บทที่ 677 แย่งชิงตำแหน่งอริยะ อารมณ์เปลี่ยนแปลง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 677 แย่งชิงตำแหน่งอริยะ อารมณ์เปลี่ยนแปลง

ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งพันปี

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น อารมณ์เบิกบาน

หลังจากบรรลุระดับเบิกฟ้าเสรีระยะปลาย เขายังจำเป็นต้องมุ่งมั่นฝึกบำเพ็ญอย่างต่อเนื่อง พยายามพิสูจน์มหามรรคให้ได้ในเร็ววัน

ต้องกล่าวเลยว่า พรสวรรค์ของเทพมารอนธการนั้นน่าหวาดหวั่นจริงๆ แม้จะบรรลุถึงระดับเช่นนี้แล้ว เขาก็ยังคงรับรู้ได้ถึงความก้าวหน้าของตัวเอง

หานเจวี๋ยลุกขึ้นยืน มุ่งหน้าไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

หลายปีก่อน จอมอริยะเสวียนตูเคยแจ้งให้เขาทราบแล้ว นัดหมายว่าหลังจากเขาสิ้นสุดการปิดด่านให้ไปชุมนุมที่ตำหนักเอกภพ

หลังจากหานเจวี๋ยเข้าสู่ตำหนัก จอมอริยะเสวียนตูก็แจ้งไปยังอริยะรายอื่นๆ ทันที

อริยะที่เหลือไม่ได้มีกฎแปลกประหลาดแบบหานเจวี๋ย สามารถเรียกตัวได้ตลอดเวลา ส่วนเรื่องทะลวงขั้น แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอย่างฉิวซีไหล ก็หลงลืมรสชาติของการทะลวงขั้นไปแล้วเช่นกัน

สำหรับพวกเขาแล้ว อริยะคือขีดจำกัดสูงสุด ยากจะเดินหน้าต่อไปได้อีก

ผานซินก็มาเช่นกัน

เมื่อเขาเห็นหานเจวี๋ย ก็อดตกตะลึงไม่ได้

หานเจวี๋ยเก็บแสงเทพแล้ว เผยใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ ภายใต้การขับเน้นของเสื้อคลุมห้วงกาลวิถี บุคลิกของเขายิ่งดูเหนือชั้นขึ้นไปอีก

“เป็นเจ้า!”

เขาจำหานเจวี๋ยได้ ในอดีตกาลตอนอยู่ที่แม่น้ำมรรคกระบี่ เขาก็รับรู้ได้แล้วว่าพรสวรรค์ของเด็กคนนี้ยอดเยี่ยม ถึงขั้นที่อยากรับเขาไว้เป็นศิษย์เสียด้วยซ้ำ

ที่แท้เจ้าสำนักซ่อนเร้นก็คือเด็กคนนี้

ช้าก่อน!

ตอนนั้นตบะของเขา…

ผานซินตื่นตระหนกอยู่ในใจ แต่ฉากหน้ากลับปรากฏรอยยิ้ม

ทั้งสองไม่ได้พบกันมานานยิ่งนัก หากว่าไม่ได้เจอกันในวันนี้ ผานซินถึงขั้นที่ไม่นึกถึงหานเจวี๋ยเลยด้วยซ้ำ

หานเจวี๋ยยิ้มพลางพยักหน้าให้ ในช่วงเวลาที่น่าเบื่อหน่าย ผานซินได้มอบความบันเทิงให้เขาไม่ได้น้อยเลย

เขายังจำตอนที่ผานซินนั่งหันหลังให้เขาในแม่น้ำกระบี่ หัวไหล่ขยับยุกยิก ไม่ทราบว่าในมือกำลังทำอะไร

ผานซินเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “ไม่นึกเลยว่าเจ้าสำนักซ่อนเร้นก็คือเจ้า”

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างสุกาพ “ผู้อาวุโสกลับมาย่อมเป็นโชคของมรรคาสวรรค์ วันหน้ามรรคาสวรรค์ยังต้องพึ่งพาให้ผู้อาวุโสคุ้มครองอยู่”

รอยยิ้มผานซินกดลึกกว่าเดิม รู้สึกถูกชะตากับหานเจวี๋ยยิ่ง

จอมอริยะเสวียนตูก็ไม่ได้กล่าวอะไร

ทว่ามหาจักรพรรดิเซียวกลับใช้ความคิดเงียบๆ

เทพสูงสุดสุดหนานจี๋เหลือบมองเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยแวบหนึ่ง เห็นเขาไม่เปลี่ยนสีหน้า จึงไม่คิดให้มากความอีก

เหตุผลที่ผานซินมีความสุข เป็นเพราะหานเจวี๋ยแสดงท่าทีเป็นมิตร เขาเริ่มเพ้อฝัน คิดว่าจะสยบหานเจวี๋ยและรวมมรรคาสวรรค์ให้เป็นหนึ่งแล้ว

เขาทราบเรื่องราวของหานเจวี๋ยในช่วงหลังพิสูจน์มรรคสำเร็จแล้วน้อยยิ่ง เหล่าอริยชนก็ไม่มีทางเอ่ยถึงมากนัก เพราะถึงอย่างไรก็มีเรื่องขายหน้าอยู่พอสมควร

สถานะของหานเจวี๋ยมิใช่ได้มาจากการประจบเยินยอ แต่ได้มาจากกำลัง

เทพสูงสุดอู๋ฝ่า ฉิวซีไหล อริยสวรรค์จักรพรรดิบูรพา หลี่มู่อี…

ล้วนเป็นหินรองเท้าหานเจวี๋ยทั้งสิ้น!

หลังจากเหล่าอริยชนมากันพร้อมหน้าแล้ว จอมอริยะเสวียนตูจึงเปิดปากเอ่ย “ด้วยการเข้าร่วมของผานซิน ดวงชะตามรรคาสวรรค์เพิ่มขึ้นฉับพลัน ยามนี้มีตำแหน่งอริยะเพิ่มขึ้นสองที่ วันนี้จึงเชิญมาหารือเรื่องตำแหน่งอริยะ”

ตำแหน่งอริยะมีความหมายสำคัญยิ่ง จอมอริยะเสวียนตูย่อมไม่อาจตัดสินใจโดยพลการได้ อันที่จริงแม้เขาจะไม่พูด อริยะรายอื่นก็สามารถสัมผัสถึงได้เช่นกัน

เมื่อมรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แวดวงอริยะจะต้องจับตัวกันเป็นกลุ่มๆ อย่างแน่นอน อาจเกิดข้อพิพาทขัดแย้งกันเป็นการภายใน

มหาจักรพรรดิเซียวเอ่ยนำร่องขึ้นมาว่า “สมควรมอบตำแหน่งอริยะให้เผ่ามารของข้าสักที่ นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทุกครั้งที่ระเบียบภายในมรรคาสวรรค์ล่มสลายลง ล้วนเป็นเผ่ามารของข้าที่ออกมารับหน้า กลายเป็นเป้าวิจารณ์ของสรรพสิ่ง ทำให้สรรพสิ่งมรรคาสวรรค์แน่นแฟ้นกลมเกลียว แก้ไขบ่วงกรรม”

หานเจวี๋ยฟังแล้วรู้สึกสะท้อนใจ

เมื่อกล่าวมาเช่นนี้คือ ที่แท้เผ่ามารเป็นแพะรับบาปมาโดยตลอด

แต่ก็ไม่นับเป็นแพะรับบาปเสียทีเดียว เพื่อดึงดูดให้เกิดความเกลียดชัง เผ่ามารเคยก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมายจริงๆ

ฉิวซีไหลแค่นเสียง “นิกายตะวันตกของข้านับแต่โบราณมาก็มีสองอริยะมาโดยตลอด ในอดีตเพื่อปลอบขวัญเผ่ามารของเจ้า จึงตัดตำแหน่งอริยะของสำนักพุทธออกไปหนี่งที่ ควรชดใช้คืนได้แล้วกระมัง”

ผานซินเอ่ยอย่างเผด็จการ “สองตำแหน่งที่เพิ่มขึ้นมาเป็นเพราะข้า ข้าเป็นอริยะเสรีแล้ว จำเป็นต้องได้รับส่วนแบ่งหนึ่งตำแหน่ง!”

น้ำเสียงเขาโอหังไม่ยอมรับการคัดค้าน ไม่เหลือช่องให้ต่อรองได้อีก

อริยะที่เหลือเริ่มถกเถียงแย่งชิงกันแล้ว

หานเจวี๋ยนิ่งเงียบไม่พูดจา

เขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปแก่งแย่งตำแหน่งอริยะอีก

ไม่ว่าใครจะได้ไป ขอเพียงไม่เป็นภัยคุกคามเขาก็พอ แต่หากเป็นภัยคุกคาม เช่นนั้นก็สยบเป็นทาสเสีย!

เหล่าอริยะเริ่มถกเถียงแย่งชิง โต้เถียงกันอย่างดุเดือด

หานเจวี๋ย จอมอริยะเสวียนตูและสือตู๋เต้าไม่ได้สอดปาก แต่หลี่เต้าคงและฟางเหลียงต่างก็เริ่มแย่งชิงแล้ว

หลี่เต้าคงทำเพื่อสำนักซ่อนเร้น ก่อนหน้านี้หลี่เสวียนเอ้าเคยมาหาเขา ตำหนิว่าเขาได้เป็นอริยะแล้ว แต่กลับไม่ตอบแทนคุณของสำนักซ่อนเร้นเลย ระวังจะทำให้หานเจวี๋ยไม่พอใจ

ฟางเหลียงเองก็ทำเพื่อสำนักซ่อนเร้นเช่นกัน แต่หากสำนักซ่อนเร้นไม่ต้องการ เช่นนั้นก็จะให้สำนักวิถีสวรรค์ของเขา ถึงอย่างไรก็จำเป็นต้องแย่งชิงให้ได้

หานเจวี๋ยทนฟังอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าน่าเบื่อ จึงลุกขึ้นปลีกตัวไป

จอมอริยะเสวียนตูก็ไม่ได้ขัดขวาง หานเจวี๋ยไม่แย่งชิง นับเป็นเรื่องดี

หลังเดินออกมาจากตำหนักเอกภพ หานเจวี๋ยไม่ได้กลับไปยังเขตเซียนร้อยคีรี แต่เดินเล่นอยู่ในชั้นฟ้าที่สามสิบสาม มียอดสมบัติฟ้าบุพกาลคุ้มกาย เขาจึงไม่กลัวการโจมตี

ขณะที่เดินผ่านอาณาเขตเต๋าของหลี่เต้าคง หานเจวี๋ยมองเห็นคนสองคนกำลังคุกเข่าคอยอยู่หน้าประตูใหญ่ หนึ่งในนั้นคือหานอวี้

หานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเขา เอ่ยทัก “ไม่ได้เจอกันเสียนาน”

ทั้งสองสะดุ้งโหยง หันกลับมาตามสัญชาตญาณ

พวกเขาต่างเพิ่งเคยเห็นหานเจวี๋ยเป็นครั้งแรก ล้วนตกตะลึงพรึงเพริด

เทียนยงหันไปมองหานอวี้ พบว่าหานอวี้หน้าตาคล้ายหานเจวี๋ยยิ่งนัก

หานอวี้เองก็สังเกตเห็นจุดนี้เช่นกัน ไยคนผู้นี้ถึงเหมือนเขาปานนี้เล่า

เขาถามอย่างระมัดระวัง “ท่านคือผู้ใดหรือ”

เขามองตบะของหานเจวี๋ยไม่ออก ย่อมอ่อนน้อมถ่อมตัวไปตามธรรมชาติ

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จำเสียงข้าไม่ได้หรือ”

หานอวี้คล้ายจะนึกอะไรได้ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน รีบคุกเข่าคารวะ เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ปฐมบรรพชน!”

เห็นหานอวี้คุกเข่าคารวะ เทียนยงย่อมคุกเข่าคารวะตาม

หานเจวี๋ยมองเทียนยงแวบหนึ่ง พบว่าเด็กคนนี้หน้าตาคุ้นๆ อยู่บ้าง จึงนับนิ้วทำนาย พบว่าเป็นบุตรชายของมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อ

หานอวี้ถามด้วยความตื่นเต้น “ท่านมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไรขอรับ”

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!

เขาหน้าตาคล้ายท่านปฐมบรรพชนถึงเพียงนี้!

มิน่าเล่าท่านปฐมบรรพชนถึงช่วยเหลือเขา มิน่าเล่าหลี่เต้าคงถึงรับเขาเป็นศิษย์ มิน่าเล่าเหล่าผู้ทรงพลังมากมายที่เคยพบพานถึงได้เมตตาการุณย์เขาอย่างไม่มีสาเหตุ

หานอวี้มั่นใจในรูปโฉมของตนยิ่งนักเสมอมา แต่วันนี้พอเทียบกับหานเจวี๋ยแล้ว ถึงได้ทราบว่าตนรับสืบทอดหน้าตามาเพียงสามสี่ส่วนเท่านั้น

รูปโฉมของหานเจวี๋ยทรงเสน่ห์เลิศล้ำอย่างยิ่ง ยากจะบรรยายเป็นคำพูดได้

“มาเดินเล่นเท่านั้น ระยะนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ ท่าทางเมตตา

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด หลังจากอายุครบสองแสนปี อารมณ์ความรู้สึกของหานเจวี๋ยก็เริ่มเปลี่ยนไป

โดยเฉพาะเมื่อได้พบเจอชนรุ่นหลังของตนเองกับตัว อารมณ์ก็ดีขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ

หานอวี้รู้สึกปลาบปลื้มปรีดา เริ่มบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตของตน เขาไม่ได้จงใจไม่เล่าถึงเรื่องยากลำบาก แต่มีหลี่เต้าคงอยู่ เขาถึงพานพบอันตรายใหญ่หลวงได้ยากมากจริงๆ

เทียนยงคอยอยู่ด้านข้างอย่างสงบ เขาสนใจใคร่รู้ในตัวตนของหานเจวี๋ยอย่างยิ่ง

คุยเล่นกันอยู่พักหนึ่ง หานเจวี๋ยก็จากไป

หานอวี้ยังคงตื่นเต้นยิ่งนัก รอยยิ้มไม่จางหายไปจากใบหน้าเลย

เขาทราบฐานะของท่านปฐมบรรพชนมาก่อน แต่นี่เป็นการพบเห็นท่านปฐมบรรพชนด้วยตาของตนเป็นครั้งแรก ความรู้สึกนี้ช่างสุขสันต์เหลือเกิน

เทียนยงถามด้วยความใคร่รู้ “อาจารย์ขอรับ ปฐมบรรพชนของท่านคือผู้ใดหรือขอรับ”

หานอวี้ตอบเพียงว่า “อย่าถามเรื่องที่ไม่ควรถาม!”

เทียนยงเม้มปาก

เฮอะๆ

จะลึกลับมากแค่ไหนกันเชียว มารดาข้าเป็นถึงอริยะที่อาศัยกำลังพิสูจน์มรรคด้วยซ้ำ ข้ายังไม่วางท่าเท่าเจ้าเลย

เมื่อเทียนยงย้อนใคร่ครวญดู เขาพบว่าอันที่จริงตนก็ปกปิดเรื่องราวในส่วนนี้อยู่เหมือนกัน

ในอาณาเขตเต๋าแห่งอริยะมีผู้บำเพ็ญนั่งเข้าฌานอยู่ไม่น้อยเลย ไม่ได้เงียบเหงาเหมือนแต่ก่อน

หนึ่งชั่วยามผ่านไป หานเจวี๋ยกลับไปอารามเต๋า

จำเป็นต้องกล่าวเลยว่า ออกไปเดินเล่นด้วยตัวเอง ยกระดับจิตใจได้มากกว่าจริงๆ

แต่ก็ทำได้แค่ภายในมรรคาสวรรค์เท่านั้น

ถึงแม้เสื้อคลุมห้วงกาลวิถีจะป้องกันการโจมตีระดับมหามรรคได้ แต่หากพบพานตัวตนที่เหนือกว่ามหามรรคเข้าเล่า

กันไว้ก่อนดีกว่า!

………………………………………………………………