บทที่ 720 เสียเปรียบอย่างร้ายแรง
บทที่ 720 เสียเปรียบอย่างร้ายแรง
ใครกันอีกวะเนี่ย!?
เสียงนั้นทำให้ทุกคนประหลาดใจ และพวกเขาทั้งหมดก็รีบมองไปยังทิศทางของต้นเสียง กลุ่มคนได้ปรากฏตัวขึ้น มีรูปร่างต่างกันตั้งแต่สูงเตี้ยอ้วนไปถึงผอมสูง ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแปดเดียวดายของสำนักมารที่พวกเขาเคยพบมาก่อนหน้านี้
ซูอันไม่พอใจมาก…
นี่สรุปข้าเป็นห้องน้ำสาธารณะหรือไง? ทำไมถึงมีคนแปลกหน้าแวะเวียนไปมาราวกับห้องน้ำบ้านตัวเองแบบนี้!
ถ้าพวกเจ้าจะมาก็ควรมาก่อนหน้านี้ แล้วไปฆ่าฟันกับมังกรแก่ตัวนั้นและนักรบเงินสด แล้วทิ้งข้าให้เก็บเกี่ยวผลในตอนท้าย!
แต่เขากลับเป็นคนที่ต้องจัดการกับสองคนนั้นด้วยตัวเอง และตอนนี้กลุ่มนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นเพื่อปล้นรางวัล สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดอย่างมาก
คนอื่น ๆ ในกลุ่มของซูอันก็มีสีหน้าที่คล้ายคลึงกัน ชัดเจนว่าพวกเขาคิดเหมือนกัน
“ดูเหมือนว่าพวกเขาสามารถจัดการกับภูตดำเหล่านั้นได้ เมื่อข้าแอบหนีไปก่อนหน้านี้ภูตดำเหล่านั้นก็ยังพยายามติดตามอยู่”
เพ่ยเหมียนหมานกล่าวอย่างเบา ๆ นางค่อนข้างรำคาญกับตัวเอง ถ้านางรู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น นางจะห้ามซูอันไม่ให้กลับมา พวกเขาคงไม่เจอกับคนพวกนี้แล้ว
จากนั้นร่างที่เย้ายวนใจก็ค่อย ๆ เดินออกจากกลุ่มแปดเดียวดาย ดวงตาของนางสั่นไหวด้วยประกายแห่งความสุขเมื่อนางเห็นซูอันปลอดภัย ทว่าสีหน้าของนางเปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อสังเกตเห็นสาวงามที่ยืนอยู่ข้างเขา “นายน้อยซูช่างเป็นที่น่าอิจฉาของบุรุษทุกคนจริง ๆ เจ้ามักจะรายล้อมไปด้วยสาวงามทุกที่ที่เจ้าไป”
เพ่ยเหมียนหมานพูดพร้อมกับหัวเราะ “แม่นางชิวอิจฉาข้าที่อยู่ใกล้นายน้อยซูหรือไม่? ข้าสามารถให้ที่ของข้าได้ถ้าเจ้าต้องการ”
“เจ้ากล้าดียังไงถึงกล่าววาจาล่วงเกินบุตรีสวรรค์ของเรา!” ผู้หญิงซึ่งเป็นหนึ่งในแปดเดียวดายตะโกนด่าตอบเสียงดัง
ซูอันอดไม่ได้ที่จะมองดูนาง ไม่ใช่เพราะนางสวย แต่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง นางดูดุร้ายและก๋ากั่นและนางก็มีนิสัยเป็นผู้หญิงไม่มากนัก (ถ้ามี)
นางสูงกว่าผู้ชายทั่วไปด้วยซ้ำ และแขนของนางก็สมบูรณ์ด้วยกล้ามเนื้อ หนากว่าต้นขาของผู้ชายหลายคน นางถือค้อนขนาดใหญ่ในมือ
เขาจำได้ว่านางเป็นผู้บ่มเพาะสายฟ้าจากการต่อสู้ครั้งก่อน
เกิดอะไรขึ้น ทำไมผู้บ่มเพาะสายฟ้าต้องถือค้อนด้วย? ในโลกที่แล้วเทพเจ้าสายฟ้าธอร์จากเทพนิยายใช้ค้อนโยลเนียร์ ตอนนี้ผู้บ่มเพาะสายฟ้าของโลกนี้ก็ปรากฏตัวพร้อมกับค้อนด้วยเช่นกัน?
แต่ด้ามค้อนของนางนั้นยาวกว่าด้ามของธอร์มาก ซึ่งทำให้อาวุธของนางดูเหมือนกับหอกมากกว่า
เพ่ยเหมียนหมานดูเหมือนจะไม่สนใจ นางยิ้มและกล่าวว่า “แม่นางผู้บ่มเพาะธาตุสายฟ้า ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่เข้าใจหัวใจของผู้หญิงดีเท่าไหร่ บุตรีสวรรค์ของเจ้าอาจแอบดีใจที่ได้ยินคำพูดของข้าซะด้วยซ้ำ”
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” ตามปกติแล้วเหล่าผู้บ่มเพาะธาตุสายฟ้ามักจะโกรธได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อรวมกับสถานะของชิวฮัวเล่ยซึ่งเป็นบุตรีสวรรค์ของสำนักมารและเป็นศิษย์ของผู้นำสำนัก ดังนั้นนางจึงไม่อาจทนต่อการยั่วยุอย่างต่อเนื่องของเพ่ยเหมียนหมานได้
ความเดือดดาลเพิ่มขึ้นในตัวนางทุกครั้งที่เห็นแตงโมสองลูกใหญ่ ๆ บนหน้าอกของเพ่ยเหมียนหมาน ยิ่งไปกว่านั้น ทุกการเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนนี้นั้นยังดูเจ้าชู้และเย้ายวนดึงดูดสายตาของผู้ชายรอบตัวตลอดเวลา
นางดูถูกเพ่ยเหมียนหมานตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เมื่อหาเหตุผลที่จะโจมตีได้แล้ว นางจึงขว้างค้อนพุ่งตรงมาที่เพ่ยเหมียนหมาน
“ระวัง!” กลุ่มของซูอันแยกย้ายกันไปทันทีเมื่อเห็นสิ่งนี้ ค้อนส่งเสียงหวีดหวิวผ่านอากาศอย่างรุนแรง ทุกหนทุกแห่งที่มันพาดผ่านจะปรากฏฝุ่นดินฟุ้งเป็นทาง และเมื่อมันกระแทกตรงพื้นดินที่เพ่ยเหมียนหมานเคยยืนอยู่ เสียงระเบิดก็ดังสนั่นก้องกังวานไปทั้งป่าและพื้นดินบริเวณนั้นบังเกิดเป็นหลุมยุบขนาดใหญ่ สายฟ้าแลบกระจายไปทุกทิศทุกทาง
ซูอันและคนอื่น ๆ พยายามหลีกเลี่ยงคลื่นกระแทกด้วยการถอยห่างออกไป ผู้บ่มเพาะสายฟ้าคนนี้ไม่สนใจซูอันแต่อย่างใดในขณะที่นางยังคงไล่ตามเพ่ยเหมียนหมานต่อไป
เพ่ยเหมียนหมานทั้งโกรธและพูดไม่ออก เปลวเพลิงสีดำลุกโชนอยู่รอบตัวนาง
เนื่องจากผู้บ่มเพาะสายฟ้าได้เริ่มลงมือ แปดเดียวดายคนอื่น ๆ ก็พุ่งเข้าใส่กลุ่มของซูอันทันที
ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของผู้บ่มเพาะธาตุไม้ค่อนข้างอ่อนแอกว่าสหายของเขา ซูอันจึงวิ่งไปขวางเจิ้งตานเพื่อป้องกันไม่ให้ธาตุน้ำของนางส่งผลกระทบต่อเพื่อนของเขาที่บ่มเพาะธาตุไฟ
ผู้บ่มเพาะธาตุไม้เป็นผู้ชาย แม้แต่ผมของเขาก็ยังเป็นสีเขียว พืชต่าง ๆ งอกงามบนพื้นขณะที่เขาเดินผ่าน และทันใดนั้น เจิ้งตานก็พบว่าตัวเองรายล้อมไปด้วยเถาวัลย์คล้ายงู ซึ่งปกคลุมไปด้วยหนามและหนาราวกับงูเหลือม
เจิ้งตานหนีจากพวกมัน นางไม่ต้องการถูกจับอยู่ภายในกรงของเถาวัลย์ จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
ผู้บ่มเพาะธาตุไม้ชะงักไปชั่วขณะแต่ยังคงโจมตีต่อไป ในไม่ช้าทั้งสองก็พบว่าตัวเองกำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พิจารณาจากช่องว่างของระดับการบ่มเพาะของพวกเขาแล้ว เจิ้งตานไม่มีโอกาสที่จะทำลายเกราะพลังชี่ของอีกฝ่ายได้ แต่ผู้บ่มเพาะธาตุไม้ก็ไม่สามารถล้มเจิ้งตานได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ด้านข้างซ่างเฉี่ยนรู้สึกทึ่ง “ความแข็งแกร่งของพี่สะใภ้นั้นไม่ธรรมดาเลย! นางน่าทึ่งมาก!”
“แน่นอน!” ซ่างเชียนค่อนข้างภูมิใจ เจิ้งตานเคยเป็นหัวหน้าของกลุ่มวาฬมาก่อน เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกใต้ดินของเมืองจันทร์กระจ่าง นางจะเป็นเพียงแค่ผู้บ่มเพาะระดับห้าธรรมดา ๆ ได้อย่างไร?
แต่ในระหว่างที่กำลังหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ เขาก็นึกได้ว่านางดูจะสนิทสนมกับซูอันมากกว่าตัวเอง รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่างเชียนก็กลายเป็นแข็งค้างอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่เขาไม่มีเวลามากพอที่จะรู้สึกอิจฉา เนื่องจากศัตรูหลายคนพุ่งเข้ามาหาเขาแล้ว
พวกเขาคือผู้บ่มเพาะธาตุน้ำ ธาตุไฟและดินแห่งแปดเดียวดาย
พวกเขาสองคนน่าจะสามารถจัดการกับคู่ต่อสู้ที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านี้ได้ แต่ก็ต้องระวังซ่างหงซึ่งอยู่ในระดับแปดเป็นพิเศษ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าลดความระมัดระวังลงไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะบาดเจ็บแค่ไหนก็ตาม
ผู้บ่มเพาะธาตุน้ำเป็นผู้อาวุโสที่ถือไม้เท้า ขณะที่เขาโบกอาวุธไปมา ก็มีสายฝนโปรยปราย สาดเสื้อผ้าจนเปียกโชก
ทั้งสามคนจากตระกูลซ่างล้วนเป็นผู้บ่มเพาะธาตุไฟ ผลของทักษะธาตุจะลดลงอย่างมากหลังจากเผชิญกับสายฝนเช่นนี้
ผู้บ่มเพาะธาตุดินเป็นชายร่างใหญ่และดุร้าย เมื่อหมัดของเขากระแทกพื้น แผ่นดินจะสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว
สมาชิกในครอบครัวซ่างทั้งสามไม่สามารถรักษาสมดุลของร่างกายได้ และเริ่มเอนไปเอนมาอย่างไม่มั่นคง
ผู้บ่มเพาะธาตุไฟยกธนูขึ้นมาและยิงใส่ตระกูลซ่างทั้งสามที่อยู่ข้างหน้าเขา
ลูกธนูของเขาแตกต่างจากลูกธนูธรรมดา เพราะพวกมันถูกล้อมรอบด้วยเปลวไฟที่เสริมพลังอย่างมาก
ซ่างหงคำราม กงล้อแห่งไฟปะทุขึ้นรอบตัวเขา ทำให้พื้นดินรอบ ๆ ตัวเขามั่นคงขึ้น
จากนั้นเขาก็ชกหมัดเข้าหาลูกธนูเพลิง ซ่างหงเป็นผู้บ่มเพาะระดับแปด แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่สายตาของเขายังคงเฉียบแหลม และยังควบคุมพลังของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม
ทว่าหลังจากที่ต้านทานลูกธนูได้สำเร็จ เขายังคงกระอักเลือดออกมาในขณะที่อาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ของเขากำเริบขึ้นอีกครั้ง
ศัตรูโจมตีอีกครั้ง โชคดีที่ซ่างเฉี่ยนตอบสนองอย่างรวดเร็ว และรีบวิ่งไปช่วยเหลือบิดา
จากนั้นซ่างเชียนก็ตั้งสติได้และพุ่งเข้ามาเช่นกัน
ทั้งสองประสานการเคลื่อนไหวของพวกเขากับบิดาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเขารับมือกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องของสมาชิกแปดเดียวดายทั้งสามอย่างยากลำบาก