บทที่ 542 ให้รางวัล

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 542 ให้รางวัล

เป็นที่ประจักษ์ว่าจิ้งคงนั้นยังคงอ่อนประสบการณ์เกินกว่าจะเอาชนะพี่เขยตัวแสบ

เซียวเหิงแค่แกล้งเขานิดหน่อย ไหนๆ ก็เด็ดดอกไม้ไปแล้ว ทิ้งไปน่าเสียดายแย่

เซียวเหิงเก็บดอกไม้นั้นขึ้นมา แล้วยื่นให้เขา “อ่ะ มันไม่มีพิษหรอก ข้าแค่หลอกเจ้าเล่น”

จิ้งคงมองดอกไม้ด้วยสายตาเคลือบแคลง ไม่ได้ยื่นมือรับมันมาแต่อย่างใด

คำพูดของพี่เขยตัวแสบไร้ความน่าเชื่อถือไปหมดแล้ว จิ้งคงไม่เชื่อเขาแล้ว

เซียวเหิงเลยจำต้องถือดอกไม้นั้นแทน เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าตัวเล็กไปเด็ดดอกไม้มั่วซั่วอีก

ตลอดทางเดิน จิ้งคงเอาแต่จับสังเกตพี่เขยตัวแสบ สักพักก็มองที่มือของเขา สลับกับจ้องไปที่ใบหน้าของเขา

“มีอะไรรึ เอาแต่มองข้าอยู่ได้” เซียวเหิงถาม

“ข้ากำลังดูว่าหน้าของเจ้าจะคล้ำขึ้นหรือไม่” จิ้งคงพูดตามที่คิด

เซียวเหิง “…”

จนกระทั่งพวกเขาเดินมาถึงตำหนักเหรินโซ่ว จิ้งคงก็ยังไม่เห็นว่าพี่เขยตัวแสบจะมีอาการถูกพิษตรงไหน ถึงได้ยอมคว้าดอกไม้มาไว้กับตัวเอง

ด้วยความที่เซียวเหิงทำงานทั้งในสำนักฮั่นหลินและกรมยุติธรรมทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายๆ คน และเขาไม่สามารถเดินเหินในวังได้อย่างสะดวกสบายเหมือนแต่ก่อน จึงต้องใช้จิ้งคงมาเป็นข้ออ้างในการเข้ามาในวัง

ส่วนจิ้งคง แม้ปากจะบอกว่าไม่อยากมาวัง แต่พอเข้ามาจริงๆ ก็ดูจะมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว

“สวัสดี ท่านพี่เฝ่ยชุ่ย!”

“สวัสดี ท่านพี่เจินจู!”

จิ้งคงทักทายนางข้าหลวงทุกคนที่ประจำตำหนักเหรินโซ่ว ก่อนจะเข้าไปหาท่านย่า

ช่วงนี้สถานการณ์ของจวงไทเฮาไม่ค่อยสู้ดีนัก เป็นเพราะกังวลเรื่ององค์หญิงหนิงอันมากเกินไปจนร่างกายอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่หวงฝู่เสียนออกไป จวงไทเฮามักจะมีอาการใจลอยเป็นเวลานาน

วันนี้ตอนช่วงกลางวัน หวงฝู่เสียนมาที่นี่ กินอะไรซักพักจากนั้นก็ออกไป

ขณะที่จวงไทเฮานั่งลงตรงข้างหน้าต่างและทอดสายตาไปยังสวน จู่ๆ ก็มีหัวกลมๆ โผล่มาจากทางด้านนอกหน้าต่าง

“ท่านย่า!”

“เจ้าอีกแล้วรึ” จวงไทเฮาเบิกตากว้าง

“ข้าขอมอบดอกไม้แสนสวยนี้ให้แก่ท่านย่าผู้งดงามของข้า!” จิ้งคงเขย่งเท้าแล้วยื่นดอกไม้ให้

จวงไทเฮาถึงกับเลิกมุมปากขึ้น

เจ้าตัวเล็กนี่ก็พูดเกินไป

จวงไทเฮาคว้าดอกโบตั๋นมาพร้อมเอ่ย “เจ้าไปขโมยดอกไม้ขององค์หญิงซิ่นหยางมาอีกแล้วสินะ”

จิ้งคงเอามือไขว้หลังพร้อมกับทำสีหน้าจริงจัง “ข้าเอามาจากพี่เขยตัวแสบต่างหาก!”

เขาไม่ได้พูดโกหก เขาหยิบมันมาจากพี่เขยตัวแสบจริงๆ !

แม้เขาจะเป็นคนเด็ดดอกไม้ก็ตาม

มีหรือจวงไทเฮาจะไม่รู้ทัน

จวงไทเฮากระแอมหนึ่งที พลางมองไปที่ดอกโบตั๋นสีสด พร้อมกับเอ่ยว่า “เหตุใดจู่ๆ ถึงนึกอยากจะให้ดอกไม้ขึ้นมาล่ะ ”

จิ้งคงถอนหายใจ “แหม ก็ไม่มีอะไรหรอก พี่เขยตัวแสบบอกข้าว่าดอกไม้นี้มันมีพิษ ข้าก็เลยเอามันให้เจียวเจียวไม่ได้น่ะสิ”

จวงไทเฮา “…”

พอถึงตำหนักเหรินโซ่ว เซียวเหิงไม่ได้ไปหาท่านย่า แต่ไปหาฉินกงกงก่อนอย่างแรก

“สถานการณ์ของไทเฮาช่วงนี้น่ะนะ…” พอฉินกงกงรู้ว่าเซียวเหิงต้องการถามข่าวคราวเรื่องจวงไทเฮา เขาก็ตอบไปตามความจริง “พูดตามตรง ไม่ค่อยสู้ดีขอรับ องค์หญิงหนิงอันใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่ที่ชายแดนเป็นเวลานับหลายปี พอไทเฮาได้เห็นสภาพตอนที่องค์หญิงกลับมาก็ทรงปวดพระทัยยิ่งนัก…โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์ชายเสียนเอ๋อร์…ทรงยังพระเยาว์นักแต่กลับต้องเจอเรื่องเช่นนั้น…แล้วยิ่งองค์ชายทรงเป็นเด็กที่มีอุปนิสัยประหลาด ไทเฮาก็ทรงยิ่งกังวล…”

ตั้งแต่หวงฝู่เสียนย้ายเข้ามาอยู่ในวังก็ก่อวีรกรรมไม่หยุดหย่อน เริ่มจากที่เขากลั่นแกล้งฉินฉู่อวี้ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้า ไม่นานก็ไปแกล้งบุตรชายสองคนของพระสนมจวงจนร้องไห้ จนกลายเป็นว่าเรื่องที่เขานั้นไม่ยอมทำความเคารพฮองเฮารวมถึงชักสีหน้าใส่พระสนมคนอื่นๆ นั้นกลายเป็นเรื่องเบาไปเลย

ประเด็นคือเขาจะไม่ยอมรับผิดเป็นอันขาดเวลาเกิดเรื่องขึ้นแล้วมีคนไปฟ้องฝ่าบาท!

“เลี้ยงเด็กยังไงให้โตมาเป็นแบบนี้ไปได้” ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ในสายตาของฉินกงกง หวงฝู่เจิงคือคนที่สมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง “เด็กคนนี้ช่างมีนิสัยใจคอ…แค่กๆ ”

พอฉินกงกงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเกือบพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดจึงรีบขัดคอตัวเอง

เซียวเหิงตอบเขาพลางคิดเสียว่าไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด “เช่นนั้น ข้าขอไปเยี่ยมไทเฮาก่อน”

เขาเดินมาที่หน้าห้องทรงงานของไทเฮา จากนั้นยื่นมือตบไหล่เจ้าตัวเล็ก “ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับท่านย่าน่ะ เจ้าออกไปเล่นก่อนไป”

“อ้อ งั้นข้าไปก่อนนะท่านย่า!” จิ้งคงโบกมือก่อนจะเดินออกไป

เซียวเหิงอยู่ในห้องทรงงานของไทเฮา ขณะที่เจ้าตัวเล็กมุ่งหน้าไปยังตำหนักคุนหนิงเพื่อไปหาฉินฉู่อวี้

จากบทเรียนครั้งก่อน คราวนี้ทั้งสองคนตัดสินใจที่จะไปไปทางตำหนักปี้สยาอีก

“พวกเราไปให้อาหารปลากันเถอะ!” จิ้งคงพูดขึ้น

ในวังมีบ่อน้ำไท่เยี่ยซึ่งมีปลาจิ๋นหลี่อยู่จำนวนไม่น้อย แต่ละตัวทั้งอวบทั้งอ้วนชวนให้เพลินตา

แต่ฉินฉู่อวี้กลับไม่ออกอาการตื่นเต้นแม้แต่นิด

“เป็นอะไรไป ไม่ดีใจรึ” จิ้งคงเอ่ยถามอย่างกังวล

ฉินฉู่อวี้ถอนหายใจพร้อมกับเดินไปทางสวนดอกไม้ “สุนัขของข้าไม่อยู่แล้ว”

“เหตุใดถึงไม่อยู่แล้วล่ะ” จิ้งคงไม่เข้าใจ

ฉินฉู่อวี้เอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “คราวก่อนเสด็จแม่บอกว่าเป็นเพราะเจ้าสุนัขวิ่งมั่วซั่วทำให้ข้าต้องไปเผชิญหน้ากับหวงฝู่เสียน เลยถูกหวงฝู่เสียนรังแก เสด็จแม่ก็เลยไม่ให้ข้าเลี้ยงมันไว้”

เรื่องนี้ทำให้จิ้งคงนึกถึงสัตว์เลี้ยงของตัวเอง “ที่จริง ไก่กับนกของข้าก็ชอบก่อเรื่องเหมือนกัน จำได้ไหมคราวก่อนที่เสี่ยวจิ่วเกือบทำเจ้าเจ็บน่ะ”

แต่ไม่ยักกะเห็นเจียวเจียวจะห้ามเขาเลี้ยงมันไว้นี่นา

เจียวเจียวเป็นคนดีจัง

น่าสงสารฉินฉู่อวี้

จิ้งคงพยายามปลอบเขา “ถ้าเจ้าชอบสุนัขขนาดนั้น ครั้งหน้าไปที่เรือนของข้าสิ ข้าจะให้เจ้าเล่นกับเสี่ยวปาของท่านพี่เหยี่ยน”

“ข้าต้องการสุนัขของข้า” ฉินฉู่อวี้ไม่พอใจ

ทันใดนั้น จิ้งคงก็หยุดฝีเท้าลงพร้อมกับพูดขึ้น “เอ๋ ฟังเสียงนั่นสิ!”

“ฟังอะไร” ฉินฉู่อวี้ทำหน้าฉงน

“สุนัขของเจ้ายังไงล่ะ!” จิ้งคงเอ่ยอย่างมั่นใจ

ฉินฉู่อวี้มองไปรอบทิศ “อยู่ที่ไหน ไม่เห็นมีเลย”

“แต่ข้าได้ยินนะ!” จิ้งคงชี้นิ้วไปทางต้นเสียง “มาจากตรงนั้น!”

เด็กทั้งสองวิ่งไปทางด้านหลังภูเขาหินเล็กๆ พอมาถึงที่ พวกเขาก็เจอกับสุนัขของฉินฉู่อวี้จริงๆ เพียงแต่ภาพที่พวกเขาเห็นแตกต่างจากที่พวกเขาจินตนาการไว้

พวกเขาเจอกับหวงฝู่เสียน!

หวงฝู่เสียนนั่งบนรถเข็นอย่างโดดเดี่ยว ขาของเขาถูกคลุมด้วยผ้าห่มหนาเช่นเคย และดูเหมือนสุนัขของฉินฉู่อวี้กำลังนอนอยู่บนผ้าห่มผืนนั้น

ร่างของเจ้าสุนัขตัวนั้นเต็มไปด้วยเลือด ราวกับถูกโยนทิ้งหรือถูกทารุณกรรมมา

ภาพที่พวกเขาเห็นคือหวงฝู่เสียนใช้มือข้างหนึ่งคว้าที่ลำคอของมันและกำลังพยายามป้อนอะไรบางอย่างให้มัน

เจ้าสุนัขร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด แต่หวงฝู่เสียนกลับไม่แสดงความเมตตา ยังคงบังคับให้เจ้าสุนัขอ้าปากให้ได้

การกระทำเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย

วินาทีนั้น เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่พิการอีกต่อไป แต่เป็นปีศาจที่แสนอำมหิต

ฉินฉู่อวี้ไม่เคยเห็นคนที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน เขากลัวมากจนเข่าอ่อนล้มลงกับพื้นและผวาเสียจนลืมส่งเสียงกรีดร้อง

จิ้งคงเองก็ไม่ต่างกัน ดวงตาของเขาเอาแต่จับจ้องภาพคนกับสุนัขบนรถเข็น

หวงฝู่เสียนที่เริ่มเอะใจว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว ก็ค่อยๆ เอี้ยวตัวหันไปมองพร้อมกับแววตาอันดุร้ายเช่นเหยี่ยวในเงามืด

“อ๊ากกก”

ในที่สุด ฉินฉู่อวี้ก็เปล่งเสียงร้องตะโกนด้วยความตกใจออกมา

ฉินฉู่อวี้ยังเล็กนักจึงรับไม่ได้กับภาพตรงหน้า เนื้อตัวของเขาสั่นเกร็ง พยายามคลานไปข้างหน้าเพื่อลุกหนี พร้อมตะโกน “ช่วยด้วย ช่วยด้วย มีคนฆ่าสุนัข—”

แล้วเขาก็วิ่งหนีไป

จิ้งคงยังอยู่ที่เดิม

หวงฝู่เสียนส่งสายตาประหลาดใจไปทางเจ้าตัวเล็กพร้อมเอ่ยถามอย่างประชดประชันว่า “ไม่วิ่งหรือ เจ้าตัวเล็ก”

จิ้งคงมองเขานิ่งๆ สลับกับสุนัขที่อยู่บนตักของเขา ไม่รู้ว่ากำลังลังเลหรือว่าอะไร แต่ท้ายที่สุด จิ้งคงก็ตัดสินใจวิ่งตุ๊บๆ ออกไปอยู่ดี!

“หึ”

หวงฝู่เสียนเย้ยหยันพร้อมกับแสยะยิ้ม

ขณะที่เวลาประชุมราชสำนักกำลังใกล้เข้ามา ฮ่องเต้ได้เรียกเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารไปที่ห้องทรงงานเพื่อหารือกับพวกเขาเกี่ยวกับการให้รางวัลแก่วีรบุรุษแห่งป้อมปราการชายแดน

ถังเย่ว์ซานผู้เป็นจอมพลของทหารม้าอยู่แล้ว และตำแหน่งทางการของเขาก็ไม่สามารถเลื่อนขึ้นได้ ฮ่องเต้เลยวางแผนที่จะมอบตำแหน่งขุนนางให้แก่เขา

ส่วนกู้ฉังชิง ผู้เป็นทายาทของติ้งอันโหวได้รับคำสั่งให้จัดระเบียบกองทัพของตระกูลกู้ใหม่เมื่อเขาตกอยู่ในอันตรายและขึ้นเหนือเพื่อเอาชนะศัตรู การมีส่วนร่วมของเขานั้นขาดไม่ได้ และฮ่องเต้ก็ทรงวางแผนที่จะเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็น นายพลติ้งเป่ยระดับสาม

ครั้งนี้เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากระดับหกเป็นระดับสาม เรียกได้ว่าเป็นขุนพลที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเร็วที่สุดในรัชสมัยของจักรพรรดิพระองค์นี้

ขณะที่กู้เฉิงเฟิงก็แสดงความสามารถในการต่อสู้ได้ดีที่เมืองเย่ว์กู่ ฮ่องเต้จึงตัดสินใจมอบตำแหน่งนายพลเย่ว์ฉีให้เขา

นอกจากนี้ นายทหารคนอื่นๆ ก็จะได้รับรางวัลเช่นกัน

เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างก็ไม่มีความเห็นใดๆ

ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งมาถึงตอนที่ฮ่องเต้จะมอบรางวัลให้กู้เจียวและองค์หญิงหนิงอัน

ด้วยความที่กู้เจียวยังไม่ยอมรับว่าตนเป็นบุตรสาวของติ้งอันโหว ดังนั้นฮ่องเต้จึงตั้งใจที่จะให้รางวัลแก่นางในนามของโรงหมอเมี่ยวโส่วถัง

จึงทรงมอบโล่รางวัลหมออันดับหนึ่งของแคว้น อีกทั้งมอบตำแหน่งองค์หญิงให้แก่นางโดยมีสำนักฮั่นหลินเป็นผู้กำหนดชื่อให้

ทันใดนั้นเอง หนึ่งในคณะขุนนาง นามว่าสวีซื่อก็ได้แย้งขึ้น “ทูลฝ่าบาท ท่านหมอกู้เป็นเพียงแพทย์หญิง แม้ว่านางจะเสียสละรักษาทหารอย่างสมเกียรติ แต่ตำแหน่งองค์หญิงอาจไม่คู่ควรกับนางพ่ะย่ะค่ะ”

สวีซื่อเป็นคนของราชครูจวง

ซึ่งวันนี้ราชครูจวงลาป่วย จึงไม่ได้เข้าร่วมประชุม

ฮ่องเต้มองเขาด้วยสายตาไม่พอพระทัย “เหตุใดเจ้าถึงไม่เห็นด้วย รู้ใช่ไหมว่านางช่วยชีวิตคนได้มากถึงเพียงไหน”

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิได้ปฏิเสธผลงานของท่านหมอกู้แต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมแค่คิดว่าพระองค์สามารถให้รางวัลอื่นแก่นางได้ อย่างการที่พระองค์พระราชทานโล่รางวัลให้ก็นับว่าพระทัยกว้างมากอยู่แล้ว และดูจะมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ หากจะยังทรงมอบตำแหน่งองค์หญิงให้นางอีก กระหม่อมเกรงว่าจะเป็นการผิดระเบียบแบบแผนที่มีมาแต่ช้านานพ่ะย่ะค่ะ”

สวีซื่อประสานมือของเขาพร้อมเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ กระหม่อมคิดว่ายังมีอีกคนที่ควรได้รับรางวัลมากกว่าท่านหมอกู้พ่ะย่ะค่ะ”

“หึ เจ้าพูดถึงใครรึ” ฮ่องเต้ตรัสถาม

สวีซื่อตอบกลับด้วยท่าทีแข็งขัน “องค์หญิงหนิงอันพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงปลิดชีวิตพระสวามีอย่างชอบธรรม อีกทั้งทรงช่วยบุตรชายรองและเหล่าโหวของตระกูลกู้ อีกทั้งทรงบอกที่อยู่ฐานทัพลับของศัตรูให้แก่ผู้บัญชาการกองทัพตระกูลกู้ ถ้าไม่ใช่เพราะไหวพริบและความกล้าหาญขององค์หญิง กองทัพตระกูลกู้อาจไม่สามารถออกจากภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะได้ องค์หญิงหนิงอันทรงมีคุณูปการอย่างมากในสงครามครั้งนี้ ดังนั้นกระหม่อมจึงขอเสนอให้องค์หญิงทรงรับตำแหน่งองค์หญิงผู้พิทักษ์พ่ะย่ะค่ะ!”

องค์หญิงผู้พิทักษ์แห่งแคว้นเจาไม่สามารถแต่งตั้งขึ้นได้ตามอำเภอใจ เพราะนั่นเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจเทียบเท่ากับองค์ชายได้เลยทีเดียว!