บทที่ 732 มหาบัณฑิตที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้

ถังหลี่เทชาร้อนลงในถ้วยแล้วส่งให้สามี เขารับมาวางไว้ข้างกาย จากนั้นจึงได้ดึงตัวถังหลี่มานั่งที่ตัก ถังหลี่พยายามหลีกเลี่ยงบาดแผลของสามี นั่งลงบนตักเขาอย่างระมัดระวัง

“จ้าวชูหนีไปพร้อมกับหวังกุ้ยเฟย ส่วนจูชุนเจียวและหมอเทวดาโดนจับ ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งเรียกหาเขา” เว่ยฉิงเล่าให้นางฟัง

ถังหลี่ไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้ทรงเรียกใช้หมอเทวดา ถ้าหากลองได้ใช้ยาประเภทนั้นแล้วย่อมยากที่จะหลุดพ้น ต่อให้เป็นคนดิบดีเพียงใดย่อมกลายเป็นโคลนเหลวไปได้

ฮ่องเต้ทรงใช้ยาไปมากจนพระองค์เสพติดเข้าเส้นเลือดเสียแล้ว จะทรงเลิกได้อย่างไร? ในเมื่อเลิกไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป ทรงเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว ยิ่งสวรรคตไปเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น สกุลเซียวจะได้ชำระหนี้และเห็นแสงสว่างแห่งดวงตะวันได้เร็วขึ้นเท่านั้น

พวกเขาจะไม่เป็นฝ่ายทำร้ายใครก่อน แต่ถ้าหากอีกฝ่ายรนหาที่เองย่อมช่วยไม่ได้

ถังหลี่เห็นว่าสามีของนางน่าจะมีความคิดเห็นเช่นเดียวกับตน

“จูชุนเจียวอยู่ที่ไหน?” ถังหลี่ถามขึ้นมา

จูชุนเจียวหรือกู้อิ๋น ฆ่าคนไปแล้วมากมาย แต่อาศัยการคุ้มครองจากเทียนเต๋าเดิมจึงยังอยู่รอด เช่นเดียวกับแมลงสาบที่ฆ่าไม่มีวันตาย แต่ครั้งนี้จ้าวชูล้มลง จูชุนเจียวน่าจะถึงจุดจบด้วย มีเพียงความตายเท่านั้นที่คู่ควรกับนาง

“หนีไปแล้ว!”

“ให้กองกำลังทหารรักษาพระองค์ตามหาเขาเถิด”

“จะเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวต้วนหรือไม่?” ถังหลี่ยังคงไม่สบายใจหากเขายังจับจ้าวชูไม่ได้

“อยู่ในระหว่างติดตาม ยังไม่มีข่าว”

จ้าวชูเหมือนตั๊กแตน หลังฤดูใบไม้ร่วงเขาจะไม่สามารถกระโดดไปมาได้อีกต่อไป

“สามี ท่านบาดเจ็บตามร่างกายมากมาย ได้โปรดพักผ่อนให้มากกว่านี้ หยุดทำงานของราชสำนักก่อนเถิด” ถังหลี่พูดเตือนเว่ยฉิง

หากเป็นนางพูดเขาย่อมยินดีที่จะฟัง

“ได้” พูดจบเขาก็พร้อมจะอุ้มภรรยาเข้านอนในทันที แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เมื่อเขาจูงมือภรรยาเดินออกจากห้องหนังสือ บ่าวรับใช้รีบก้าวเข้ามารายงาน

“นายท่าน มีบ่าวจากจวนต้วนโส่วฝู่มาแจ้งว่าใต้เท้าต้วนแจ้งให้นายท่านไปเข้าพบขอรับ”

ต้วนโส่วฝู่ป่วยหนัก เขาเรียกเว่ยฉิงเข้าพบย่อมมีเรื่องสำคัญ

สำหรับเว่ยฉิงแล้ว ต้วนโส่วฝู่เป็นทั้งอาจารย์และสหายคนสำคัญ เขาเกลียดเล่ห์เหลี่ยมและการเล่นพรรคเล่นพวกในราชสำนัก เขาจึงได้ชื่นชมการวางตัวของต้วนโส่วฝู่มาตลอด เว่ยฉิงจึงไม่รอช้า รีบไปยังจวนโสว่ฝู่

ต้วนโสว่ฝู่เป็นอัครเสนาบดีตำแหน่งสูงสุดมาหลายสิบปี แต่จวนที่พักอาศัยกลับมีสภาพไม่เหมือนกับขุนนางระดับสูงทั่วไป จวนเขาอยู่ลึกเข้าไปในตรอกมีคำว่า “จวนต้วน” เขียนเอาไว้บนแผ่นป้ายเหนือประตูที่เรียบง่าย หน้าประตูมีรูปปั้นสิงโตนอนหมอบอยู่ หลังจากเว่ยฉิงแจ้งชื่อของตนกับคนเฝ้าประตู ก็มีเจ้าหน้าที่มาต้อนรับพาเขาเข้าไปด้านใน

จวนต้วนไม่ใหญ่โตมากนัก เว่ยฉิงเดินตามเจ้าหน้าที่ต้อนรับเข้าไปข้างใน ไม่นานนักก็ถึงเรือนที่ต้วนโส่วฝู่อยู่

“ท่านอู่โหว นายท่านรออยู่ด้านในขอรับ” ทันทีที่เข้าไปในห้อง เว่ยฉิงได้กลิ่นยาเข้มข้น เขาเงยหน้าขึ้นเห็นต้วนโส่วฝู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เสื้อผ้าเขาสะอาดเรียบร้อย ผมเผ้าหวีอย่างประณีต ทว่าใบหน้ากลับซูบผอม ดูซีดเซียวลงไปมาก เว่ยฉิงได้พบเขาเมื่อไม่นานมานี้ที่หน้าประตูพระราชวังจึงไม่ได้ตกใจหรือประหลาดใจมากนัก

ต้วนโส่วฝู่ป่วยหนักมาก เมื่อหมอซูกลับมา เว่ยฉิงเคยขอให้เขาไปดูแลใต้เท้าต้วน หมอซูไม่มีทางเลือกจึงจัดยาให้เพื่อบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้เท่านั้น แต่กำลังวังชาของต้วนโส่วฝู่กลับอ่อนโรยราลง

เมื่อชะตาได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว ต่อให้เป็นหมอเทวดาก็ยากที่จะฝืนโชคชะตาได้

เมื่อเขาเห็นเว่ยฉิง ท่านผู้เฒ่ากวักมือเรียก

“มานี่” เว่ยฉิงเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ตรงกันข้าม

“ท่านโส่วฝู่ ท่านดื่มยาหรือยัง?” เขามองชามที่ยังมียาอยู่เต็ม

“มันขมเกินไป” ใบหน้าซูบผอมของต้วนโส่วฝู่ส่อแววรังเกียจ

เว่ยฉิงอดเลิกคิ้วไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าท่านต้วนโส่วฝู่ผู้สง่างามเต็มไปด้วยอำนาจจะมีมุมที่เป็นเด็กน้อยซ่อนอยู่

“นายท่าน ท่านยังไม่ได้ดื่มยาหรือขอรับ” บ่าวรับใช้เก่าแก่ผู้เป็นคนดูแลโผล่เข้ามาถาม

เมื่อต้วนโส่วฝู่เห็นเช่นนั้น เขารู้สึกผิดจนต้องรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า

“ดื่มเดี๋ยวนี้ล่ะ อย่าพูดมากนักเลย” ในขณะที่พูด เขายกชามยาขึ้นถือแล้วดื่มลงไปจนหมด

หลังจากดื่มแล้ว เขานั่งเชิดศีรษะขึ้นราวกับรอให้รสขมของยาได้บรรเทาลงไป

“เหลาจิน ข้าดื่มแล้ว” ต้วนโส่วฝู่พูดอย่างภาคภูมิใจ ไม่นานบ่าวรับใช้ก็เปิดประตูเข้ามา

“หากนายท่านไม่ดื่มยา สุขภาพจะดีขึ้นได้อย่างไร?” บ่าวรับใช้ชราหยิบชามยาแล้วเดินออกไป เขาปิดประตูตามหลังอย่างสนิทแน่น

“เหลาจิน เฝ้าหน้าประตูไว้ให้ดี อย่าให้ใครเข้ามา” ต้วนโส่วฝู่สั่ง

“ขอรับ นายท่าน”

“ข้าไม่มีบุตร แต่เหลาจินดูแลข้ามาหลายสิบปีแล้ว” ต้วนโส่วฝู่เปรยขึ้นมา

“เขาดูแลข้าเป็นอย่างดีมาตลอด”

เว่ยฉิงเคยได้ยินเรื่องราวของต้วนโส่วฝู่ผู้นี้มาบ้าง เขาเกิดในครอบครัวยากไร้ แต่สอบได้คะแนนสูงสุดมาทั้งสามครั้ง กลายเป็นคนมีชื่อเสียงและมีเกียรติ ต่อมาถึงได้เข้ารับราชการในสำนักฮั่นหลิน เป็นเสนาบดี แล้วจึงได้เลื่อนขั้นติดต่อกัน

แม้ว่าเขาจะสอบได้จ้วงหยวน แต่ก็ไม่ละทิ้งภรรยาเดิมของตน เขาพานางมายังเมืองหลวง สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวกันดีแม้ว่านางจะไม่มีบุตรและธิดา ต่อมานางล้มป่วยและเสียชีวิต เขาก็ไม่ได้คิดที่จะแต่งงานใหม่ เขาเป็นเช่นนี้เอง ในหัวใจไม่เคยคิดเรื่องส่วนตัวหรือครอบครัว มีแต่เพียงเรื่องของกิจราชสำนักเท่านั้น

ต้วนโส่วฝู่มีลูกศิษย์มากมาย ล้วนแต่มีไมตรีแต่ไม่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเป็นการส่วนตัวใดๆ นี่คือผู้ที่สง่างามและน่านับถือตัวจริง เว่ยฉิงคิดอยู่เสมอว่าผู้คนล้วนมีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง ยากนักที่จะไม่เอนเอียงหรืออ่อนไหวจนกลายเป็นเห็นแก่ตนเอง เช่นเดียวกับตัวเขา ในสายตาของเขาแล้วบุตรและภรรยาล้วนมาเป็นที่หนึ่ง เว่ยฉิงจึงชื่นชมและถือว่าต้วนโส่วฝู่เป็นบุคคลที่ควรเอาเยี่ยงอย่าง

ผู้เฒ่ามองเว่ยฉิง

“ขอบคุณเจ้ามาก หากไม่ได้เจ้าช่วยเหลือเอาไว้ ใต้หล้าคงวุ่นวายผู้คนคงต้องตกทุกข์ได้ยาก”

“ข้ากำลังจะตาย” เขาเอ่ยออกมาอีกครั้ง “ราชสำนักสับสนเช่นนี้ แต่ข้าไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะจัดการ” คำพูดของเขาเหมือนกำลังสั่งเสียทำให้เว่ยฉิงหดหู่และไม่สบายใจ

“ท่านอาจารย์ต้วน ท่านได้ทำสิ่งที่ท่านสมควรทำแล้ว ที่เหลือคงต้องปล่อยให้ชนรุ่นหลังคอยดูแลเถิด” ต้วนโส่วฝู่ลอบถอนหายใจ เขายังไม่อาจปล่อยมือไปได้

“องค์ชายรัชทายาทคงจะต้องเป็นองค์ชายหก แม้ว่าพระองค์จะมีชันษามากแล้วแต่กระนั้นก็ยังไม่มีประสบการณ์มากนัก ราชสำนักยังสับสนวุ่นวายเช่นนี้ ปัญหารุมเร้าทั้งภายในและภายนอกพระองค์ยังต้องการความช่วยเหลือจากท่าน”

“ข้ากินเบี้ยหวัดจากฝ่าบาท ข้าย่อมมีความจงรักภักดีต่อฝ่าบาทเป็นธรรมดา” เว่ยฉิงตอบรับ ต้วนโส่วฝู่ยังคงมองเขาแน่วแน่ราวกับต้องการที่จะมองทะลุผ่านไปเห็นหัวใจของเขา เขาอยู่มานาน นานจนได้พบเห็นผู้คนมากมาย แต่เขากลับมองชายตรงหน้าไม่ออก อู่อวี้เป็นคนมีความสามารถมาก แต่คนผู้นี้ให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขาม แปลกแยกโดดเดี่ยว ราวกับเขามีเป้าหมายที่มุ่งมั่นเป็นของตนเอง หากเขาได้บรรลุเป้าหมายของตนแล้ว เขาก็พร้อมที่จะปลีกตัวเดินจากไปในทันที

ต่อให้ราชสำนักจะวุ่นวายอย่างไร ย่อมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแต่อย่างใด

ต้วนโส่วฝู่กังวลเหลือเกินว่าหากตัวเขาจากไปแล้วจะไม่มีใครคอยช่วยค้ำจุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แคว้นต้าโจวจะสับสนอลหม่านอีกครั้งก็เป็นได้

“อู่อวี้ เจ้าให้สัญญากับข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้าจะช่วยฮ่องเต้พระองค์ใหม่ครองราชย์และนำความสงบสุขมาสู่ราษฎร”

เว่ยฉิงไม่ได้รับตอบรับ เดิมทีเขาวางแผนที่จะรอให้จ้าวจิ่งซวนขึ้นเป็นฮ่องเต้ จากนั้นจะได้รื้อคดีของสกุลเซียวขึ้นมาทวงคืนความยุติธรรม เมื่อเรื่องราวจบลงเขาจะปลีกตัวไปอยู่กับภรรยาและบุตรหรือไปหาซานเป่า

ก็แค่ให้เขาอยู่และทำงานหนักต่อไปสักพักเท่านั้น ภรรยาของเขาเป็นคนใจดี หากต้าโจวสงบสุขผู้คนไม่ทุกข์เข็ญ ภรรยาของเขาคงจะมีความสุขไปด้วยเช่นกัน คิดดังนั้นแล้วเขาจึงพยักหน้ารับ

“ตกลง ข้าให้สัญญากับท่าน” ต้วนโส่วฝู่มองเว่ยฉิงจากนั้นจึงได้คลี่ยิ้มออกมาอย่างเบาใจ

“ดี! ดียิ่งนัก” ในที่สุดหินที่ทับอยูบนอกก็ร่วงลงพื้นเสียที

หลังจากเว่ยฉิงกลับไปแล้ว เขานั่งตัวตรงอยู่เช่นนั้น มองไปเบื้องหน้าราวกับได้เห็นคนที่คุ้นเคย รอยยิ้มที่มุมปากปรากฎขึ้น

“เจ้ามาแล้ว” หลังที่เคยตรงกลับทรุดฮวบลง ศีรษะตก มือห้อยร่วงหล่น ดูราวกับเขาผล็อยหลับไป ไม่รู้ว่านานเพียงใดกว่าบ่าวรับใช้ชราจะเดินก้มหน้าเข้ามาเงียบๆ

“นายท่าน ไฉนมาหลับอยู่ตรงนี้…” เขาพึมพาเบาๆ ทันใดนั้นราวกับสังหรณ์ใจ เขายื่นมือออกไปรองที่ใต้จมูกของต้วนโส่วฝู่ มือเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ น้ำตาไหลอาบลงบนใบหน้าเหี่ยวย่นชราของเขา