บทที่ 550 ท่านย่าลงมือ!

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 550 ท่านย่าลงมือ!

อย่าว่าแต่หนิงอันที่งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้เลย แม้แต่ฉินกงกงที่เพิ่งจะหั่นแตงโมทั้งจานเดินมาหาก็ยังนิ่งอึ้งอยู่กับที่

เกิดอะไรขึ้นกัน

เหตุใดจู่ๆ สองแม่ลูกจึงแตกหักกันได้เล่า

พูดให้ถูกคือจวงไทเฮาแตกหักกับองค์หญิงหนิงอัน

ต้องรู้ก่อนว่าองค์หญิงหนิงอันเป็นคนที่จวงไทเฮาเฝ้าดูนางเติบโตมา เป็นเหมือนดั่งธิดาแท้ๆ

องค์หญิงหนิงอันมองจวงไทเฮาราวกับโดนฟ้าผ่า แววตามีความสงสัย ตกใจ หวาดกลัว…และอารมณ์ต่างๆ มากมายวาบผ่าน

ในขณะที่นางกำลังสับสน ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในหัวจะพรั่งพรูออกมา น้ำตานางก็ร่วงเผาะลงมาก่อน “เสด็จแม่ ลูกไม่รู้ว่าทำอะไรผิดไป จึงล่วงเกินเสด็จแม่ให้มีโทสะเช่นนี้”

จวงไทเฮามองนางอย่างเย็นชา “ไม่รู้อย่างนั้นรึ เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าแสร้งไม่รู้กันล่ะ”

องค์หญิงหนิงอันแววตาวาบไหวเล็กน้อย

จวงไทเฮาตรัสอย่างเดือดดาล “ข้าขอถามเจ้า เจ้าแอบไปไหว้แม่เจ้ามาหรือไม่!”

องค์หญิงหนิงอันอ้าปากค้าง แววตาที่วูบไหวค่อยๆ นิ่งขึ้น

นางผ่อนคลายลงช้าๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็ลุกขึ้นแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว คุกเข่าลงตรงหน้าจวงไทเฮา ก้มลงเอ่ย “ขอเสด็จแม่โปรดอภัยด้วย”

จวงไทเฮากำมือแน่น มองนางอย่างผิดหวัง “ดังนั้นเจ้ากำลังยอมรับใช่หรือไม่”

องค์หญิงหนิงอันยอมรับ เอ่ยเสียงเบา “ลูกไปสำนักชีมาจริงๆ และ…รำลึกถึงเสด็จแม่ที่นั่นจริงเพคะ”

ฉินกงกงแอบถอนหายใจ เรื่องนี้เขาก็รู้ นั่นเป็นเมื่อคืนที่องค์หญิงกลับวังหลวง องค์หญิงแอบไปสำนักชีที่จิ้งไท่เฟยเคยพักในอดีตมา และอยู่ที่นั่นครึ่งชั่วยามจึงได้ออกมา

ไม่ว่าอย่างไรจิ้งไท่เฟยก็เป็นพระมารดาแท้ๆ ขององค์หญิงหนิงอัน องค์หญิงหนิงอันไปรำลึกถึงนางก็ไม่ได้ผิดแปลกอะไร

ไทเฮาทราบตั้งนานแล้วมิใช่หรือ

และไม่ได้ตรัสอะไรนี่นา

เหตุใดจู่ๆ วันนี้จึงได้ขุดเรื่องเก่าออกมาคิดใหม่เล่า

ร่างจวงไทเฮาคล้ายเริ่มสั่นสะท้านเพราะการขมโทสะเอาไว้ “หากเมื่อคืนข้าไม่บังเอิญได้ยินคนพูดถึง คงไม่รู้ว่าเจ้าเรียกเสด็จแม่ไปด้วย ซ้ำยังอาลัยอาวรณ์ไม่ลืมจิ้งไท่เฟยไปด้วย! เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าข้าเกลียดนางเพียงใด!”

หนิงอันโขกศีรษะ สองมือซ้อนทับกันอยู่บนพื้นเย็นเยียบ หน้าผากแนบลงหลังมือตัวเองอย่างสัตย์ซื่อ “ลูกผิดไปแล้ว ขอเสด็จแม่โปรดระงับโทสะด้วย!”

ฉินกงกงยิ่งมึนงงหนัก คืนที่องค์หญิงหนิงอันไปสำนักชีไทเฮาก็ทรงทราบเรื่องแล้วนี่นา เหตุใดจึงได้บอกองค์หญิงหนิงอันไปว่าเพิ่งจะทราบเล่า

จวงไทเฮาน้ำเสียงเย็นเยียบ “ในเมื่อเจ้ายอมรับสตรีสารพัดพิษนั่นเป็นแม่ เช่นนั้นก็อย่ามาให้ข้าเป็นแม่!”

ตรัสจบ นางก็สะบัดแขนเสื้อจากไป!

ฉินกงกงก็ไม่กล้าขวางไว้ จนกระทั่งนางเดินไปไกลแล้ว ฉินกงกงจึงได้เดินเข้ามาในห้องบรรทม วางถาดผลไม้ไว้บนโต๊ะ มืออีกข้างประคององค์หญิงหนิงอันให้ลุกขึ้น

องค์หญิงหนิงอันมองฉินกงกง แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและขาดที่ยึดเหนี่ยว “ฉินกงกง…”

“เฮ้อ” ฉินกงกงถอนหายใจอีกเฮือก “เกิดเรื่องขึ้นมากมายเพียงนี้ องค์หญิงยังไม่เห็นอีกหรือว่าจิ้งไท่เฟยสร้างบาดแผลให้ไทเฮาลึกมากเพียงใด นางทำร้ายจนไทเฮาแตกหักกับฝ่าบาท ซ้ำยังแย่งองค์หญิงเพียงคนเดียวที่นางรักที่สุดไปจากข้างกายนางอีก ท่านเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของจิ้งไท่เฟยจึงเคียดแค้นนางไม่ได้บ่าวเข้าใจ แต่ท่านไปรำลึกถึงนาง กราบไหว้นาง…เช่นนี้ไม่เหมือนท่านโยนใจไทเฮาใส่หินโม่หรือ”

องค์หญิงหนิงอันตำหนิตัวเอง “ฉินกงกง ข้าผิดไปแล้ว”

ฉินกงกงเอ่ย “ช่างเถิด ที่ไทเฮาทรงกริ้วก็เพราะรักท่านเหลือเกิน หากเป็นคนอื่นไปกราบไหว้จิ้งไท่เฟย ไทเฮาไม่มีทางใส่พระทัยหรอก นิสัยไทเฮาท่านก็รู้ คนที่นางไม่ใส่พระทัยไม่มีทางทำร้ายนางได้”

องค์หญิงหนิงอันเอ่ย “ข้าควรทำอย่างไรจึงทำให้เสด็จแม่อภัยให้ข้า”

ฉินกงกงหยุดเว้น ก่อนเอ่ย “ยามนี้ไทเฮากำลังกริ้ว องค์หญิงก็เลี่ยงๆ ไปก่อน เดี๋ยวไทเฮาหายกริ้วแล้วองค์หญิงค่อยคิดหาวิธีมาขออภัยไทเฮาใหม่เถิดพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงหนิงอันหลบตาลง “ยามนี้ดูท่าแล้วคงต้องทำเช่นนั้น ข้าไม่อาจอยู่รับใช้เสด็จแม่ได้ รบกวนฉินกงกงดูแลเสด็จแม่แทนข้าให้มากด้วย”

ฉินกงกงแย้มยิ้ม “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงโปรดวางพระทัย”

องค์หญิงหนิงอันเอ่ยเบาๆ “เช่นนั้นข้ากลับก่อน”

“บ่าวไปส่ง”

“ไม่ต้องหรอก ฉินกงกงไปดูแลรับใช้เสด็จแม่ดีกว่า”

“…พ่ะย่ะค่ะ” ฉินกงกงขานรับแหยๆ

ฉินกงกงมองแผ่นหลังองค์หญิงหนิงอันค่อยๆ ไกลออกไป จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “องค์หญิง”

“ฉินกงกงมีอะไรอีกหรือ” องค์หญิงหนิงอันหันกลับมามองฉินกงกง

ฉินกงกงเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “ไทเฮาจงใจเอาแม่นางกู้มาอ้างหาเรื่องโมโหองค์หญิง องค์หญิงอย่าใส่ใจเลย”

องค์หญิงหนิงอันชะงักไป “เช่นนั้นเองหรือ ข้าก็นึกว่า…เป็นของที่เสด็จแม่เตรียมไว้ให้หมอกู้จริงๆ เสียอีก”

ฉินกงกงยิ้ม “บ่าวรับใช้ใกล้ชิดไทเฮา บ่าวจะไม่ทราบหรือว่าของพวกนั้นเตรียมไว้ให้ผู้ใด”

องค์หญิงหนิงอันเผยรอยยิ้มรู้ใจอออกมา ราวกับวสันต์หวนคืน “ฉินกงกง ขอบใจมาก”

ฉินกงกงยิ้มพลางคำนับให้ “องค์หญิงเดินทางระวังพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงหนิงอันออกจากตำหนักเหรินโซ่ว

ฉินกงกงหุบยิ้ม “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าของพวกนั้นทำมาให้ใคร”

แต่เขารู้จักการไม่สร้างศัตรูคู่แค้นให้เจียวเจียวนะ!

ฉินกงกงไปห้องทรงอักษร

จวงไทเฮานั่งอยู่บนเก้าอี้ มีป้ายคำสั่งฮู่กั๋วกับมงกุฎหงส์ทองคำวางไว้ตรงหน้า

“ไทเฮา” ฉินกงกงทูลบทสนทนาของตัวเองกับองค์หญิงหนิงอันให้ฟังตามตรงอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง “บ่าวก็ไม่ทราบว่าพูดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่”

เขารับใช้ไทเฮามานานหลายปี ไทเฮาไม่ได้บอกให้เขารู้ทุกเรื่องล่วงหน้า แต่ในฐานะคนสนิทที่มีความสามารถ ไม่ว่าสถานการณ์แบบไหนก็ไม่มีทางถ่วงมือถ่วงเท้าเจ้านายแน่นอน

สิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด สิ่งใดควรจัดการทีหลัง เขาจัดการได้อย่างแจ้มแจ้ง

โดยเฉพาะการขจัดความแค้นของกู้เจียวออกไป เขาทำได้ดียิ่ง

อันที่จริงจวงไทเฮากับฉินกงกงก็เป็นนายบ่าวที่ไม่ต้องพูดอะไรก็รู้ใจกัน นางรู้ว่าตัวเองแทงดาบออกไป ฉินกงกงก็จะชักกลับคืนมาเสียบฝักได้

ฉินกงกงเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “แต่ว่าไทเฮา เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้เล่า”

จวงไทเฮาตรัสเสียงเรียบ “ถึงตอนที่เจ้าควรรู้แล้ว ข้าจะบอกเจ้าเอง”

ฉินกงกงขานรับ “…พ่ะย่ะค่ะ”

โบราณว่าไว้ไม่ผิด อย่าได้คาดเดาพระทัยกษัตริย์ แต่ที่โหดร้ายก็คือหากไม่คาดเดาพระทัยนายหญิงแล้ว ตนอาจจะไม่มีชีวิตรอดในวังหลวงได้

ฉินกงกงครุ่นคิดอย่างละเอียด

จวงไทเฮาไม่บอกเขา เป็นเพราะไม่ไว้ใจเขามากพอ หรือว่าจวงไทเฮาไม่อยากพูดถึงเรื่องบางเรื่องกันแน่

เขาคิดว่าเป็นอย่างหลังมากกว่า

เรื่องที่มันเจ็บปวดเกินไป ทุกคราที่เอ่ยขึ้นมาก็เหมือนหมื่นธนูปักทะลุดวงใจ

จวงไทเฮาใช้เกราะเย็นเยียบห่อหุ้มตัวเองไว้อย่างมิดชิดได้ แต่ดวงใจภายใต้เกราะนั่นไม่ได้แตกต่างกับคนธรรมดาเลย มันเจ็บปวดได้รวดร้าวเป็น

เพียงแต่ไทเฮาทรงแบกรับภาระหนักหน่วงมากมายเหลือคณานับเอาไว้ นางไม่อาจจมดิ่งไปกับความเจ็บปวดได้ ทำได้เพียงข่มความช้ำและเดินหน้าต่อไป

จวงไทเฮาตรัส “เจ้าจับตาดูนางไว้ คิดหาวิธีสืบให้ได้ว่าคืนนั้นนางเอาอะไรมาจากสำนักชี”

ฉินกงกงตกใจยกใหญ่

ว่าอย่างไรนะ

องค์หญิงหนิงอันนำของบางอย่างออกมาจากสำนักชีอย่างนั้นรึ

นางไม่ได้ไปกราบไหว้จิ้งไท่เฟยหรือไร หรือว่า…นางกราบไหว้คนตายเป็นเรื่องเท็จ ไปเอาของบางอย่างมาเป็นเรื่องจริง!

หากเป็นเช่นนี้ก็อธิบายได้แล้วว่าเหตุใดรู้ทั้งรู้ว่าจวงไทเฮาเกลียดชังจิ้งไท่เฟย แต่ก็ยังเสี่ยงที่จะเสียความโปรดปรานไปที่สำนักชีที่จิ้งไท่เฟยเคยอาศัยอยู่

แน่นอนว่าความนัยในประโยคนี้ไม่ได้มีแค่องค์หญิงหนิงอันไปเอาบางอย่างมาจากสำนักชี มันมีคำถามอีกว่าเหตุใดองค์หญิงหนิงอันจึงไปเอา และไทเฮาจะสืบหาอะไร

สิ่งของตกทอดของจิ้งไท่เฟยธรรมดาๆ ไทเฮาไม่ต้องไปสืบหาหรอก

หากเป็นสิ่งของตกทอดที่ไม่ธรรมดานี่สิได้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาแน่

ฉินกงกงอย่างไรเสียก็เป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านอะไรๆ มาด้วยกันกับจวงไทเฮามากมาย ความสามารถในการทำใจยอมรับย่อมแข็งแกร่งตามไปด้วย

จะมีสิ่งใดมาทำให้เขาตกใจได้เล่า จริงหรือไม่

ทว่ายามนี้ เขากลับอดไว้ไม่ไหวอยากจะสบถด่าออกมาคำหนึ่งว่า เห็นมานักต่อนักแล้ว!

อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวจิ้งคงเข้าวังมาอีกครา

ครานี้เขามาเองด้วยนะ!

…นั่งรถม้าของหลิวเฉวียนมา

เขามาหาหวงฝู่เสียน

เพราะทะเลาะกันกับหวงฝู่เสียน ท่านย่าจึงไม่อนุญาตให้เขาไปตำหนักปี้สยาอีก เช่นนั้นเขาจึงต้องแอบไปน่ะสิ!

หวงฝู่เสียนนั่งเหม่ออยู่ริมหน้าต่าง

เหลียนเอ๋อร์กำลังจัดเสื้อผ้าในห้องเขาอยู่ นางมองเขาแวบหนึ่งอย่างแปลกใจ คิดในใจว่าตั้งแต่วันที่องค์ชายได้รับบาดเจ็บก็ชอบนั่งเหม่ออยู่ข้างหน้าต่าง

อากาศหนาวเพียงนี้ ไม่กลัวหนาวบ้างหรือไร

เป็นคนที่ขี้หนาวแท้ๆ

“องค์ชาย” เหลียนเอ๋อร์ถามเขา “ปิดหน้าต่างเข้ามาหน่อยดีหรือไม่เพคะ”

“ไม่ต้อง” หวงฝู่เสียนเอ่ยเสียงเรียบ

“เช่นนั้นข้าไปเทชาร้อนมาให้นะเพคะ” เหลียนเอ๋อร์พับอาภรณ์ได้ครึ่งหนึ่ง ก็เทชาขิงน้ำตาลแดงร้อนๆ หันกลับเดินมาหาหวงฝู่เสียน

ขณะนั้นเอง ก็มีศีรษะน้อยๆ กลมเกลี้ยงมุดมาจากนอกหน้าต่าง

หวงฝู่เสียนแววตาสั่นไหว ยื่นมือไปกดศีรษะน้อยๆ นั่นลงไป

“เหลียนเอ๋อร์!”

“ว่าอย่างไรพะเคองค์ชาย”

หวงฝู่เสียนเอ่ยนิ่งๆ “ข้าหิว เจ้ารีบไปเอาของกินมาที!”

เหลียนเอ๋อร์มองถ้วยในมือ “เช่นนั้นชานี้…”

หวงฝู่เสียนเอ่ยอย่างรำคาญ “ไม่ดื่มแล้ว! เททิ้ง!”

หวงฝู่เสียนชอบอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ประจำ เหลียนเอ๋อร์ชินเสียแล้ว จึงไม่ได้สงสัยอะไร นางวางชาขิงลง ก่อนเดินออกไปนอกห้อง

เมื่อแน่ใจว่านางไปไกลแล้ว หวงฝู่เสียนจึงได้ชักมือกลับจากศีรษะของคนบางคนที่เขากดไว้

หัวเห็ดเล็กๆ ดอกนั้นเด้งดึ๋งออกมาราวกับเห็ด

“ท่านพี่!”

เสี่ยวจิ้งคงโคลงศีรษะเป็นท่าไม้ตาย แอ๊บแบ๊ว!

หวงฝู่เสียนเบนหน้าหนี “น่าเกลียดจะตายชัก”

เสี่ยวจิ้งคงพินิจมองตั้งแต่หัวจรดเท้า อุ้มเสี่ยวจิ่วที่เล่นหิมะบนพื้นขึ้นมา เอ่ยอย่างเสียดาย “ท่านบอกว่าเจ้าน่าเกลียดแหนะ”

เสี่ยวจิ่วที่กลายเป็นสนามอารมณ์เสียอย่างนั้น “…!!”