บทที่ 676 เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 676 เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว

บทที่ 676 เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว

“เหยาซู เจ้าดูสิ นี่คือความจริงใจจากตระกูลเจี่ยงของเรา”

เจี่ยงฉีนำรายการสินสอดทองหมั้นยื่นให้เหยาซูดู แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นสหายที่สนิทกันมาหลายปี แต่เจี่ยงฉีกลับไม่เคยคลุมเครือเรื่องสินสอดทองหมั้นแต่อย่างใด

ตอนนี้หลินซือและเจี่ยงเถิงมีความมั่นคงต่อกัน ทั้งสองคนถึงวัยที่ต้องออกเรือนแล้ว

หลินซือเป็นเด็กสาวที่เจี่ยงฉีเห็นมาแต่อ้อนแต่ออก ซึ่งหลินซือกลายเป็นลูกสาวที่นางโปรดปรานอยู่ในใจมาตลอด

เหยาซูดูรายการสินสอดอย่างจริงจัง ก่อนจะพับเก็บตามเดิมพร้อมกับพยักหน้าอย่างพอใจ ตอนนี้ทั้งสองคนได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว

“เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ความจริงใจของท่านพี่ข้ารับรู้ได้ ตอนนี้คงต้องหาเวลามาคุยเรื่องงานแต่งกันแล้วล่ะ”

เหยาซูและเจี่ยงฉีสบตาและยิ้มให้กัน ขณะเดียวกันสายตาของทั้งสองคนได้เหลือบมายังหลินซือและเจี่ยงเถิง

ครั้นหลินซือเห็นสายตาที่มองมาของมารดาและป้าเจี่ยง ใบหน้าจึงเปื้อนรอยยิ้มอย่างเขินอาย

เช้าวันนี้นางถูกพาตัวมายังจวนเจี่ยงกะทันหัน หลินซือได้รับรายงานว่าตนต้องมาคุยเรื่องงานแต่งงานกับเจี่ยงเถิงโดยไม่ทันตั้งตัว

ทุกอย่างนี้ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ครอบครัวสาวน้อยอย่างหลินซือยังไม่ทันได้เตรียมตัวดี จึงไม่ได้คล้อยตามสถานการณ์มากนัก

ตอนนี้นางได้ยินแค่เสียงของมารดาวนเวียนอยู่ข้างหู

“พวกเจ้าสองคนมีอะไรจะทำก็ไปทำเถิด มัวมากระซิบกระซาบระหว่างที่ผู้ใหญ่คุยกันอยู่ได้”

เหยาซูและเจี่ยงฉีไล่พวกเขาสองคนออกจากจวน ให้ออกไปอยู่ในโลกของพวกเขาสองคน กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น

ระหว่างที่หลินซือและเจี่ยงเถิงเดินไปตามถนนนั้น จู่ ๆ หลินซือก็รู้สึกว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ใบหน้าของนางค่อย ๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเอียงอายอย่างเงียบ ๆ

นางเป็นฝ่ายเปิดประเด็นหัวข้อสนทนากับเจี่ยงเถิงก่อน “ท่านได้ยินเรื่องที่เหยาเอ้อหลางถูกขังอยู่ในจวนแล้วสินะ”

เจี่ยงเถิงเอียงคอมองแก้มที่แดงระเรื่อของหลินซือ กระทั่งรู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองของนางช่างน่าสนใจยิ่งนัก

เขาตั้งใจยื่นมือออกไปคว้ามือของหลินซือไว้ จากนั้นก็วาดเขียนบางอย่างลงบนฝ่ามือของนาง เด็กสาวที่ไม่เคยถูกเนื้อต้องตัวเช่นนี้กับชายใดมาตั้งแต่เด็ก

ใบหน้าของนางจึงยิ่งแดงเป็นลูกตำลึง กระทั่งแสดงออกถึงกิริยาที่งดงาม และน้ำเสียงกระเง้ากระงอด

“ท่านทำอะไรของท่าน!”

“ต่อไปก็ต้องเป็นสามีภรรยากันแล้ว ฮูหยินยังทนการหยอกเย้าเช่นนี้ไม่ได้รึ”

เจี่ยงเถิงตั้งใจเรียกหลินซือว่าฮูหยิน พาให้ใบหน้าของเด็กสาวร้อนผ่าวและแดงระเรื่ออย่างที่คาดการณ์ไว้

ชายหนุ่มส่งเสียงไอเบา ๆ ไม่ได้หยอกเย้านางอีก จากนั้นก็กลับมาสู่หัวข้อเดิมอีกครั้ง

“เจ้าว่ามาสิว่าทำไมเหยาเอ้อหลางถึงถูงขังไว้ในจวน”

“จะฝีมือใครเสียอีก ถ้าไม่ใช่เพราะท่านป้าสะใภ้รองและท่านลุงสมรู้ร่วมคิดกัน ทั้งสองคนเป็นกังวลเรื่องงานแต่งของเหยาเอ้อหลางมาก จึงได้ขังเขาไว้ในจวน”

เหยาเอ้อหลางถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้ว แต่เขาไม่เคยชอบพอกับใคร ป้าสะใภ้รองเล็งเห็นว่าบุตรชายของตัวเองจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ย่อมรู้สึกผิดอยู่ในใจเป็นธรรมดา

“คนเรามันขังกันไม่ได้หรอก นับประสาอะไรกับผู้ที่รักอิสระเช่นนั้น”

“แต่ตอนนี้เหยาเอ้อหลางถูกขังอยู่ในจวน ไม่ได้ออกไปไหน ทำอะไรก็ไม่ได้”

นิสัยของคนตระกูลเหยาเหมือนกันไม่มีผิด หัวรั้นไม่ยอมแพ้กันง่าย ๆ

เจี่ยงเถิงเข้าใจเหยาเอ้อหลางดี ถ้าสะใภ้รองเหยายังดื้อดึงกักขังอีกฝ่าย คาดว่าพอถึงทางตันทุกอย่างจะกลับตาลปัตรเป็นแน่

เรื่องการแต่งงาน ถ้าบีบบังคับเกินไปสุดท้ายมันจะไม่มีความสุข

ระหว่างที่คุยกัน เจี่ยงเถิงได้จูงมือที่เนียนละเอียดดุจหยกขาวของหลินซือตลอดเวา

ทั้งสองคนเพิ่งเคยมาเดินอยู่บนถนนกันอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก ชาวบ้านในหมู่บ้านที่รู้จักทั้งสองคน ต่างทยอยกันเข้ามาแสดงความยินดี

ข่าวที่ทั้งสองคนหมั้นหมายกันแพร่สะพัดออกไปนานแล้ว ละแวกบ้านที่เห็นพวกเขาเติบโตมาตั้งแต่เยาว์วัยต่างเข้ามาอวยพรกันยกใหญ่

“อื้อ ในที่สุดคุณชายตระกูลเจี่ยงก็ได้หญิงงามมาครอบครอง”

“ดูสิหลินซือและคุณชายตระกูลเจี่ยงของเราช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก เหมือนคู่สร้างคู่สมที่ฟ้าเบื้องบนประทานมาให้”

“เอ้อเป่าของเรางดงามเช่นนี้ไง ถึงได้เสียเปรียบคนยังเจ้า!”

เสียงแสดงความยินดีที่ดังขึ้นข้างหูทำให้คนหน้าบางอย่างหลินซือเขินอายอย่างมาก เปรียบเทียบกับเจี่ยงเถิงเขากลับเชิดหน้ายืดอกรับคำอวยพรเหล่านั้นด้วยความภูมิใจ

“ขอบคุณมาก วันแต่งงานจะถูกกำหนดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เรียนเชิญลุงป้าน้าอาทั้งหลายมาร่วมแสดงความยินดีกันในจวนนะขอรับ”

“แน่นอน!”

“เรารอจะไปดื่มฉลองที่งานแต่งในจวนของเจ้าอยู่แล้ว”

เขาจูงมือของหลินซือเดินทะลุตรอกซอยและถนนใหญ่ สุดท้ายก็พาหลินซือมายังร้านเครื่องประดับเงินและทองแห่งหนึ่ง

“อาซือ เข้าไปเลือกปิ่นที่เจ้าชอบเสียสิ นั่นคือของขวัญหมั้นจากข้า”

หลินซือจ้องเขม็งไปยังชายหนุ่มตรงหน้า แล้วส่ายหน้าทันที

“ในรายการสินสอดก็มีของขวัญมากมายแล้ว ข้าไม่ต้องการของสิ่งอื่นแล้วเจ้าค่ะ”

นางคว้ามือของเจี่ยงเถิงแล้วเตรียมเดินออกไปข้างนอก แต่ชายหนุ่มกลับยืนอยู่ที่เดิม กระทั่งดึงตัวนางกลับเข้ามาในอ้อมกอด

ร่างสูงโปร่งในวัยเติบใหญ่ของเจี่ยงเถิงยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสูงกว่าหลินซือไปหนึ่งศีรษะ

เขาหลุบตามองต่ำ แล้วสอดประสานเข้ากับสายตาของเด็กสาวที่ตัวเล็กกะทัดรัดตรงหน้า

“นั่นคือความรักที่ท่านแม่มีต่อเจ้า และเป็นความจริงใจที่ตระกูลเจี่ยงตั้งใจไปสู่ขอเจ้า แต่นี่เป็นของขวัญที่สามีต้องมอบให้กับความรักของเราทั้งสองคน”

เขาจูงมือของหลินซือ แล้วเดินมาตรงหน้าตู้วางสินค้า

“ขอดูเครื่องประดับที่ดีที่สุดของเจ้า”

“เจ้าค่ะ! คุณชายโปรดรอสักครู่”

เจ้าของร้านยกเครื่องประดับในร้านออกมา แล้ววางเรียงรายอยู่ตรงหน้าของพวกเขา

หลินซือมองเครื่องประดับเงินและทองที่ส่องแสดงระยิบระยับแวววาวตรงหน้า ทำเอานางถึงกับเลือกไม่ถูก

นางเบนสายตาขอความช่วยเหลือไปยังชายหนุ่มที่อยู่ข้างกาย เจี่ยงเถิงจับมือของนางไว้ พร้อมกับเบี่ยงสายตาไปที่โต๊ะ

เขาหยิบปิ่นปักผมลายบุปผาอันหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็ปักลงบนมวยผมของนาง

เจี่ยงเถิงคลี่ยิ้มอย่างพึงใจ “งดงามมาก”

หลินซือดึงออกอย่างเกรงใจ แล้วเลื่อนไปตรงหน้าของเจ้าของร้าน ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

“เอาอันนี้เจ้าค่ะ”

สายตาของนางไม่กล้ามองวอกแวกอย่างอื่น เจี่ยงเถิงประคองใบหน้าของนาง สายตาของทั้งสองคนสบกันอยู่กลางอากาศ

“อาซือ เลือกอีกสิ”

“ไม่เลือกแล้ว อันเดียวก็พอ”

เจี่ยงเถิงวางมือของนาง แล้วทำการเลือกกำไลคู่หนึ่งมาใส่บนมืออีกข้างของอาซือ

หลินซือจำสิ่งที่เจี่ยงเถิงเอ่ยในวันนี้ได้ กำไลหนึ่งวงจะกักขังชีวิตของนาง กักขังหัวใจของนางไว้ตลอดไป ให้นางไปไหนไม่ได้ และหลีกหนีไม่พ้น

ระหว่างทางส่งนางกลับจวน หลินซือได้มองกำไลบนข้อมือของตัวเอง แยกจากกันเพียงครู่เดียว ในใจก็ยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่เลือนราง

เจี่ยงเถิงมองเห็นถึงภายในจิตใจของนาง จึงยื่นมือออกไปแตะแก้มของนางอย่างแผ่วเบา

“อย่าเศร้าสิ เดี๋ยวเจ้าก็ต้องออกเรือนมาอยู่ในจวนข้าแล้ว ต้องเจอกันทั้งวันทั้งคืน”

หลินซือที่ถูกเดาใจออก ใบหน้าจึงยิ่งแดงก่ำเป็นทวีคูณ

นางเป็นฝ่ายคว้ามือของเจี่ยงเถิงก่อน นัยน์ตาฉายแววจริงใจ

“เราจะอยู่ด้วยกันไปตอลดชีวิตได้ใช่ไหม? เหมือนกับท่านพ่อและท่านแม่?”

“ได้ ได้แน่นอน”

ครั้งแรกที่เจอกับหลินซือ เขาได้ทำการตัดสินไว้ในใจแล้ว

เจี่ยงเถิงยื่นมือออกไปหยิบกลีบดอกไม้บนศีรษะของนางออก แล้วเป่ามันย่างแผ่งเบา

หัวใจของสาวน้อยเหมือนถูกปัดเป่าไปด้วย เจี่ยงเถิงกระชับสาวน้อยเข้ามาในอ้อมกอด แล้วกระซิบข้างหูของนางด้วยเสียงแผ่วเบา “ฮูหยินอย่าร้อนใจ นี่ยังไม่เข้าหอเลยก็อาลัยอาวรณ์ข้าแล้ว คงจะชื่นชอบข้ามากนักสิ?”

“เหลวไหล!”

กำปั้นของหลินซือได้ทุบลงมาบนแผงอกของเขา ประตูเรือนก็ถูกเปิดออก หลินซือเหมือนเด็กที่แอบกินลูกกวาดในห้องเรียน นางรีบผละออกจากอ้อมกอดของเจี่ยงเถิง แล้ววิ่งกลับจวนทันที

เด็กสาวยืนมองเจี่ยงเถิงจากหน้าประตู ก่อนจะยกมือโบกไล่เขา

“ท่านรีบกลับไปได้แล้ว ปิ่นปักผมที่ท่านให้ข้า ข้าจะใส่มันในวันออกเรือน”

“ห้ามถอดกำไลนั้นเด็ดขาด”

“รู้แล้ว”

ทั้งสองคนสบตากัน อาซือมองไปยังแผ่นหลังของเจี่ยงเถิงที่หายลับไปท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง มันช่วยเติมเต็มควานหวานเยิ้มอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในใจ