บทที่ 680 คำสาปแช่งที่ไม่อาจต้านทานได้!

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 680 คำสาปแช่งที่ไม่อาจต้านทานได้!

หานเจวี๋ยถือหนังสือแห่งความโชคร้ายไว้ เริ่มสาปแช่งอริยะเจ็ดวิถี

ห้าวันต่อมา

อายุขัยของเขาเริ่มลดลง แน่นอน เมื่อเทียบกับอายุขัยที่เขามีอยู่ อัตราการลดลงนั้นเชื่องช้าอย่างยิ่ง

อีกด้านหนึ่ง

อริยะเจ็ดวิถีที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่พลันลืมตาขึ้น คิ้วขมวดแน่น

“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ…”

ก่อนหน้านี้เขาก็เคยถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่ง แต่ไม่ถึงห้าวันก็ยุติลง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องถึงห้าวัน อีกทั้งพลังคำสาปแช่งก็เริ่มทรงพลังขึ้นแล้ว

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการตั้งใจลงมือกับเขาหรือ

เพราะเหตุใดกัน

อริยะเจ็ดวิถีมองระฆังทองบนตำหนัก ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหรี่ตาลง

เขานึกเชื่อมโยงข้อสันนิษฐานเหล่านั้นของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

เขากระจ่างแจ้งในทันใด

“ที่แท้เจ้าก็คือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ มิน่าเล่าทำอย่างไรก็หาตัวเจ้าไม่พบ เห็นทีว่าคำทำนายของบรรพชนเต๋าจะมิใช่คำลวง ตัวแปรแห่งมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่…เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ…”

แววตาอริยะเจ็ดวิถีวูบไหว เริ่มโคจรพลังต่อต้าน

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการชื่อเสียงเลื่องลือด้านความโหดเหี้ยม เขาจึงเตรียมการป้องกันไว้ตั้งแต่แรก

ถึงอย่างไรเทพบุพกาลและโพธิสัตว์จุนทีก็เป็นบทเรียนจากรถคันก่อน[1]

เพื่อป้องกันคำสาปแช่งของเจ้าดินแดนต้องห้ามอันธการ เขาจึงเตรียมการไว้แต่เนิ่น

เสื้อคลุมสีดำไหวสะบัด ลำแสงประหลาดสายแล้วสายเล่าแผ่ออกมาจากร่างของอริยะเจ็ดวิถี ก่อตัวเป็นโดมแสงครอบร่างเขาไว้

พลังคำสาปแช่งอ่อนกำลังลงมากโข

อริยะเจ็ดวิถีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เผยรอยยิ้มดูถูก

คิดจะใช้พลังคำสาปแช่งกวาดล้างฟ้าบุพกาลหรือ

จะเป็นไปได้อย่างไร!

….

ภายในอารามเต๋า

หานเจวี๋ยสาปแช่งพลางจ้องมองหน้าต่างค่าสถานะของตนและกล่องจดหมายไปด้วย

อายุขัยของเขาลดลงไปสามพันล้านล้านปีแล้ว ยังไม่เห็นจะเกิดเรื่องกับอริยะเจ็ดวิถีเลย

คนผู้นี้ไม่ธรรมดา!

หานเจวี๋ยไม่กล้าดูแคลนอริยะเจ็ดวิถีเลย คนผู้นี้ยื่นมือเข้ามาแทรกได้จากที่ห่างไกลยิ่ง ใช้เวลาถึงสองแสนปีเพื่อฟูมฟักตัวเบี้ยอย่างโจวฝาน ผีเท่านั้นที่รู้ว่าเขายังมีเบี้ยตัวอื่นอีกหรือไม่

ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้วันนี้บรรพชนเต๋าปรากฏตัวขึ้น หานเจวี๋ยก็ต้องจัดการอริยะเจ็ดวิถีให้ได้

โอหังเกินไปแล้ว!

สะกดศิษย์ของข้าไว้ ซ้ำยังดูแคลนว่าข้าไม่กล้าลงมือเช่นนั้นหรือ

หานเจวี๋ยทุ่มเทสาปแช่งสุดกำลัง

สี่พันล้านล้านปี!

ห้าพันล้านล้านปี!

[อริยะเจ็ดวิถีศัตรูคู่อาฆาตของท่านมรรคจิตพังทลาย เนื่องจากคำสาปแช่งของท่าน]

ฮ่าๆ!

เป็นไงล่ะ

ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเป็นไข่มุกแห่งกรรมในร่างมนุษย์เสียอีก!

หานเจวี๋ยลอบถากถาง ยอดสมบัติอย่างไข่มุกแห่งกรรมจะใช่ของที่มีเกลื่อนกลาดได้อย่างไร

เขาสาปแช่งต่อไป

หกพันล้านล้านปี!

เจ็ดพันล้านล้านปี!

….

ภายในตำหนัก

สีหน้าอริยะเจ็ดวิถีมืดครึ้มอย่างยิ่ง สังขารเขาราวกับภาพเสมือน สั่นไหวไม่หยุด ราวกับจะดับมอดลงได้ทุกเมื่อ

“สมควรตาย เหตุใดพลังคำสาปแช่งของเขาถึงกล้าแกร่งขนาดนี้ เขาสังเวยสิ่งมีชีวิตเช่นนั้นหรือ หรือว่าเขาสังเวยทั้งมรรคาสวรรค์แล้ว”

อริยะเจ็ดวิถีพึมพำกับตัวเอง เขาเงยหน้ามอง มรรคาสวรรค์ยังคงอยู่

เขาคิดไม่ออกเลย

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้

ไม่ได้การแล้ว!

หากเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะซ้ำรอยเดิมของเทพบุพกาลและโพธิสัตว์จุนที!

ตูม!

ร่างของอริยะเจ็ดวิถีระเบิดกระจาย กลายเป็นหมอกธุลี

ทันใดนั้น เขารวมร่างใหม่อีกครั้ง สีหน้าซีดขาว

อริยะเจ็ดวิถีตระหนกแล้ว

เขาต้านทานพลังคำสาปแช่งพลางเค้นสมองอย่างสุดกำลังเพื่อคิดหาวิธี

ในเวลานี้เอง สายลมมืดดำหอบหนึ่งกวาดม้วนเข้ามาในตำหนัก กลายเป็นเงาดำร่อนลงเบื้องหน้าอริยะเจ็ดวิถี

อริยะเจ็ดวิถีขมวดคิ้ว เอ่ยถามเสียงเข้ม “ท่านคือผู้ใด”

เห็นอีกฝ่ายจำแลงเป็นเงาดำ ลึกลับแปลกประหลาด จิตใต้สำนึกของเขานึกถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งเขาพร้อมกับมาสังหารเขาด้วยร่างจริงอย่างนั้นหรือ?

เงาดำเปิดปากเอ่ย “เจ้าต้านคำสาปของเขาไม่ไหวหรอก”

เขาอย่างนั้นหรือ

อริยะเจ็ดวิถีถาม “เจ้าและเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเกี่ยวข้องกันอย่างไร”

เงาดำเอ่ย “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ข้ามาเพื่อเตือนเจ้า เจ้าต้านพลังคำสาปแช่งของเขาไม่ได้ หากรอต่อไป เจ้าต้องตายแน่”

อริยะเจ็ดวิถีเงียบไป

เงาดำเอ่ยต่อว่า “จัดการตัวเองซะ ทิ้งเสี้ยวจิตสายหนึ่งไว้ ติดตามข้าไป ข้าสามารถคุ้มครองเจ้าได้ วันหน้าพวกเราจะล้างแค้นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการด้วยกัน”

อริยะเจ็ดวิถีเอ่ยเสียงเข้ม “น่าขัน ติดตามเจ้าเช่นนั้นรึ”

เงาดำเงียบไป

ร่างของอริยะเจ็ดวิถีระเบิดออกอีกครั้ง จากนั้นก็รวมร่างขึ้นใหม่อีกครั้ง

เขาใกล้จะยื้อไว้ไม่ไหวแล้ว!

เงาดำเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้าคือเทพมารต้องสาป เจ้าแดนต้องห้ามอันธการใช้พลังจากมหามรรคของข้า ข้าต้องกำจัดเขาให้ได้ มีเพียงติดตามอยู่ข้างกายข้า เจ้าถึงจะหลีกเลี่ยงคำสาปแช่งของเขาได้!”

เทพมารต้องสาปหรือ

เทพมารฟ้าบุพกาล!

ม่านตาของอริยะเจ็ดวิถีพลันขยายกว้าง เขาไม่เคยคิดเลยว่าพลังคำสาปแช่งก็สามารถกลายเป็นมรรคได้

ในความคิดของเขา คำสาปแช่งก็คือมรรคแห่งกรรมมิใช่หรือ

พลังคำสาปแช่งอันรุนแรงโถมโจมตีเข้ามาอีกระลอก อริยะเจ็ดวิถีทราบดีว่าเขาไม่มีเวลาลังเลอีกต่อไป เขาระเบิดตัวเองทันที เสี้ยววิญญาณสายหนึ่งที่เหลืออยู่บินเข้าไปหาเทพมารต้องสาปอย่างรวดเร็ว

เทพมารต้องสาปยกมือคว้า พาอริยะเจ็ดวิถีหนีไป หายลับไปจากภายในตำหนัก

ในเวลาเดียวกันนี้เอง

หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่าพลังคำสาปแช่งถูกพลังประหลาดอย่างหนึ่งดูดไป ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากนั้นเขาก็มองเห็นจดหมายฉบับหนึ่ง

[เทพมารต้องสาปศัตรูคู่อาฆาตของท่านกำลังดูดซับพลังคำสาปแช่งของท่าน]

เทพมารต้องสาป!

หานเจวี๋ยหยุดมือทันที

เจ้าตัวนี้หลังจากถือกำเนิดขึ้นก็เงียบหายไร้ร่องรอยตลอดมา ไม่คิดเลยว่าจะไปหาอริยะเจ็ดวิถี

อย่างไรก็ตามโชคดีที่จดหมายแจ้งเตือนว่าอริยะเจ็ดวิถีระเบิดตัวเอง ทิ้งวิญญาณไว้เพียงเสี้ยวหนึ่ง

น่าเสียดายนักดวงจิตมหามรรคที่คอยวางแผนมาหลายยุคหลายสมัยกลับดับสูญลงเช่นนี้

หานเจวี๋ยถามในใจ ‘เทพมารต้องสาปสู้ข้าได้หรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ขณะนี้ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของท่าน]

หานเจวี๋ยถามต่อ ‘หากข้าไปช่วยโจวฝานตอนนี้ จะมีอันตรายหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งสามพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ขณะนี้ไม่มี]

หานเจวี๋ยพรูลมหายใจออกมา จากนั้นเข้าฝันโจวฝานทันที

ในแดนความฝัน

โจวฝานลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหานเจวี๋ย เขาไม่ได้รู้สึกปิติยินดี กลับมีสีหน้ามืดมน

หานเจวี๋ยเปิดปากถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”

โจวฝานฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่า “สบายดีขอรับ อาจารย์ ไม่นานมานี้ข้าเพิ่งพิสูจน์มรรคสำเร็จเป็นอริยะ รอข้ากลับไปแล้ว ต้องขยายอำนาจให้สำนักซ่อนเร้นได้แน่!”

เขามีสีหน้าภาคภูมิใจ จากนั้นก็เปลี่ยนท่าทีเป็นองอาจคึกคะนองเช่นในอดีต

หานเจวี๋ยพูดไม่ออกเลย เด็กคนนี้อยู่ที่นี่ก็ยังคิดเล่นละครอีกหรือ

ก็คงใช่

ถ้าหานเจวี๋ยไม่มีระบบ ก็คงทำนายถึงสถานการณ์ของเขาไม่ได้จริงๆ

โจวฝานเริ่มคุยฟุ้งถึงประสบการณ์ที่ตนได้รับ ไม่ได้เอ่ยถึงอริยะเจ็ดวิถีเลย เห็นได้ชัดว่าไม่อยากดึงหานเจวี๋ยเข้าไปพัวพัน

อริยะเจ็ดวิถีแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ ลงมือเล็กน้อยก็ทำให้เขาพิสูจน์มรรคสำเร็จเป็นอริยะได้แล้ว จุดนี้มิใช่สิ่งที่หานเจวี๋ยจะเทียบเคียงได้

โจวฝานไม่ต้องการลากหานเจวี๋ยลงคลองไปด้วย

เขามีแต่ความรู้สึกละอายใจต่อหานเจวี๋ย

กราบอาจารย์มานานหลายปีขนาดนี้ เขายังไม่เคยตอบแทนคุณหานเจวี๋ยเลย อีกทั้งตอนนี้ยังเผชิญปัญหาใหญ่โตเช่นนี้อีก

หานเจวี๋ยเอ่ยขัดเขา “รีบใช้วิชาอัญเชิญเทพ!”

โจวฝานตะลึงงัน

ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจเหตุผลที่หานเจวี๋ยเข้าฝันแล้ว เป็นเพราะเขาเผชิญปัญหา

เขารู้สึกตื้นตันอยู่ในใจ

“อาจารย์ ท่าน…” โจวฝานยังคิดจะพูดต่อ

หานเจวี๋ยเอ่ยเร่ง “เร็วเข้า!”

พูดไร้สาระมากมายขนาดนี้ หากช้าไปอีกนิดไม่แน่ว่าอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น

หานเจวี๋ยสามารถใช้วิถีอัญเชิญเทพเรียกตัวศิษย์ที่ครอบครองวิชาอัญเชิญเทพกลับมาได้ทันที แต่ไม่สามารถเรียกเป็นรายคนได้ ตอนนี้เขาต้องการช่วยโจวฝานเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่เช่นนั้น

“แต่ข้าถูก…”

“อริยะเจ็ดวิถี ข้ารู้แล้ว เขาวิบัติไปแล้ว!”

“ฮะ?”

โจวฝานตกตะลึง

หานเจวี๋ยสลายแดนความฝันทันที

ไม่นานนัก เบื้องหน้าเขาก็ปรากฏคลื่นวนสีดำขึ้น

หานเจวี๋ยกระโจนเข้าไป โผล่ขึ้นตรงหน้าโจวฝาน พวกเขาถูกระฆังทองใหญ่ยักษ์ใบหนึ่งครอบไว้ โจวฝานถูกสะกดไว้ นอนคว่ำอยู่บนพื้น ขยับเขยื้อนไม่ได้

หานเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อ คลายพันธนาการโจวฝาน พร้อมทั้งทำลายระฆังทองทิ้งไปด้วย

อริยะเจ็ดวิถีระเบิดตัวเองหลบหนีไปแล้ว ค่ายกลที่เหลือไว้ย่อมอ่อนแอลงไปมาก แต่แน่นอนว่าหากเป็นอริยะธรรมดาย่อมไม่อาจทำลายระฆังใบนี้ได้

………………………………………………………………

[1] บทเรียนจากรถคันก่อน เป็นสำนวนจีนอุปมาได้ว่าความล้มเหลวของคนรุ่นเก่าย่อมเป็นกระจกเงาของคนรุ่นหลัง.