่นทองในวันนั้น
แม้หลี่ฉางโซ่วจะดูน่าอนาถเล็กน้อยหลังจากถูกจินฉานจื่อไล่ล่ามาเป็นระยะทางหลายหมื่นลี้
แต่เมื่อค่ายกลใหญ่หยุดจินฉานจื่อได้แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ไม่ได้หันศีรษะหรือมองไปยังร่างที่อยู่ข้างหลังเขาในที่เกิดเหตุระเบิดเลย ในขณะนั้น เขายังออกจะดูเป็นคนอ่อนโยนและห้าวหาญอยู่สักหน่อยจริงๆ
นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด!
ทว่าในไม่ช้าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็พบว่าเขาคิดมากเกินไป
เวลานี้ ดวงตาของอวิ๋นเซียวเปล่งประกายสว่างขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าจะชื่นชมการกระทำของหลี่ฉางโซ่ว …โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อน้ำเต้าที่เกือบจะดูเหมือนของจริงปรากฏขึ้น อวิ๋นเซียวก็เผยรอยยิ้มบางออกมาอีกครั้งพร้อมด้วยดวงตาที่ฉายแววเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ดังนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จึงส่งข้อความเสียงกล่าวกับหลี่ฉางโซ่วว่า “เจ้าทำผลงานได้ไม่เลว ศิษย์น้องอวิ๋นเซียวชื่นชมเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่าเที่ยวไปหลอกคนจนเกินเหตุมากไปนัก ไม่เช่นนั้น เจ้าจะดูเป็นคนเหลวไหล ไม่น่าเชื่อถือได้”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที
นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ปกติหรือ? เบี่ยงเบนความสนใจศัตรู ขัดจังหวะรุกของศัตรู และบรรลุเป้าหมายในการถ่วงเวลาโดยไม่ต้องต่อสู้
ช่างมันเถิด ในเมื่อปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ข้าก็ควรเคารพความคิดเห็นของปรมาจารย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินด้วย
หลี่ฉางโซ่วหยุดไปชั่วคราว เขาคำนวณเวลาว่าเมื่อใดที่บรรดาปรมาจารย์จากวังมังกรทั้งสามจะมาถึงที่นี่และค่อยๆ ลงมาจากท้องฟ้า
เส้นผมยาวและแขนเสื้อของเขาพลิ้วสะบัดอยู่ในน้ำ ร่างของเขาถูกห่อหุ้มด้วยลมปราณเสวียนหวงบางเบาในขณะที่เขายืนอยู่ข้างหน้าเด็กทั้งเจ็ด
“ทุกคน” หลี่ฉางโซ่วตรวจดูศัตรูของเขาพลางยิ้มและกล่าวว่า “พวกเจ้าอยากลองความมหัศจรรย์แห่งเถาน้ำเต้าของข้าหรือไม่”
เพียงขณะที่อ๋าวฉื้อ ตัวเอกของเรื่องราวบุกพระราชวังในวันนี้กำลังจะกล่าวออกมา ก็มีเงาดำสองสามร่างพุ่งออกมาข้างๆ เขา เสื้อคลุมของพวกเขาถูกโยนทิ้งออกไป เผยให้เห็นร่างที่ดูหล่อเหลามีเสน่ห์จนน่าตื่นตะลึง
ร่างจำแลงของสัตว์ร้ายบรรพกาลล้วนเต็มไปด้วย ‘การหลอกลวง’
หลี่ฉางโซ่วยังคงเผยรอยยิ้มสงบ แม้ข้าศึกจะมีจำนวนมากกว่า แต่เขาก็ยังมีความมั่นใจอยู่บ้าง…
ใช่แล้ว เขาควรให้หน้าท่านปู่ใหญ่เจดีย์สักหน่อย ในขณะนี้เขามีความมั่นใจถึงเก้าสิบห้าในร้อยส่วน!
แม้สัตว์ร้ายจะดุร้าย แต่หลี่ฉางโซ่วก็เคยมีประสบการณ์ต่อสู้กับจินฉานจื่อมาก่อน และเขายังคุ้นเคยกับผู้บำเพ็ญเหวินจิง จึงพอรู้ว่าสัตว์ร้ายนั้นทรงพลังแข็งแกร่งเพียงใด สัตว์ร้ายบรรพกาลที่ถูกเต๋าสวรรค์ทอดทิ้ง
ขอบเขตพลังของพวกเขาถูกเต๋าสวรรค์ปิดผนึกเอาไว้มานานแล้ว ในสมัยโบราณนั้น ไม่มีทางที่พวกเขาจะก้าวไปสู่เต๋าใหญ่ได้ สิ่งที่ยากลำบากอย่างแท้จริงคือ “พลังวิเศษชีวิต” และ “พรสวรรค์เผ่าพันธุ์” ของสัตว์ร้ายเหล่านี้ มันคล้ายกับเวทหุ่นเชิดยุงโลหิตของผู้บำเพ็ญเหวินจิง และวิชาดูดเลือดและทำลายเถ้าธุลี
นอกจากนี้ยังมีวิชาหลบหนีเฉียนคุนตามธรรมชาติของจินฉานจื่อ และ “จักจั่นทองคืนคราบ” ที่ทำให้หลี่ฉางโซ่วประทับใจยิ่ง…ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ยากที่จะจัดการสัตว์ร้ายเหล่านี้ได้
ในขณะนั้น สัตว์ร้ายสองสามตัวในร่างมนุษย์ก็เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน…จะเห็นได้ว่าสัตว์ร้ายต้องการระเบิดศึกโดยไม่เปิดโอกาสให้หลี่ฉางโซ่วได้เอ่ยอันใดได้อีก
บัดนี้แม้พวกเขาจะลงมือจัดการ ทว่าก็ยังระแวดระวังภัยไม่หละหลวม ทั้งที่พวกเขาอยู่ห่างไปเพียงหนึ่งร้อยจั้งเท่านั้น แต่พวกเขาก็หยุดชะงักลงกลางคัน
ลำแสงสีดำสองสามสายและแอ่งน้ำสีดำตกลงมาบนศีรษะของหลี่ฉางโซ่ว ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วยังคงใจเย็นและสงบ เขายืนนิ่ง ครั้นเมื่อการโจมตีมาถึงเขา พวกมันก็ไม่อาจทำร้ายเขาได้แม้กระทั่งเส้นผมสักครึ่งเส้นเลย และน้ำสีดำนั้น ก็กลับกลายเป็นควันเมฆหมอกและระเหยหายไปในทันที
นี่คือระดับฐานพลังใดกัน?
สัตว์ร้ายสองสามตัวที่โจมตีและเหล่าปรมาจารย์ที่กำลังเฝ้ามองจากทางด้านหลังต่างก็อดจะตื่นตกใจไม่ได้ และเมื่อหลี่ฉางโซ่วต้านรับการโจมตีของพวกเขาได้ เขาก็เริ่มตอบโต้กลับแล้ว
การต่อสู้ไม่ใช่การต่อสู้ตัวต่อตัว ในบรรดาเด็กน้ำเต้าวิญญาณทั้งเจ็ดนั้น ตั้งแต่ต้าหวาจนถึงอู่หวา พวกเขาทั้งห้าคนในกลุ่มนั้น ได้ก้าวออกไปคนละทิศทาง!
ในเวลานั้น เสี้ยวพลังแห่งธาตุทั้งห้า ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และ ดิน ได้ปรากฏขึ้น และเด็กวิญญาณ หัวโต ตาโต ผมสั้น ทั้งห้าคน ก็ดูเหมือนว่า พวกเขาจะแสดงเวทหลบหนีที่แตกต่างกันออกมาห้าวิธีในทันที!
สัตว์ร้ายเหล่านั้นยิ้มเย็นชา แม้เวทหลบหนีนั้นจะรวดเร็ว แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ร่องรอย และย่อมเป็นไปได้… ที่จะค้นหา…
เป็นไปได้อย่างไรกัน?!
อักขระเต๋าที่หลงเหลืออยู่จากเวทหลบหนีห้าธาตุ ยังไม่สลายไป มีระลอกคลื่นบางเบาปรากฏขึ้นในจักรวาลภายในรัศมีสิบจั้งในขณะที่กลิ่นอายลมปราณของเด็กวิญญาณน้ำเต้าทั้งห้าหายไปหมดสิ้น!
นี่เป็นครั้งเท่าใดกันแล้วที่ได้ยินเสียงเข็มหล่นร่วงในห้องโถง[1]
แต่คราวนี้ เกิดความเงียบงันในเวลาไม่ถึงหนึ่งอึดใจ!
ทันใดนั้น มืออวบอ้วนห้ามือก็ปรากฏขึ้นข้างหลังสัตว์ร้ายเหล่านี้พร้อมๆ กันโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า แต่ละมือล้วนถือเข็มเงินเอาไว้หนึ่งเล่มแล้วแทงเข็มเงินนั้นเข้าที่คอของสัตว์ร้ายด้วยความเร็วปานสายฟ้า!
จากนั้น มืออวบอ้วนทั้งห้าเหล่านั้น ก็ถอยกลับไปทันทีและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เพียงได้ยินเสียงคำรามต่ำเล็กน้อย สัตว์ร้ายในร่างมนุษย์ห้าตัวแรกก็ระเบิดแสงเจิดจ้าออกมา หรือไม่ก็หันกลับมาและกระแทกหมัดของพวกมัน!
แต่สิ่งที่พวกมันจับได้ก็คือ ระลอกคลื่นเฉียนคุนบางเบาที่เป็นเฉกเช่นคลื่นน้ำ!
มีเพียงวิชาหลบหนีเฉียนคุนเท่านั้น!
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง… เด็กชายทั้งห้าคนที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อครู่นี้ ได้จับเข็มเงินและทิ่มแทงพวกเขาอย่างแรง…
ลมปราณร้อนแรงที่อธิบายไม่ได้แผ่พุ่งออกมาจากรูเข็มสัตว์ดุร้ายเหล่านี้ถูกเจาะ มันท่วมท้นจนกลืนกินร่างของพวกมันทั้งหมดในทันที โดยไม่เปิดโอกาสให้พวกมันต้านทานได้เลย!
ทันใดนั้นดวงตาของสัตว์ร้ายทั้งห้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดง แต่สีหน้าท่าทางของพวกมันนั้น… มีความหมายและไม่อาจอธิบายได้
“อืม…”
สัตว์ร้ายที่กลายร่างเป็นสตรีผู้หนึ่งกัดฟันและคำรามออกมาเบาๆ หน้าผากของมันถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อที่มีกลิ่นหอมในขณะที่ดวงตาของมันก็ค่อยๆ พร่ามัวทีละน้อย
ทันใดนั้น นางก็หันหลังกลับและบินออกไปจากวังพร้อมด้วยลมปราณของนางที่สั่นสะท้านไปทั่วร่าง
จากนั้นสัตว์ร้ายอีกสี่ตัวก็ตามไปทันที พวกมันไม่เอ่ยอันใดสักคำและหายไปจากประตูวังในพริบตา ความเร็วของพวกมันแต่ละตัวรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
เหล่ามังกรสองห้าและสัตว์ร้ายต่างก็มองหน้ากันด้วยความสับสน
หลี่ฉางโซ่วยิ้มสงบในขณะที่เด็กทั้งห้าคนตั้งแต่ต้าหวาจนถึงอู่หวาได้กลับมาอยู่ข้างๆ เขาและกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ เช่นเดิม
ภาพเหตุการณ์นี้แปลกและเข้าใจยากจริงๆ
ชั่วขณะนั้น กลุ่มสัตว์ร้ายบรรพกาลที่แต่เดิมมีความก้าวร้าว ก็เผยอาการที่คิดจะถอยหนีเมื่อได้ประจักษ์ถึง “พลังเวท” ของเทพแห่งท้องทะเลของศาลสวรรค์ผู้นี้
อ๋าวฉื้อสูดลมหายใจเข้าลึกและชูกระบี่ขึ้นในขณะที่เสื้อคลุมสีทองบนร่างของเขาเปล่งประกาย ในฐานะเป็นตัวเอก เขาต้องก้าวออกไปข้างหน้า จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “เทพวารีเก่งกาจจริงๆ แต่วันนี้ ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าทำลายโชคของเผ่ามังกรของข้า!”
กล่าวจบ อ๋าวฉื้อก็ได้ยินเสียงคำรามต่ำดังมาจากด้านนอกห้องโถง เมื่อแผ่ขยายสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปตรวจสอบ สีหน้าท่าทางของบรรดาปรมาจารย์เผ่ามังกรและสัตว์ร้ายบรรพกาลจำนวนมากมายก็เปลี่ยนไปทันที
สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือ ภาพเหตุการณ์ในน้ำทะเลที่อยู่ห่างไกลออกไปนั้น โกลาหลและยากจะอธิบายได้อย่างยิ่ง ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ ที่ยังคงอยู่ที่นั่นเมื่อครู่ก่อนนี้ บัดนี้ อยู่ในสภาพเลวร้ายสุดขีด ราวกับว่าเขาเสียสติไปแล้ว
หลี่ฉางโซ่วยืนนิ่งสงบและกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ทุกคน พวกเจ้าควรรู้ว่า ข้าเป็นคนของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน และข้ายังเก่งกาจในเต๋าหลอมโอสถอีกด้วย ก่อนหน้านี้ ข้าได้เตรียมการบางอย่างสำรองเอาไว้เพื่อสังหารจั๊กจั่นสีทองหกปีก ไม่นึกเลยว่า ข้าจะได้ใช้มันในวันนี้
ทุกคนไม่ต้องห่วง ข้ามีเพียงเข็มเงินหลายสิบเล่มที่ผสมพิษบุปผาแห่งความรักเท่านั้น หากเชื่อมั่นในตัวข้า ก็เพียงปล่อยให้ม้าเข้ามา[2] ลิ้มลองพิษสงของมันดู ทุกคนไม่ต้องกลัว ข้าเป็นเพียงเจ้าหน้าที่พลเรือนแห่งศาลสวรรค์ หาใช่แม่ทัพไม่”
เขากำลังพูดความจริง เข็มเงินเหล่านั้นมีไว้สำหรับจินฉานจื่อ แต่พวกมันก็ไร้ประโยชน์ ในตอนนี้ฤทธิ์โอสถของเข็มเงินเหล่านั้น ได้ถูกขับออกไปในทันที และไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ในขณะนี้แล้ว
พิษบุปผาแห่งความรักนั้นสกัดมาจาก “น้ำแห่งความรัก” ของโอสถปรารถนา ซึ่งมีอยู่เพียงนับสิบเท่านั้น และย่อมจะหมดลงหลังจากถูกใช้ไปแล้ว…
แต่ในยามนั้น ยิ่งหลี่ฉางโซ่วเฉยเมยมากเท่าใด ภาพเหตุการณ์ในระยะไกลก็ยิ่งวุ่นวายมากขึ้น และมีศัตรูมากขึ้นเท่านั้น…
เขาไม่กล้าจะเชื่อมัน
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งแอบสังเกตการณ์อยู่ กระตุกมุมปากในขณะที่เทพธิดาอวิ๋นเซียวอดจะเอามือลูบหน้าผากไม่ได้
ส่วนปู่ใหญ่เจดีย์ที่อยู่ในใจของหลี่ฉางโซ่วก็กำลังหัวเราะร่องอหายจนหายใจไม่ออก เขาทั้งหัวเราะและด่าว่าหลี่ฉางโซ่ว…
เมื่ออ๋าวฉื้อได้สติคืนกลับมา เขาก็กัดฟันแล้วตวาดว่า
“เหล่าผู้อาวุโสอยู่ที่ใดกัน!?!”
“องค์ชายอ๋าวฉื้อ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบ “นอกจากเรียกคนอื่นๆ ให้ก้าวไปข้างหน้าแล้ว เจ้ายังมีความสามารถอื่นๆ อีกหรือไม่?”
………………………………………………………………..
[1] หมายถึงเงียบกริบ ผู้คนตกตะลึงมากจนพูดไม่ออก
[2] หมายความในทำนองท้าทายว่าหากคิดว่าแน่จริง ก็เข้ามาเลย