บทที่ 673 หึง

บทที่ 673 หึง

กู้เสี่ยวหวานมุ่ยหน้าพลางมองไปที่ฉินเย่จือด้วยสายตาที่เศร้าโศก ไม่ต้องพูดถึงว่านางดูน่ารักขนาดไหน

เมื่อเห็นนางเช่นนี้ ฉินเย่จือก็ขจัดความโกรธทั้งหมดที่ได้รับเมื่อนางพูดคุยและหัวเราะกับสวีเฉิงเจ๋อเมื่อครู่นี้ไปจนสิ้น

เขาบีบแขนผอมบางของนางพลางกล่าวอย่างรู้สึกเป็นทุกข์ “เมื่อเจ้าอ้วนขึ้นเล็กน้อย ข้าสัญญาว่าจะให้เจ้าเข้าไปในครัว ในช่วงนี้เจ้าควรกินให้ดี ถ้าเจ้าไม่อ้วนขึ้นอีกสักนิด อย่าโทษข้าล่ะ!”

หมายความว่าถ้านางไม่มีเนื้อหนังมากขึ้น นางจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในครัว

สวรรค์รู้ดีว่าฉินเย่จืออยากกินของทอดที่กู้เสี่ยวหวานทำมากแค่ไหน

มีแสงสว่างแพรวระยับในดวงตาของฉินเย่จือ มันสว่างจ้าดุจดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

ทว่าดวงดาวพลันเลือนหายไป ฉินเย่จือทำหน้ามุ่ยบ้าง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความคับข้องใจ

หัวใจของกู้เสี่ยวหวานกระตุก และรีบพูดออกไปโดยไม่ได้คิด “พี่ใหญ่ฉิน เจ้าเป็นอะไรไป?”

พี่ใหญ่ฉิน!

การเรียกนี้ทื่อกว่าการเรียกพี่เฉิงเจ๋อนัก

ฟังอย่างไรก็ดูไม่ลื่นหู

ใบหน้าของฉินเย่จือมืนมนลง

“พี่ใหญ่ฉิน เจ้าเป็นอะไรไป” กู้เสี่ยวหวานเริ่มวิตกกังวลมากขึ้น กระทั่งใบหน้ายังเผยความร้อนรนออกมา เมื่อเห็นว่านางกังวลเกี่ยวกับเขามากเพียงใด ฉินเย่จือก็ไม่กล้าที่จะทำให้กู้เสี่ยวหวานหวาดกลัวอีกต่อไป เขาเม้มริมฝีปากและพูดด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดว่า “หวานเอ๋อร์ ข้าไม่ได้กินอาหารฝีมือเจ้ามานานแล้ว!”

ใช่!

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางและกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดก็ไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีกต่อไป นางพลันหัวเราะอย่างมีความสุข แม้แต่คิ้วและดวงตาก็ยังโค้งมนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้วที่ฉินเย่จือถูกคุมขัง จากนั้นนางก็ล้มป่วยอีกครั้ง และนอนอยู่บนเตียงนานกว่าสิบวัน กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ทำอาหารมาพักใหญ่แล้ว!

หลังจากได้ยินคำพูดของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็ต้องการทำอาหารด้วยตัวเอง

เมื่อเห็นคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขากระตือรือร้น ฉินเย่จือก็รีบกอดนางไว้แน่นและพูดอย่างประหม่าว่า “หวานเอ๋อร์ เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด ข้าจะให้เจ้าเข้าไปในครัวก็ต่อเมื่อเจ้าแข็งแรงขึ้น!”

เมื่อเห็นท่าทางประหม่าของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกยินดี

ฉินเย่จือไปที่โถงพร้อมกับกู้เสี่ยวหวานในอ้อมแขนของเขา โดยวางนางไว้บนเก้าอี้หวายในสภาพกึ่งนอน

เขาคลุมนางด้วยผ้าห่มบาง ๆ อย่างระมัดระวังและพูดเบา ๆ ว่า “พักผ่อนให้เต็มที่ อยากกินอะไร ข้าจะทำให้เจ้าเอง!”

เมื่อเห็นท่าทางอ่อนโยนของฉินเย่จือ ใบหน้าที่อยู่ใกล้ ๆ นั้น เมื่ออีกฝ่ายกะพริบตา ขนตาเหล่านั้นก็ปัดผ่านแก้ม กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าทำไมหัวใจของนางจึงเต้นไม่เป็นจังหวะ ซึ่งเมื่อกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ใบหน้าของนางก็พลันแดงก่ำไปถึงใบหู

นางได้แต่หลับตาอย่างรวดเร็วแล้วพยักหน้าอย่างรีบร้อน “ได้ ๆๆ!”

กู้เสี่ยวหวานพูดรัวไม่หยุด แต่นางไม่สามารถซ่อนความประหม่าและตื่นตระหนกในคำพูดของนางได้

ฉินเย่จือจับที่เท้าแขนของเก้าอี้หวายที่มักมนงอเสมอไว้ ซึ่งเมื่อเขาเห็นความเขินอายของกู้เสี่ยวหวาน ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว ฉินเย่จือก็เอื้อมมือไปลูบผมของกู้เสี่ยวหวาน จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไป

ฉินเย่จืออารมณ์ดีจนเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากที่เขาหันหลังให้ ดวงตาที่ปิดสนิทของกู้เสี่ยวหวานก็พลันเปิดขึ้นทันที เมื่อมองไปที่ด้านหลังอันแข็งแกร่งของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

บนรถม้าที่มีเด็กชายวัยกำลังโตบังคับรถม้าอยู่ รถม้าเคลื่อนที่ไม่เร็วมาก กู้หนิงผิงกลัวว่าเพราะว่าตัวเองยังเด็ก ถ้าม้าวิ่งเร็วเกินไปเขาอาจไม่สามารถกุมบังเหียนได้

รถม้าเคลื่อนอย่างเชื่องช้า สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกว่าภายในรถม้าเต็มไปด้วยความอึดอัด ดังนั้นเขาจึงออกมานั่งด้านหน้ากับกู้หนิงผิง

ระหว่างทาง สวีเฉิงเจ๋อเต็มไปด้วยความกังวล

“พี่สาวของเจ้ากับฉินเย่จือนั่น พวกเขาเป็นแบบนี้เสมอหรือ?” สวีเฉิงเจ๋อเห็นว่าฉินเย่จืออุ้มกู้เสี่ยวหวานขึ้นและเดินเข้าไปในบ้าน ความใกล้ชิดทำให้ความรู้สึกเหนือกว่าที่เขามีต่อฉินเย่จือหมดความอิ่มเอมใจไปในทันที

กู้หนิงผิงมองไม่เห็นความเหงาหงอยในแววตาของสวีเฉิงเจ๋อ โดยคิดว่าอีกฝ่ายแค่ถามว่าทำไมความสัมพันธ์ของพี่สาวของเขาและฉินเย่จือถึงสนิทกันเพียงนั้น

กู้หนิงผิงขับรถม้าเพื่อส่งสวีเฉิงเจ๋อกลับไปที่หอหนังสืออวี้ บนรถม้าจึงย่อมมีเพียงสองคนเท่านั้น

เมื่อเห็นสวีเฉิงเจ๋อถามคำถามนี้กับตัวเอง กู้หนิงผิงก็ยิ้มอย่างเต็มใจ และพูดอย่างมีความสุขว่า “พี่เฉิงเจ๋อ อาจารย์ของข้าปฏิบัติต่อพี่สาวของข้าดีมาก!”

ดีมาก?

จะไม่ดีได้อย่างไร?

เมื่อครู่นี้กู้เสี่ยวหวานได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางบอกว่าถ้าฉินเย่จือมาไม่ทัน นางอาจถูกเผาอยู่ในเปลวเพลิงแล้ว

อีกทั้งข่าวครั้งสุดท้ายที่เขาได้ยินจากคนใช้หนุ่ม

คนจากทางการกล่าวหาว่ากู้เสี่ยวหวานว่านางฆ่าคน แต่เมื่อพวกเขาพาตัวนางไปที่หมู่บ้านอู๋ซี ฉินเย่จือได้เข้าไปขวางไว้และปล่อยให้ทางการจับกุมเขาไปแทน ทั้งหมดเพื่อความปลอดภัยของกู้เสี่ยวหวาน

ถ้าช่วยชีวิตคนครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เรียกว่าดีมาก แล้วจะเรียกอะไร!?

สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกเพียงรสขมในปากของเขา ขมมากจนพูดอะไรต่อไม่ออก ได้แต่มองดูประตูเมืองที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

“หลังจากฉินเย่จือมาถึงบ้านของเจ้า พี่สาวของเจ้ามีความสุขมากหรือไม่?” สวีเฉิงเจ๋อถามอีกครั้งอย่างระมัดระวัง

กู้หนิงผิงยังเป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าที่สวีเฉิงเจ๋อถามประโยคนี้หมายถึงอะไร เมื่อเขาได้ยินสวีเฉิงเจ๋อถามตัวเอง กู้หนิงผิงจึงตอบโดยไม่ต้องคิด “แน่นอน พี่สาวของข้าอารมณ์ผ่อนคลายขึ้นมากตั้งแต่อาจารย์มาที่บ้านของข้า อาจารย์ของข้าวิ่งวุ่นทำทุกอย่างทั้งในบ้านและนอกบ้าน ไม่กล้าปล่อยให้พี่สาวของข้าเหน็ดเหนื่อย”

สิ่งที่กู้หนิงผิงพูดเป็นความจริง แต่ความจริงนั้นทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกหดหู่ และต้องการทุบตีใครสักคน

ดวงตาอันอบอุ่นแต่เดิมของสวีเฉิงเจ๋อกลายเป็นความลึกล้ำในทันที ยิ่งคิดถึงความระแวดระวังในสายตาของฉินเย่จือยามมองมาที่เขาเมื่อครู่นี้ด้วยแล้ว

สวีเฉิงเจ๋อไม่ใช่เด็กที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงเข้าใจสิ่งที่ฉินเย่จือระวัง!

ฉินเย่จือคอยระวังตัวเองอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ตัวเองเข้าใกล้กู้เสี่ยวหวาน

เขาล่ะ?

สวีเฉิงเจ๋อไม่ปล่อยให้ความอ่อนโยนในแววตาของฉินเย่จือยามมองไปที่กู้เสี่ยวหวานเล็ดลอด

ออกไป

ในวัยของสวีเฉิงเจ๋อ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการแต่งงาน ลูก ๆ ของเขาก็น่าจะวิ่งกันได้แล้ว ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของฉินเย่จือจะรอดพ้นสายตาของเขาได้อย่างไร