บทที่ 548 สารภาพความจริง
เรื่องนี้พูดออกจากปากนางดูเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับยากมากทีเดียว
คนที่สูญเสียขาไปสองข้างคิดจะลุกขึ้นยืน จะต้องทำขาเทียมที่เหมาะกับตัวเอง ขาเทียมไม่ใช่สิ่งที่ยากที่สุด ที่ยากคือเบ้าของขาเทียม ในกล่องยาน้อยตอนนี้ไม่มีวัสดุที่เหมาะสมที่จะทำเบ้าของขาเทียมเลย
ส่วนทางเซียวเหิงที่หลังจากไปเยี่ยมเยือนจวงไทเฮาแล้วกลับออกจากวัง เขาก็ไม่ได้กลับไปที่ตรอกปี้สุ่ย แต่ไปที่โรงหมอแทน
ยามนี้ย่างเข้ายามดึกแล้ว กลิ่นอาหารหอมฉุยลอยมาจากโรงหมอเป็นระลอกๆ สำนักบัณฑิตสตรีที่อยู่ข้างๆ ยังไม่เปิดภาคเรียน ยังคงเงียบเชียบอยู่ มีแต่โรงหมอนี่แหละที่กิจการคึกคัก ผู้คนไปมาพลุกพล่าน
เซียวเหิงเข้ามาในโถงใหญ่ ถามเถ้าแก่รองที่อยู่หลังโต๊ะคิดเงิน “ใต้เท้ากรมยุติธรรมยังอยู่หรือไม่”
เซียวเหิงไม่ใช่หมอ ไม่เข้าใจขั้นตอนการรักษา จึงไม่คิดว่าเจ้ากรมยุติธรรมยังอยู่ที่นี่จะแปลกอะไร
เขาขึ้นไปชั้นสอง เพื่อพบเจ้ากรมยุติธรรมและหมอซ่งในห้องด้านในสุด
แขนของเจ้ากรมยุติธรรมถูกหมอซ่งต่อคืนเรียบร้อยแล้ว แต่ที่จนถึงยามนี้แล้วยังไม่กลับก็เพราะหมอซ่งพบอาการแทรกซ้อนในตัวเขา
หมอซ่งจึงตรวจให้เขาอย่างละเอียดและเขียนใบสั่งยาให้ ก่อนถามเขาว่าจะเอากลับไปต้มดื่มเองหรือให้เขาต้มแล้วทำเป็นลูกกลอนให้ แต่ถ้าทำเป็นลูกกลอนค่อนข้างเปลืองเงิน แต่ประหยัดเวลาไม่น้อย
ฐานะทางบ้านของเจ้ากรมยุติธรรมไม่ได้ขัดสน จึงให้เด็กจัดยาไปต้มแล้วทำเป็นลูกกลอนให้
“ร้ายแรงหรือไม่” หลังจากเซียวเหิงทราบอาการแล้วก็ถามหมอซ่ง
หมอซ่งเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ปัญหาการดื่มสุราจะพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ภายหน้าต้องใส่ใจเรื่องอาหารการกินให้มาก เดินให้เยอะ จำกัดการกินหน่อย ที่สำคัญก็คือ”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ เขามองเจ้ากรมยุติธรรมอย่างจริงจังเป็นพิเศษ “ต้องงดสุรา”
เจ้ากรมยุติธรรรมกระแอมในลำคออย่างกระดากอาย “สักหยดก็ไม่ได้เลยรึ”
นั่นคือทั้งหมดที่เขาชอบแล้วนะ
“แม้แต่หยดเดียวก็ไม่ได้!” หมอซ่งไม่อนุญาตให้แย้ง
“เฮ้อ” เจ้ากรมยุติธรรมถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ข้าดื่มมาค่อนชีวิตแล้ว จู่ๆ จะไม่ให้ดื่มแม้แต่หยดเดียว มันโหดร้ายเกินไปกระมัง”
เซียวเหิงเกลี้ยกล่อม “หมอซ่งหวังดีกับใต้เท้าทั้งนั้น”
เจ้ากรมยุติธรรมโบกมือไปมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก “เฮ้อ ก็ได้ ไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม”
หมอซ่งมองเขาพลางเอ่ย “อย่าไม่ดื่มแต่ปากล่ะ ถ้ากลับไปแอบดื่ม เจ้าจะดื่มหรือไม่ดื่มตรวจครั้งหน้าข้าย่อมรู้”
นี่เป็นคำติดปากของกู้เจียว เจ้าได้ทำหรือไม่ข้าย่อมรู้ได้อยู่ดี
พวกหมอในโรงหมอจึงเอาอย่างกันหมด ใช้ได้ผลกับพวกคนไข้ไม่น้อย
เจ้ากรมยุติธรรมสำลัก เอ่ยในใจว่าคราหน้าไม่มาโรงหมอของพวกเจ้าแล้วก็ได้
หมอซ่งมองออกว่าเซียวเหิงมีธุระจะคุยกับเจ้ากรมยุติธรรม เมื่อกำชับเรื่องที่ต้องระวังเสร็จจึงเอ่ย “ข้าไปดูยาลูกกลอนก่อนนะ” ก่อนจะหันหลังเดินลงไปชั้นล่างเลย
เจ้ากรมยุติธรรมชี้โต๊ะตรงข้าม “ลิ่วหลัง ช่วยเทชาให้ข้าที”
เซียวเหิงเทน้ำชาร้อนๆ ให้เจ้ากรมยุติธรรมถ้วยหนึ่ง เจ้ากรมยุติธรรมดื่มถ้วยใหญ่ในรวดเดียว “อะ…เอามาอีกถ้วย!”
เจ้ากรมยุติธรรมดื่มไปทั้งหมดสามถ้วยจึงได้รู้สึกว่าลำคอตัวเองไม่ร้อนผ่าวแล้ว
“สรุปแล้วเมื่อครู่ข้าเป็นคนพูดหรือเขาเป็นคนพูดกันแน่”
เจ้ากรมยุติธรรมนึกถึงตอนโดนหมอซ่งกำชับมาตลอดทั้งบ่ายก็ปวดหัวไปหมด
เซียวเหิงไม่ได้ต่อบทสนทนาเขา
เจ้ากรมยุติธรรมส่ายหน้า ทิ้งหมอซ่งไว้ข้างหลัง แล้วเอ่ยธุระกับเซียวเหิง “เมื่อครู่เจ้าออกไปข้างนอก สืบได้ความอะไรมาบ้างหรือไม่”
“นางโลมแห่งหอเซียนเล่อยังไม่ตายขอรับ” ระหว่างทางมานี้เซียวเหิงก็คิดถี่ถ้วนแล้วว่าข่าวไหนพูดได้ ข่าวไหนพูดไม่ได้
เจ้ากรมยุติธรรมตกใจยกใหญ่ “ว่าอย่างไรนะ แม่นางที่นามว่าม่อเชียนเสวี่ยนั่นยังไม่ตายรึ เช่นนั้นเหตุใดพวกนางจึงพากันบอกว่า…”
เซียวเหิงเอ่ยคาดการณ์ “พวกสาวใช้ของหอเซียนเล่อน่าจะจำคนผิด ส่วนฮวาซีเหยานั่นถ้าเดาไม่ผิดคงจะกำลังเล่นละครอยู่”
เจ้ากรมยุติธรรมขมวดคิ้ว “ตั้งใจอย่างนั้นรึ ถ้าอย่างนั้นพวกนางสองคน…ก็เป็นพวกเดียวกันน่ะสิ”
เซียวเหิง “ขอรับ”
เจ้ากรมยุติธรรมตบต้นขาฉาดใหญ่ “ข้าว่าแล้วว่าหอเซียนเล่อต้องมีอะไรแน่ๆ ! พวกนางรวมหัวกันแสดงละครนี้เพื่อการใดกัน”
เพื่อจัดการข้า เพื่อจัดการกู้เจียว
ละครฉากนี้จัดขึ้นเพื่อเขา และจัดเพื่อกู้เจียว ผู้อยู่เบื้องหลังอาจจะเป็นหอเซียนเล่อ และอาจมีอำนาจอื่นๆ อีกก็เป็นได้
เรื่องบางเรื่องเซียวเหิงจะยังไม่บอกเจ้ากรมยุติธรรมตอนนี้
เจ้ากรมยุติธรรมถาม “แล้วนางโลมนางนั้นเล่า”
เซียวเหิงเอ่ย “อยู่ที่โรงหมอ”
“โรงหมอ!” เจ้ากรมยุติธรรมเลิกผ้าห่มลุกลงจากเตียง “ห้องไหน”
เซียวเหิงเอ่ย “ห้องปีกของเรือนท้าย ตอนนั้นนางบาดเจ็บสาหัส ถูกหมอในโรงหมอช่วยกลับมา นางเป็นบุคคลสำคัญ พวกเราอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นตอนนี้เลย”
เจ้ากรมยุติธรรมเอ่ยด้วยความฉงน “เหตุใดดันมาถูกคนของโรงหมอช่วยไว้ได้เล่า นางจงใจรึ หรือโรงหมอแห่งนี้มันมีอะไรแปลกๆ ”
สมกับที่เป็นคนของกรมยุติธรรม ตรรกะความคิดจึงฉับไวมาก แต่เรื่องที่ม่อเชียนเสวี่ยมาหากู้เจียวนั้น เซียวเหิงไม่ได้คิดจะบอกเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อคนอย่างเจ้ากรมยุติธรรม แต่มันยังไม่ถึงเวลา
ยามนี้ยังไม่ใช่เวลามาตรวจสอบม่อเชียนเสวี่ย
เซียวเหิงเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ตัวโรงหมอไม่มีอะไรแปลกๆ ขอรับ แต่ว่าโรงหมอแห่งนี้ชื่อเสียงโด่งดังยิ่งนัก แม้แต่เจ้ากรมยุติธรรมเองยังมา ชนชั้นสูงคนอื่นที่ปวดหัวตัวร้อนก็ย่อมมา บางทีนางอาจจะเฝ้าใครบางคนที่นี่ก็ได้”
เจ้ากรมยุติธรรมเอ่ยคล้ายกำลังคิดบางอย่างอยู่ “เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล หรือว่านางจะแกล้งตายเพื่อปิดบังตัวตนจริงๆ แบบนี้นางจะได้ทำอะไรอย่างลับๆ ได้ อย่างไรเสียก็ไม่มีใครมาสงสัยคนที่ตายไปแล้วนี่นา แต่แบบนั้นข้ากลับสงสัยขึ้นมาแล้วสิ เจ้าของหอเซียนเล่อตายหรือยังไม่ตายกันแน่ หากยังไม่ตาย แล้วเขาอยู่ไหน หากตายไปแล้ว พวกนางแอบทำงานให้ใครอยู่กัน”
ยังมีนายน้อยอยู่ เซียวเหิงคิดในใจ
เซียวเหิงเอ่ย “ภรรยาข้าก็เป็นคนของโรงหมอแห่งนี้ อีกเดี๋ยวข้าจะเล่าให้นางฟัง ให้นางส่งคนมาจับตามองม่อเชียนเสวี่ยไว้ ตราบใดที่พวกเราจับตามองนางไว้ จะต้องพบเบาะแสอะไรขึ้นมาบ้างแน่”
เจ้ากรมยุติธรรมครุ่นคิดก่อนเอ่ย “ได้ เอาตามที่เจ้าว่าเลย ให้ภรรยาเจ้าระวังตัวด้วยล่ะ ม่อเชียนเสวี่ยมีฝีมือ”
เซียวเหิงพยักหน้า “ทราบขอรับ”
เจ้ากรมยุติธรรมถามอีก “เรื่องนี้นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครรู้อีกหรือไม่”
“ไทเฮาขอรับ”
ณ ห้องบรรทมของตำหนักเหรินโซ่ว ฉินกงกงกำลังเอ่ยเรียกจวงไทเฮาที่นั่งข้างหน้าต่างเบาๆ
จวงไทเฮาหลุดจาภวังค์ บีบผลไม้เชื่อมสองเม็ดในจานเบาๆ “มีอะไรรึ”
เสี่ยวจิ้งคงเป็นยอดฝีมือเรื่องขี้ฟ้อง เพียงแค่จวงไทเฮาแอบกิน เขาจะเป็นคนแรกที่วิ่งแจ้นไปฟ้องกู้เจียวทันที
ทว่าเจ้าหนูน้อยยังสัมผัสได้ถึงอารมณ์เซื่องซึมของจวงไทเฮาได้เลย เขาจึงแอบยัดผลไม้เชื่อมให้นางสองเม็ด
ฉินกงกงเอ่ย “ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ แค่ก่อนกลับแม่นางกู้ได้กำชับกระหม่อมให้ต้มน้ำแกงโสมให้ท่านหน่อย น้ำแกงต้มเสร็จแล้วจะยกมาให้ท่านเดี๋ยวนี้”
“เอามาสิ” จวงไทเฮาตรัสเสียงเรียบ
ฉินกงกงหันหลังไปยกถาดน้ำแกงมาจากขันทีน้อย เดินมาวางไว้บนโต๊ะของจวงไทเฮาอย่างเบามือ
จวงไทเฮายังคงนิ่ง
ฉินกงกงยิ้ม “ไม่ร้อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ ดื่มตอนที่ยังอุ่นๆ ดีกว่า อีกเดี๋ยวจะเย็นชืดเสียก่อน”
จวงไทเฮายกน้ำแกงขึ้นจิบคำหนึ่งอย่างเกียจคร้าน
ฉินกงกงยิ้มแหยเอ่ย “แม่นางกู้กำชับให้ใส่เกลือน้อยลง มันขมขึ้นมานิดหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จวงไทเฮาแค่นเสียงขึ้นจมูก “เหอะ ไม่เคยกินอาหารที่ลิ่วหลังเป็นคนทำก็ไม่มีสิทธิ์มาบอกว่าดื่มยาก”
ฉินกงกง “เอ่อ…”
ว่ากันตามตรงก็คือยากจริงๆ นั่นแหละ หากมิใช่เพราะเคยถูกฝีมือการทำอาหารของเซียวเหิงทำเอากระอักมาก่อน จวงไทเฮาคงดื่มไม่ลงแน่
เห็นจวงไทเฮาฝืนกลืนลงจนหมดทั้งๆ ที่ไม่ชอบ ฉินกงกงจึงเผยยิ้มจากใจออกมา
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ต่อให้เป็นสิ่งที่ดื่มยากกินยากกว่านี้ ขอแค่บอกว่าแม่นางกู้กำชับไว้ ไทเฮาก็จะรับไว้ทุกอย่าง
“ตอนหนิงอันเด็กๆ เจ้าก็อยู่ด้วยกระมัง” จู่ๆ จวงไทเฮาก็ตรัสขึ้น
ฉินกงกงไม่รู้ว่าเหตุใดหัวข้อสนทนามันถึงได้มาเรื่ององค์หญิงหนิงอันได้ เขาชะงักไปก่อนจะตอบ “ยะ…อยู่พ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นไทเฮาเพิ่งจะเข้าวังมาใหม่ๆ กระหม่อมก็เข้าวังแล้ว เพียงแต่ไม่ได้อยู่รับใช้ข้างกายไทเฮา”
จวงไทเฮาทอดมองต้นไห่ถังที่มีหิมะเกาะอยู่เต็มต้นนอกหน้าต่าง “เจ้ายังจำนิสัยตอนเด็กๆ ของหนิงอันได้หรือไม่”
“จำได้พ่ะย่ะค่ะ จำได้!” ฉินกงกงตอบอย่างคล่องแคล่ว “ปากหวาน ร่าเริง ซุกซน อยู่นิ่งไม่ได้เลย แต่หากไม่เป็นเช่นนี้จะมาชนเกี้ยวของท่านที่สวนหลวงได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
จวงไทเฮาตรัสอย่างไม่แยแส “ก็แค่แผนของจิ้งเฟย นางบังเอิญชนเกี้ยวข้าที่ไหนกัน เสียดายก็แต่ตอนนั้นข้ายังเด็ก ไม่รู้จักความชั่วร้ายและอันตรายในวังหลวง ไปเอาคนเลวทรามมาเป็นสหายรู้ใจ”
ฉินกงกงถามอย่างระมัดระวัง “ไทเฮานึกเสียใจขึ้นมาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จวงไทเฮาเคาะโต๊ะ ฉินกงกงตาไวเทน้ำชาอุ่นให้ จวงไทเฮาหยิบถ้วยขึ้นมา “นึกเสียใจอะไรล่ะ เสียใจที่ไปคบหาจิ้งเฟย หรือเสียใจที่ทำดีกับลูกสองคนของนาง”
ฝ่าบาทไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของจิ้งไท่เฟย แต่ในเมื่อเห็นแก่จิ้งไท่เฟย จึงนับว่าเป็นโอรสของจิ้งไท่เฟยแล้วกัน
จวงไทเฮาตรัสต่อ “ไม่มีอะไรให้นึกเสียใจหรอก ฮ่องเต้กับหนิงอันตอนเด็กๆ น่ารักน่าเอ็นดูจริง ข้าเสียลูกไป โชคดีที่มีพวกเขาสองคน ข้าจึงได้เดินออกมาจากความมืดมน หากจะบอกว่าเป็นแผนของจิ้งไท่เฟย ไม่สู้บอกว่าข้าได้รับในที่สิ่งที่ต้องการดีกว่า”
“เช่นนั้นท่านยามนี้…” ตรัสเรื่องพวกนี้เพื่อการใดกัน ฉินกงกงไม่ค่อยเข้าใจว่าจวงไทเฮาหมายความว่าอย่างไร เขารู้สึกเหมือนมีตรงไหนแปลกๆ อยู่
แรกเริ่มองค์หญิงหนิงอันแปลกๆ มายามนี้จวงไทเฮาก็แปลกตามแล้ว
จวงไทเฮาดื่มชาคำหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “หนิงอันเป็นเสือกระดาษตัวหนึ่ง ยามปกติอาศัยข้าหนุนหลังให้ ข่มขู่ คนอื่น ไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน แต่ความจริงแล้วใจปลาซิวนัก ซ้ำยังกลัวความมืดกลัวฟ้าร้อง และกลัวเจ็บกลัวตายด้วย”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ ฉินกงกงก็เหมือนเห็นหนิงอันน้อยร้องไห้อยู่ตรงหน้าเขาอย่างไรอย่างนั้น เขายิ้มเอ่ย “ตอนองค์หญิงหนิงอันหลับก็ต้องจุดตะเกียงไว้ ความเคยชินนี้กลับเหมือนฝ่าบาทเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
สองพี่น้องล้วนกลัวความมืด
จวงไทเฮามองนกเสี่ยวจิ่วที่กระพือปีกปัดหิมะบนต้นไห่ถังพลางตรัส “แต่มีอยู่คืนหนึ่ง จู่ๆ นางก็หายกลัวขึ้นมาดื้อๆ ข้ายังจำได้ดี มันเป็นตอนที่ข้าถูกฮ่องเต้พระองค์ก่อนส่งเข้าตำหนักเย็น ตอนนั้นเจ้าถูกลงโทษต้องตกระกำลำบากอยู่ในคุก ไม่ได้อยู่ข้างกายข้า ข้าป่วยอยู่หลายวัน คืนนั้นทั้งฝนทั้งหิมะกระหน่ำ นึกไม่ถึงว่าหนิงอันจะวิ่งมาเยี่ยมข้าที่ตำหนักเย็นเพียงลำพัง”
“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ” ฉินกงกงตกใจ
จวงไทเฮาดื่มชาที่อยู่ในมือและเล่าเรื่องในใจต่อ “ปกติพวกเขาสองพี่น้องมักจะมาด้วยกัน หากมีแค่คนใดคนหนึ่งมาคนเดียว ก็มักจะเป็นหงเอ๋อร์ ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงตกใจมาก ข้าถามนางว่ามาได้อย่างไร นางบอกว่า เสด็จแม่ ข้ามาเยี่ยมท่าน ท่านล้มป่วย แต่ข้าไม่ได้บอกผู้ใดว่าข้าป่วย และข้าไม่รู้ว่าเด็กคนนี้รู้ได้อย่างไร จึงถามนางว่าไม่กลัวความมืดหรือ นางบอกว่าไม่กลัว”
ฉินกงกงยิ้มเอ่ยเออออไปด้วย “องค์หญิงจริงใจต่อท่าน เพื่อท่านแล้วไม่มีเวลาแม้แต่จะกลัวด้วยซ้ำ”
เสี่ยวจิ่วกวาดหิมะไม่ทันระวังกวาดจนตัวเองร่วงลงมา มันร่วงลงไปในกองหิมะดูคล้ายน้อยอกน้อยใจ บินมาหมอบอยู่ตรงข้างหัตถ์ไทเฮา
ราวกับรอให้จวงไทเฮาลูบขนให้มัน
จวงไทเฮาใช้ถ้วยชาดันเสี่ยวจิ่วอย่างรังเกียจ
เสี่ยวจิ่วที่ถูกปฏิเสธ “…”
จวงไทเฮาตรัสเสียงนิ่ง “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ข้าจึงได้รู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาจริงๆ และสาบานในใจว่าจะรักเด็กคนนี้ไปตลอดชีวิต”
ฉินกงกงยิ่งฟังยิ่งงง ประโยคนี้ของไทเฮาไม่มีปัญหา แต่สีพระพักตร์ไทเฮาค่อนข้างแปลกพิกลทีเดียว
ใต้เท้าเซียวมาวันนี้ได้พูดอะไรกับไทเฮาหรือไม่นะ
…
เซียวเหิงส่งเจ้ากรมยุติธรรมขึ้นรถม้ากลับจวน ก่อนจะเดินกลับไปตรอกปี้สุ่ย
เสียงเสี่ยวจิ้งคงเจี๊ยวจ๊าวดังทั่วทั้งตรอก
“ดีใจเพียงนี้เชียวรึ” เซียวเหิงส่ายหน้า สาวเท้าข้ามธรณีประตูไป
เมื่อเขาเข้าห้องไปแล้วจึงได้พบว่ากู้ฉังชิงกับกู้เฉิงเฟิงมาหา
กู้เฉิงเฟิงมาซื้อยาปลูกผม ส่วนกู้ฉังชิงมาเยี่ยมน้องชายน้องสาว
กู้ฉังชิงกับกู้เจียวไปชายแดน ทิ้งกู้เหยี่ยนให้อยู่ที่นี่คนเดียว กู้เหยี่ยนน้อยแสดงออกว่าโกรธมาก แต่เขาทำใจโกรธกู้เจียวไม่ลง กู้ฉังชิงเลยได้รับความโกรธทั้งหมดของเขาไปแทน
กู้ฉังชิงทั้งพากู้เหยี่ยนไปขี่ม้า ทั้งพาไปยิงธนู จึงได้ง้อกู้เหยี่ยนให้หายในที่สุด
จากนั้นก็เป็นกู้เสี่ยวเป่า
ตอนที่กู้เสี่ยวเป่าเกิดกู้ฉังชิงไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง ต่อมาก็เกิดศึกขึ้น แล้วเขาก็ควบม้าเร่งรุดไปด่านชายแดนต่อ ดังนั้นวันนี้เขาจึงเพิ่งจะพบกับกู้เสี่ยวเป่าเป็นครั้งแรก
ทว่ากู้เสี่ยวเป่าคล้ายกับกลัวเขามาก ถูกเขาอุ้มอยู่ในอก เจ้าตัวน้อยก็ตัวสั่นระริก
กู้เฉิงเฟิงได้เห็นละครน้ำดีของพี่ใหญ่อย่างหาได้ยาก จึงยิ้มเอ่ยเย้ยหยัน “พี่ใหญ่ไม่เอาไหนเลย เสี่ยวเป่าไม่ชอบท่านพี่แหน่ะ”
กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าเอาไหนก็มาลองเองมา!”
“ลองได้อยู่แล้ว!” กู้เฉิงเฟิงรับตัวกู้เสี่ยวเป่ามาอย่างไม่รู้สึกกดดันสักนิด เป็นดังที่คาด กู้เสี่ยวเป่าตัวไม่สั่นแล้ว
กู้ฉังชิงหน้าหมองลงทันที
“ฮ่า ฮ่า! ข้าก็บอกแล้วอย่างไรเล่า!” กู้เฉิงเฟิงหัวเราะยกใหญ่
ครู่ต่อมาเขาก็ยิ้มไม่ออกแล้ว
เพราะจู่ๆ กู้เสี่ยวเป่าก็มุดหน้าอกเขา อ้าปากงับ…ของเขา
กู้เฉิงเฟิงตัวสั่น!
ข้าไม่ใช่แม่นมเจ้านะ!