ตอนที่ 658 คุณชายตระกูลสูงศักดิ์

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 658 คุณชายตระกูลสูงศักดิ์

ได้ยินเสียงชุนเถาเอ่ยทักไป๋จิ่นจื้อ ไป๋ชิงเหยียนจึงเงยหน้าขึ้นมองไปทางไป๋จิ่นจื้อที่ยืนอยู่ข้างฉากกันล้มลายทิวทัศน์แผ่นบาง ไป๋ชิงเหยียนคลี่ยิ้มออกมาบางๆ จากนั้นเอ่ยเรียก “เสี่ยวซื่อ…”

น้ำตาของไป๋จิ่นจื้อไหลพรากทันที หยาดน้ำตาไหลจากใบหน้าหยดลงบนคอเสื้อจนเปียกชื้น สาวน้อยคุกเข่าลงบนไม้หวงฮวาหลีสำหรับวางขาของไป๋ชิงเหยียน กอดเอวพี่สาวแน่น จากนั้นกล่าวเสียงสะอื้น “พี่หญิงใหญ่ ข้าตกใจหมดเลยเจ้าค่ะ!”

ไป๋ชิงเหยียนเอื้อมมือไปลูบศีรษะของไป๋จิ่นจื้ออย่างแผ่วเบา กล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่มิเป็นอันใด…”

แม้เห็นแล้วว่าพี่หญิงใหญ่ปลอดภัยดี ทว่า ไป๋จิ่นจื้อก็ยังร้องไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้ สาวน้อยกอดพี่หญิงใหญ่แน่นไม่ยอมปล่อยมือ

เมื่อเห็นไป๋จิ่นจื้อมาที่นี่ ไป๋ชิงเหยียนก็รู้ทันทีว่าซั่วหยางคงรับรู้เรื่องความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่ประตูอู่เต๋อและเรื่องที่นางได้รับบาดเจ็บหนักหมดแล้ว ไป๋ชิงเหยียนลูบศีรษะของไป๋จิ่นจื้อ กล่าวเสียงอ่อนโยน

“เจ้าทิ้งซั่วหยางมาทั้งอย่างนี้เลยหรือ”

ไป๋จิ่นจื้อเอาแต่ร้องไห้ ไม่ตอบสิ่งใดทั้งสิ้น เมื่อร้องไหจนพอใจแล้วสาวน้อยจึงเงยหน้าขึ้นมองไปทางไป๋ชิงเหยียนด้วยดวงตาแดงก่ำ จากนั้นกล่าวเสียงสะอื้น “ข้าฝากให้ไป๋ชิงผิงจัดการทุกอย่างแล้วเจ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้บอกเรื่องที่พี่หญิงใหญ่ได้รับบาดเจ็บให้ผู้อื่นรู้ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ยังไม่ทราบเรื่องนี้เจ้าค่ะ ข้าเดินทางมาที่เมืองหลวงโดยอ้างว่าเป็นห่วงกลัวว่าพี่หญิงใหญ่จะได้รับบาดเจ็บแล้วไม่ยอมบอกพวกเราจึงอยากมาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ”

ไป๋จิ่นจื้อกล่าวไม่หมด แม้ต่งซื่อจะเป็นห่วงไป๋ชิงเหยียน ทว่า นางไม่อนุญาตให้ไป๋จิ่นจื้อมาที่นี่คนเดียว ทว่า สาวน้อยกลับหนีมาเมืองหลวงโดยทิ้งจดหมายไว้เพียงฉบับเดียว ที่สำคัญสาวน้อยกล้าเดินทางมาโดยลำพังโดยไม่พาองครักษ์มาด้วยอีกต่างหาก

ไป๋ชิงเหยียนรับผ้าเช็ดหน้าจากมือชุนเถามาเช็ดน้ำตาให้ไป๋จิ่นจื้อ ทว่า หญิงสาวขยับแขนได้เพียงข้างเดียวจึงทำได้แต่เอ่ยสั่งชุนเถา “พยุงคุณหนูสี่ลุกขึ้น”

ชุนเถาเตรียมเข้าไปประคองไป๋จิ่นจื้อ ทว่า ไป๋จิ่นจื้อกลับกอดเอวของไป๋ชิงเหยียนไว้ไม่ยอมปล่อยราวกับเด็ก “ข้าไม่ลุก ไม่ลุกเจ้าค่ะ ข้าจะกอดพี่หญิงใหญ่เช่นนี้…”

ไป๋จิ่นจื้อตะโกนออกมา จากนั้นร้องไห้อีกครั้ง

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตลอดการเดินทางมาที่เมืองหลวง ไป๋จิ่นจื้อหนาวเหน็บไปทั้งร่างราวกับถูกคนผลักลงไปในบ่อน้ำแข็ง

ไป๋จิ่นซิ่วที่ออกไปปรุงยาให้ไป๋ชิงเหยียนเดินกลับเข้ามาในเรือนชิงฮุยก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของไป๋จิ่นจื้อ หญิงสาวยกยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้ นางแหวกม่านเดินเข้าไปด้านใน รับถาดอาหารสี่เหลี่ยมซึ่งมีถ้วยชาวางอยู่มาจากมือของชุยปี้ จากนั้นเดินอ้อมฉากกันลมเข้าไปด้านใน “ได้ยินเสียงร้องไห้ของเสี่ยวซื่อมาแต่ไกล…”

ไป๋จิ่นจื้อได้ยินเสียงของพี่หญิงรองจึงรีบใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาอย่างร้อนรน จากนั้นหันไปทำความเคารพไป๋จิ่นซิ่วอย่างเขินอาย “พี่หญิงรอง!”

“เจ้าไม่ต้องห่วง พี่หญิงใหญ่ไม่เป็นอันใดมาก พี่หญิงใหญ่เป็นคนจัดฉากเรื่องนี้เพื่อจะได้เดินทางกลับซั่วหยางได้อย่างราบรื่น ทว่า เจ้าห้ามลืมเด็ดขาดว่าต้องบอกกับคนภายนอกว่าพี่หญิงใหญ่สลบไม่ได้สติเป็นส่วนใหญ่” ไป๋จิ่นซิ่วกำชับไป๋จิ่นจื้อ จากนั้นนั่งลงบนเตียงพลางส่งยาให้ไป๋ชิงเหยียน “พี่หญิงใหญ่ ท่านหมอหงบอกว่าเปลี่ยนสูตรยาใหม่อาจจะขมสักหน่อย พี่หญิงใหญ่อดทนหน่อยนะเจ้าคะ”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า รับถ้วยยากระเบื้องสีขาวมา ใช้ช้อนคนยาเล็กน้อย จากนั้นมองไปทางไป๋จิ่นจื้อพลางเอ่ยถาม “เจ้าไปคาราวะท่านอาสะใภ้สองแล้วหรือไม่”

ไป๋จิ่นจื้อก้มศีรษะต่ำพลางส่ายหน้า ในหัวของนางเต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บของพี่หญิงใหญ่ เมื่อเข้ามาในจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วจึงมุ่งหน้ามาที่เรือนชิงฮุยก่อนเป็นอันดับแรก จะมีเวลาสนใจเรื่องอื่นได้อย่างไรกัน

เมื่อเห็นท่าทีของไป๋จิ่นจื้อ ไป๋ชิงเหยียนก็รู้ทันทีว่าเสี่ยวซื่อไม่ได้ไป หญิงสาวจึงกล่าวขึ้น “เจ้าไปทำความเคารพท่านอาสะใภ้สองแล้วไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่เสียก่อน ชุนเถาไปสั่งให้โรงครัวเตรียมอาหารให้คุณหนูสี่ด้วย!”

ไป๋จิ่นจื้อรับคำ ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา ก้มหน้าทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นซิ่ว จากนั้นเดินออกไปจากห้อง

ไป๋จิ่นจื้อยืนถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ที่ระเบียงทางเดิน โชคดีที่พี่หญิงใหญ่ปลอดภัยดี ไป๋จิ่นจื้อไม่กล้าจินตนาการว่าหากไม่มีพี่หญิงใหญ่ นางจะทำเช่นไร!

โชคดีที่พี่หญิงใหญ่ไม่เป็นอันใด

ไป๋จิ่นจื้อแอบใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาของตัวเองอีกครั้ง สาวน้อยสูดหายใจเข้าปอดลึก กำหมัดแน่น เงยหน้ายิ้มให้แสงอาทิตย์ที่สว่างจ้า รวบรวมสติเดินไปทำความเคารพท่านอาสะใภ้สอง

ไป๋จิ่นจื้อทำความเคารพฮูหยินสองเสร็จจึงกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ทว่า ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าสาวน้อยจะผล็อยหลับไปในอ่างน้ำ หลิวซื่อไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี นางสั่งให้หมัวมัวดึงตัวไป๋จิ่นจื้อขึ้นมา จากถังน้ำ เปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ไป๋จิ่นจื้อที่กำลังสะลึมสะลือ จากนั้นให้คนเช็ดผมให้สาวน้อยจนแห้งสนิทแล้ววางไป๋จิ่นจื้อลงบนเตียง

เมื่อหวงอาหรงหลานสาวของหมอหลวงหวงได้ข่าวว่าไป๋จิ่นจื้อมายังเมืองหลวง นางจึงมาหาไป๋จิ่นจื้อที่จวนไป๋ในช่วงบ่ายวันนั้นทันที

ตั้งแต่ที่ไป๋จิ่นจื้อกลับไปซั่วหยาง เพื่อนเล่นของหวงอาหรงก็น้อยลงทันที หวงอาหรงเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่อยู่เฉย บรรดาสตรีในเมืองหลวงต่างเติบโตกันหมดแล้ว สตรีส่วนใหญ่ต้องเรียนรู้วิชาของกุลสตรีอยู่แต่ในเรือน นอกจากไป๋จิ่นจื้อที่สามารถไปเล่นกับหวงอาหรงได้ทุกที่แล้ว หวงอาหรงไม่มีเพื่อนเล่นคนอื่นอีก

หวงอาหรงเล่าเรื่องสนุกที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงในช่วงที่ไป๋จิ่นจื้อไม่อยู่ให้ไป๋จิ่นจื้อฟังอย่างสนุกสนาน ไป๋จิ่นจื้อรับฟังอย่างตั้งใจเช่นเดียวกัน

“พวกคุณชายเจ้าสำราญต่างพากันติดตามหลู่หยวนเผิงและซือหม่าผิงไปเข้าร่วมกองทัพ ทว่า เพิ่งเดินทางออกจากเมืองไปได้ไม่ถึงสามวัน พวกเขาก็กลับมายังเมืองหลวงอย่างทนไม่ไหว! ที่นั่นคือกองทัพ ไม่ใช่บ้านของตัวเองเสียหน่อย ได้ยินว่าแม่ทัพของกองทัพโหดเหี้ยมมาก ใช้แส้ฟาดใส่พวกเขา พวกคุณชายเจ้าสำราญเหล่านั้นได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี จะทนแส้เช่นนั้นไหวได้อย่างไรกัน พวกเขาโดนโบยจนหน้าเป็นรอยกันหมด!” หวงอาหรงกล่าวอย่างเกินจริง

“ต่อมาล่ะ ต่อมาเป็นเช่นไรบ้าง หลู่หยวนเผิงโดนโบยจนหน้าลายเหมือนแมวหรือไม่ เขาอาละวาดขอกลับมาหรือไม่” ดวงตาทั้งสองข้างของไป๋จิ่นจื้อเป็นประกาย

“ครั้งนี้เจ้าเดาผิดแล้ว!” หวงอาหรงเล่าจนคอแห้ง สาวน้อยจงใจให้ไป๋จิ่นจื้ออยากรู้มากขึ้น แสร้งจิบชาอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นนั่งลงข้างกายไป๋จิ่นจื้อ “ต่อมา ข้าได้ยินท่านปู่เล่าว่ากองทัพใหม่กลุ่มนั้นเพิ่งเดินทางไปถึงเป่ยเจียง ฝ่าบาทก็ทรงมีรับสั่งให้พวกเขาเดินทางไปหนานเจียงทันที พวกขุนนางในเมืองหลวงต่างหาทางเรียกตัวลูกหลานของพวกเขากลับมาเมืองหลวง! มีเพียงหลู่หยวนเผิงที่พอได้ยินว่าจะได้ไปหนานเจียง เขาก็ยืนกรานแน่วแน่ว่าจะไป ซือหม่าผิงจึงตามไปด้วย!”

“หลู่หยวนเผิงโดยโบยแล้วยังไม่กลัวอีกหรือ” ไป๋จิ่นจื้อครุ่นคิด

“คงอยากโดนอีกกระมัง” หวงอาหรงหยิบเมล็ดทานตะวันขึ้นมา “ต่อมาก็ไม่ได้ข่าวของพวกเขาอีกแล้ว ทว่า ข้าได้ยินคุณชายเจ้าสำราญที่ได้เดินทางกลับมาเมืองหลวงบ่นว่าเสบียงอาหารในกองทัพไม่ใช่อาหารสำหรับคน เมล็ดข้าวเต็มไปด้วยก้อนกรวด แข็งจนฟันเกือบหัก หากกลืนลงไปอาจทำลายลำคอจนเป็นแผลได้เลย”

ไป๋จิ่นจื้อขมวดคิ้วแน่น “เมล็ดข้าวมีก้อนกรวดปนอยู่อย่างนั้นหรือ”

“ใช่นะสิ” หวงอาหรงส่ายหน้า “ข้าคิดว่าพวกคุณชายเหล่านี้คงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงอย่างสุขสบายจนเคยตัวจึงกล่าวเกินจริงไปหน่อย ยังบอกอีกว่าข้าวหนึ่งจานมีกรวดปนอยู่มากมาย หากเป็นเช่นนั้นจริง คุณชายสูงศักดิ์ที่รักสบายอย่างหลู่หยวนเผิงจะทนได้อย่างไรกัน เขาคงกลับมานานแล้ว! พวกเขาคงกลับว่าหากกลับมาเมืองหลวงก่อนแล้วจะเสียหน้าจึงกุเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา”

ไป๋จิ่นจื้อรู้สึกว่าแม้คุณชายเจ้าสำราญที่สนิทสนมกับหลู่หยวนเผิงกลุ่มนี้จะรักสบาย ทว่า พวกเขาหน้าไม่อายจนเคยชินแล้ว เหตุใดจึงต้องกุเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อรักษาหน้าของตัวเองด้วย