ข้ามองสีหน้าของทั้งสองคน ในใจเกิดความเวทนาขึ้นมาบางเบา มนุษย์ล้วนรักการมีชีวิตและหวาดหวั่นต่อความตาย สองคนนี้ก็ดุจเดียวกัน หากเป็นการสละชีวิตเพื่อแว่นแคว้นหรือต้องเผชิญกับความอัปยศอันยากจะทานทน บางทีพวกเขาอาจไม่รักตัวกลัวตาย แต่ยามนี้ตกเป็นเชลยแล้ว หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น พวกเขาย่อมอยากมีชีวิตต่อไป แม้เป็นเช่นนี้ข้าก็มิดูแคลนพวกเขาด้วยเหตุนี้ หากข้าอยากบีบบังคับให้พวกเขาสวามิภักดิ์ต่อต้ายง ทรยศเป่ยฮั่น นั่นคงเป็นไปมิได้อย่างเด็ดขาด แต่หากใช้ความตายกดดันบีบบังคับให้พวกเขาละทิ้งเกียรติยศเล็กน้อยชั่วคราว ก็น่าจะทำได้อยู่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ข้าก็แสดงสีหน้าที่คิดว่าจริงใจอย่างยิ่งออกมาแล้วกล่าวว่า “พี่หลี่ ผู้แซ่เจียงมิได้สังเกตให้ดี ทำให้ท่านเกือบต้องอัปยศในวันนี้ แม้เรื่องนี้บ่าวรับใช้เป็นผู้กระทำตามอำเภอใจ แต่ก็ผิดที่ผู้แซ่เจียงมิได้ควบคุมเข้มงวดด้วย เพื่อเป็นการชดเชย พี่หลี่ยินดีมาทำงานข้างตัวผู้แซ่เจียงสักระยะหนึ่งหรือไม่ รอสงครามสิ้นสุดแล้ว พี่หลี่ก็จะได้เป็นอิสระ
ใจจริงผู้แซ่เจียงอยากปล่อยพี่หลี่เสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่พี่หลี่น่าจะเข้าใจว่าผู้แซ่เจียงเป็นผู้ตรวจการกองทัพของต้ายง มีบางเรื่องมิสะดวกกระทำ แต่พี่หลี่วางใจได้ คนข้างตัวผู้แซ่เจียงมากกว่าครึ่งมิจำเป็นต้องเข้าสมรภูมิสังหารศัตรู ข้าไม่มีทางสั่งให้พี่หลี่สร้างความลำบากให้สหายร่วมรบในวันวาน มิทราบพี่หลี่ยินดีรับเจตนาดีของผู้แซ่เจียงไว้หรือไม่”
หลี่หู่เบิกตาโต หากกล่าวตามจริง ข้อเสนอของเจียงเจ๋อช่างเย้ายวนใจยิ่งนัก นอกจากไม่ค่อยมีอิสระ ก็แทบกล่าวได้ว่าให้สิทธิประโยชน์มากอย่างยิ่ง แต่หลี่หู่เพิ่งได้รับบทเรียนมา ย่อมมิเชื่อว่าบนโลกมีเรื่องดีงามเช่นนี้ อีกอย่างหนึ่ง การทำเช่นนี้นับว่าทรยศแว่นแคว้นเข้ากับศัตรูหรือไม่ หลี่หู่ขบคิดไม่แตก ดังนั้นชั่วขณะหนึ่งจึงมิทราบว่าจะตอบเช่นไรดี
ข้ามองไปทางหลิงตวนต่อ แล้วกล่าวว่า “ฉีอ๋องค่อนข้างนับถือแม่ทัพถานจี้ ผู้แซ่เจียงก็เสียดายยิ่งนักที่ไม่มีโอกาสพบแม่ทัพถาน สหายน้อยหลิงเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของทหารกุ่ยฉีใต้บัญชาแม่ทัพถาน รักเรือนย่อมรักวิหคในเรือนด้วย องค์ชายมิต้องการรั้งท่านไว้ให้ลำบาก แต่แคว้นมีกฎแคว้น กองทัพมีกฎกองทัพ ยามนี้สหายน้อยหลิงมิอาจจากไปอย่างอิสระได้ องค์ชายเป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์ แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพทั้งหมดจึงมิสะดวกให้สหายน้อยหลิงอยู่ข้างกาย ดังนั้นจึงเคยฝากฝังให้ผู้แซ่เจียงดูแล หากสหายน้อยหลิงมิถือสา มิสู้อยู่ข้างกายผู้แซ่เจียงสักระยะเป็นเช่นไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อยืนอยู่ข้างกายเจียงเจ๋อ แม้สีหน้าประหนึ่งน้ำแข็ง แต่เขาเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ฉีอ๋องฝากฝังคุณชายมาตั้งแต่เมื่อใด คุณชายพูดส่งเดชเองทั้งสิ้น แต่เขาเป็นคนฉลาด เห็นเจียงเจ๋อทำสีหน้าเช่นนี้ก็ทราบแล้วว่าต้องเกิดความคิดอันใดขึ้นมาอีกเป็นแน่ เขาย่อมมิทำแผนล่ม ตรงกันข้ามกลับจงใจแสดงสีหน้าไม่พอใจแล้วกล่าวว่า “คุณชาย แม้ท่านรับปากองค์ชายไว้ว่าจะดูแลหลิงตวน แต่ถึงอย่างไรหลิงตวนก็เป็นศัตรู กักตัวพวกเขาไว้ในค่ายก็เพียงพอแล้ว ไยต้องเก็บไว้ข้างตัว หากคนผู้นี้เนรคุณ ลอบสังหารคุณชายจะทำเช่นไรเล่า แล้วยังมีหลี่หู่ผู้นี้อีก คุณชายมิลงโทษเขาก็เป็นบุญของเขาแล้ว ไยต้องเก็บเขาไว้ข้างตัว”
แม้ถ้อยคำเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย แต่กลับยิ่งสนับสนุนควาคิดของเจียงเจ๋อ ทำให้หลี่หู่กับหลิงตวนรู้สึกว่าเจียงเจ๋อมีเจตนาดีจริงๆ แต่หลี่หู่กับหลิงตวนกลับล้วนมิอาจตอบรับ แม้อยู่ในค่ายทัพย่อมสบายกว่าไปใช้แรงงานหนักมากนัก ทั้งยังจะได้รับอิสระเร็วกว่า มิว่าสงครามระหว่างต้ายงกับเป่ยฮั่นเป็นเช่นไร พวกเขาสองคนก็หาโอกาสหนีพ้นได้
แต่หากพลาดก้าวเดียวนึกแค้นทั้งชีวิตเพราะเหตุนี้ นับจากนี้กลายเป็นกบฏทรยศแว่นแคว้นเล่า หัวใจของทั้งสองคนรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ทั้งสองคนที่เดิมทีมิใคร่ยินดีจะสนทนาพาทีกันนักนอกจากทำเพื่อขับไล่ความเบื่อหน่ายส่งสายตาให้กันหลายครั้ง แต่น่าเสียดายคนหนึ่งมิละเอียดอ่อน อีกคนหนึ่งก็ไม่ถนัดแสดงสีหน้า อีกนิดก็จะกลายเป็นละครชวนหัวแล้ว ผ่านไปนานก็ยังมิอาจตัดสินใจได้
ข้ารู้สึกขบขันยิ่งนัก แต่ก็ทราบว่าต้องการให้พวกเขาตอบรับอย่างชัดเจนเป็นสิ่งที่เป็นไปมิได้ หลังจากล่อหลอกเสร็จแล้วย่อมสมควรใช้อำนาจบังคับ ข้าจงใจมองข้ามความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะปฏิเสธ แล้วกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อทั้งสองท่านล้วนมิคัดค้าน เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าจัดการสักหน่อย ให้พวกเขาสองคนพักอยู่ในค่ายของราชองครักษ์หู่จี รออาการบาดเจ็บของพวกเขาดีขึ้นอีกสักหน่อยก็ให้พวกเขาไปคอยรับใช้หน้ากระโจมเถิด”
กล่าวจบข้าก็ไม่มองว่าพวกเขาจะทำหน้าไม่ยินยอม หรืออาจถึงขั้นทำสีหน้าเตรียมพร้อมปฏิเสธ แต่ก้าวพรวดพาองครักษ์ผลุนผลันจากไป
หลี่หู่นิสัยใจร้อนเป็นที่สุด เขาตะโกนเสียงดัง “ประเดี๋ยวก่อน ข้าไม่…” ทว่าคำพูดเพิ่งออกจากปากก็ต้องกลืนกลับไปทั้งอย่างนั้น เพราะเขาเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อขวางอยู่ตรงหน้า ใบหน้ามีรอยยิ้มแปลกพิกล มือขวาขาวผ่องไม่รู้วางอยู่บนหัวไหล่ของตนตั้งแต่เมื่อใด พร้อมกับที่ลมปราณเย็นยะเยือกสายหนึ่งจู่โจมจุดลมปราณที่หัวไหล่
หลี่หู่หนาวยะเยือกไปทั้งร่าง คำพูดสักคำก็เอ่ยไม่ออก หลิงตวนหัวใจสั่นสะท้าน เขาเห็นจิตสังหารจางๆ ในดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างชัดเจน จึงร้องออกมาอย่างตกใจ “ใต้เท้าละเว้นหลี่หู่แล้วมิใช่หรือ”
ดวงตาของเสียวซุ่นจื่อฉายแววลังเลวูบหนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงปล่อยมือออก “ในเมื่อคุณชายตัดสินใจแล้ว ข้าก็มิมีคำใดจะพูด แต่หากพวกเจ้าคิดปฏิเสธ ข้าก็จะสังหารพวกเจ้าสองคนเสียประเดี๋ยวนี้ อย่างมากคุณชายก็ตำหนิไม่กี่คำ คุณชายมีเจตนาดีเช่นนี้ หากพวกเจ้าไม่รับก็เท่ากับมิรู้จักดีชั่ว ข้าสังหารพวกเจ้าเสียก็มิกระทำเกินไป”
หัวใจของทั้งสองคนสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ถูกสังหารในสถานการณ์เช่นนี้ออกจะไม่คุ้มค่าจริงๆ หลิงตวนกัดฟัน ในใจคิดว่าหากข้ายังมีชีวิตอยู่ ไม่แน่อาจมีสักวันที่สังหารเจียงเจ๋อได้ ถึงยามนั้นแม้ตายก็คุ้มค่าแล้ว เขามิทันสนใจว่าความคิดเช่นนี้เป็นข้ออ้างประการหนึ่งหรือไม่ เอ่ยตอบอย่างชิงชัง “ผู้น้อยยินดีรับบัญชา เหล่าหู่ เจ้าเล่า”
เวลานี้หลี่หู่เองก็ฉลาดขึ้นมาบ้าง เขามองสัญญาณที่หลิงตวนลอบส่งมาออกแล้ว จึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าก็เช่นกัน”
ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อฉายจิตสังหารที่เก็บงำไว้ไม่อยู่ออกมาเบาบาง เวลานี้เขาโกรธขึ้นมาเล็กน้อยแล้วจริงๆ สองคนนี้วางแผนจะทำสิ่งใด เขามองปราดเดียวก็มองออก การเก็บคนสองคนที่ใจคิดคดไว้ข้างกายคุณชายมิใช่เรื่องที่เขายินดีทำ แต่เขาจำเป็นต้องฝืนระงับเพลิงโทสะในหัวใจไว้
เขาเข้าใจว่าทั้งสองคนมีความคิดเช่นนี้ไม่แปลก นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่คุณชายกล้ามั่นใจว่าพวกเขาจะยอมจำนน เมื่อเดินออกจากกระโจม เสี่ยวซุ่นจื่อก็ลอบหัวเราะหยันในใจ น่าเสียดายทั้งสองคนนี้ไร้เดียงสาเกินไป ธรรมชาติของมนุษย์นั้นประหลาดนัก หากยอมจำนนจนกลายเป็นความเคยชินก็จะค่อยๆ ละทิ้งความมุ่งมั่นของตน
มิว่าพวกเขาจริงใจหรือเสแสร้ง การยอมจำนนครั้งนี้จะทำให้พวกเขาค่อยๆ ละวางความเคียดแค้นและความกล้าที่จะต่อต้าน ทว่าก่อนพวกเขายอมจำนนอย่างสมบูรณ์ก็ยังต้องเฝ้าระวังตลอดเวลา แม้มิเข้าใจแผนการของคุณชายนัก แต่สองคนนี้คงถูกคุณชายใช้ประโยชน์ทุกหยาดหยดตั้งแต่ยังมิยอมจำนนเป็นแน่
นับจากวันนั้น หลี่หู่กับหลิงตวนก็ถูกบังคับให้สวมชุดเกราะของกองทัพต้ายง กลายเป็นองครักษ์คนสนิทข้างกายเจียงเจ๋อผู้ตรวจการกองทัพ ในใจทั้งสองคนไม่มีเวลาใดไม่คิดลอบสังหารเจียงเจ๋อ เพราะหากมิคิดเช่นนี้ก็จะนึกถึงภาพตอนยอมจำนนเพราะถูก ‘วาจาหวานปานน้ำผึ้ง’ ของเจียงเจ๋อกับ ‘การข่มขู่’ ของเสี่ยวซุ่นจื่อบีบบังคับในวันนั้น น่าเสียดาย ไม่มีโอกาสดีๆ
แม้เจียงเจ๋อจะวางตัวสนิทสนมและมีนิสัยเกียจคร้าน ปฏิบัติกับทั้งสองคนเหมือนไม่คิดระแวงแม้สักนิด แต่น่าเสียดายองครักษ์ข้างกายเขากลับระมัดระวังอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงการลอบสังหาร เพียงทั้งสองคนแตะอาวุธเพียงนิดเดียวก็เรียกสายตาสิบกว่าคู่หันมาเพ่งมองแล้ว แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสี่ยวซุ่นจื่อคนนั้นที่แทบอยู่ข้างกายเจียงเจ๋อตลอดเวลา สายตาเย็นยะเยือกของเขาประหนึ่งจะแทงทะลุหัวใจของทั้งสองคน
กล่าวถึงเรื่องนี้ ทั้งสองคนก็ยิ่งคิดไม่ตก แม้จะอยู่ใช้แรงงานข้างกายเจียงเจ๋อ แต่เจียงเจ๋อกลับสั่งให้คนมอบอาวุธแก่พวกเขา แม้แต่หลี่หู่ยังกล่าวออกมาระหว่างแอบคุยกันว่าใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพผู้นี้เป็นคนดีเกินไปหรือไม่ แต่เรื่องนี้หลิงตวนกลับไม่คิดเช่นนั้น อย่างน้อยทุกครั้งยามฉีอ๋องมาหารือเรื่องกองทัพกับเจียงเจ๋อ พวกตนสองคนก็ยังถูกกันออกไป ดูท่าเจียงเจ๋อผู้นี้มิใช่ว่าไม่ระแวง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ หลิงตวนกลับทำใจให้สงบลงได้ เขามิใช่คนโง่ ติดตามท่านแม่ทัพมาหลายปีย่อมทราบตำราพิชัยสงครามอยู่บ้าง หากเจียงเจ๋อผู้นั้นแสร้งทำท่าว่าเชื่อใจตนอย่างสมบูรณ์ หลิงตวนกลับจะมั่นใจว่าเจียงเจ๋อต้องมีเจตนาร้ายแฝงอยู่
ตอนต่อไป