บทที่ 723 ยินยอม

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 723 ยินยอม

บทที่ 723 ยินยอม

ซูอันเข้าใจสิ่งที่นางพยายามจะพูด สถานการณ์ปัจจุบันของเขาดูเหมือนสิ้นหวังอย่างยิ่ง และนั่นทำให้ทางเลือกที่นางเสนอดูน่ายั่วยวนใจ

ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตของเขาจะต้องจบสิ้นอย่างแน่นอน ถ้าเขาถูกผู้อื่นจับตัวไป

ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ที่ดีของซูอันกับชิวฮัวเล่ย อาจเป็นตัวเขาเองที่อาจจะต้องตายถ้าเขาตกไปอยู่ในมือของสำนักมาร

เกรงว่าหากเขาปฏิเสธเงื่อนไขดังกล่าวคงจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก

“ขอบคุณแม่นางชิว แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้ามากแค่ไหน” ซูอันประสานมือ โชคไม่ดีที่เขามีแผนการของตัวเอง และเขาไม่เชื่อว่าเจ้าสำนักของสำนักมารจะปล่อยเขาไปจริง ๆ

ชิวฮัวเล่ยยิ้ม “เจ้ารู้เช่นนี้ก็ดีแล้ว” ผู้หญิงอีกสามคนที่เหลือตะลึงกับน้ำเสียงขี้เล่นของนาง

ชิวฮัวเล่ยตระหนักได้ว่าพฤติกรรมของนางแปลกไปเช่นกัน นางจึงหุบยิ้มลงแล้วกระแอมเบา ๆ “หมายความว่าเจ้าตกลง?”

ซูอันส่ายหัว “ข้าเคยชินกับการใช้ชีวิตอิสระแล้ว ข้าจึงไม่ต้องการรับใช้ผู้อื่น”

การแสดงออกของชิวฮัวเล่ยเริ่มเย็นชา ก่อนที่นางจะหันกลับไปและออกคำสั่งให้แปดเดียวดาย “ฆ่าพวกเขาทั้งหมด!”

ความเย็นชาอย่างกะทันหันของนางทำให้ทุกคนตระหนักว่านางไม่ใช่คณิกาอันดับหนึ่งผู้งดงามแห่งหอสุขนิรันดร์ แต่เป็นบุตรีสวรรค์แห่งสำนักมารที่สามารถฆ่าคนอื่นโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา

“รับทราบ!” ผู้บ่มเพาะธาตุโลหะและน้ำแข็งกำลังกัดฟันด้วยความโกรธ ตอนนี้พวกเขาได้รับคำสั่งที่รอมานานแล้ว พวกเขาจึงรีบวิ่งไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มที่มุ่งร้าย

ซูอันเป็นชายน่ารังเกียจยิ่งนัก แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรกับซูอันได้เนื่องจากคำสั่งของเจ้าสำนักและการคุ้มครองของบุตรีสวรรค์ แต่พวกเขาสามารถระบายความโกรธด้วยการฆ่าสหายทุกคนของซูอันแทน

ซ่างเชียนตื่นตระหนกทันทีเมื่อเห็นแปดเดียวดายทั้งสามคนวิ่งเข้ามาหาพวกเขา ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายถึงตายแล้ว

เขาไม่เคยคิดเลยว่าเทพธิดาที่เขาเคยหลงรักจะออกคำสั่งฆ่าเขาได้ง่ายดายเพียงนี้!

ราวกับว่าเขาไม่มีอะไรมากไปกว่าคนธรรมดาสามัญในสายตาของนาง เขารู้สึกเจ็บปวด ผิดหวัง และหวาดกลัว นอกจากนี้เขายังรู้สึกโกรธแค้นซูอันอย่างยิ่ง

“ไอ้คนแซ่ซูทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเจ้า!”

ท่านยั่วยุซ่างเชียนสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 1024!

ซูอันเป็นห่วงความปลอดภัยของเพ่ยเหมียนหมานและเจิ้งตานมากที่สุด เขาจึงพยายามที่จะรีบเข้าไปช่วยพวกนางโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ถูกชิวฮัวเล่ยหยุดไว้

“เจ้าต้องข้ามศพข้าไปก่อนถ้าอยากไปที่นั่น” ชิวฮัวเล่ยยืนขวางเขาและยกโคมของนางอย่างใจเย็น

ซูอันเริ่มปวดหัว ชิวฮัวเล่ยเป็นคนลึกลับอย่างยิ่งและการบ่มเพาะของนางก็อยู่ที่ระดับห้า บางทีเกือบถึงระดับที่หก เมื่อรวมกับโคมลึกลับของนางด้วย การจะผ่านนางไปจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

เขารู้ว่าเพ่ยเหมียนหมานและเจิ้งตานได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ เขาจึงไม่กล้าลังเลอีกต่อไป เขาพูดทันทีว่า “ก็ได้ ข้าจะไปกับเจ้า แต่เจ้าต้องปล่อยพวกนางไป”

“ต้องอย่างนี้สิ!” ชิวฮัวเล่ยยิ้ม การแสดงออกที่เยือกเย็นทั้งหมดราวกับจะสลายไปในทันที

ความโกรธเล็กน้อยที่ซูอันรู้สึกอยู่หายไปเช่นกันเมื่อเขาเห็นสาวงามที่อยู่ตรงหน้าเผยรอยยิ้มแย้มแจ่มใส เขาถอนหายใจ ข้านี่แพ้หญิงงามจริง ๆ

ชิวฮัวเล่ยออกคำสั่งให้แปดเดียวดายปล่อยเพ่ยเหมียนหมานและคนอื่น ๆ ไป แต่ผู้บ่มเพาะธาตุสายฟ้าขมวดคิ้วและกล่าวว่า “บุตรีสวรรค์ ผู้คนเหล่านี้จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับซูอันและที่อยู่ของสำนักหากเราปล่อยพวกมันไป!”

ผู้บ่มเพาะธาตุน้ำแข็งเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว “ข้าเห็นด้วยเช่นกัน! ถ้าเราไม่ปิดปากพวกมัน ในไม่ช้าก็จะมีผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วนไล่ล่าสำนักของเรา!”

สมาชิกคนอื่น ๆ ของแปดเดียวดายพยักหน้าทีละคน ไม่มีใครเห็นด้วยกับการปล่อยคนเหล่านี้ไป พวกเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบในตอนนี้ และไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยอีกฝ่ายไป

ชิวฮัวเล่ยก็มีปัญหาเช่นกัน นางรู้ว่าการกำจัดพยานเหล่านี้เป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม นางได้สัญญากับซูอันว่าจะไม่ทำอย่างนั้น และผู้หญิงสองคนนั้นก็ดูมีความสำคัญสำหรับเขาเช่นกัน ถ้านางฆ่าพวกเขาจริง ๆ มันอาจทำให้ความสัมพันธ์ของนางกับซูอันเสียหายอย่างไม่อาจแก้ไขได้

ซูอันเอาดาบพาดคอของเขาทันทีเมื่อเห็นนางลังเล “ถ้าพวกเจ้ากล้าแตะต้องพวกนาง ข้าจะฆ่าตัวตายทันที มาดูกันว่าเจ้าจะอธิบายให้เจ้าสำนักของพวกเจ้าฟังว่ายังไง!”

“อาซู!” ทั้งเพ่ยเหมียนหมานและเจิ้งตานต่างก็ตื่นตระหนกเมื่อได้ยิน น่าเสียดายที่ผู้บ่มเพาะธาตุสายฟ้าหยุดพวกนางไม่ให้รีบวิ่งมาหาเขา

ชิวฮัวเล่ยต้องการที่จะหยุดเขา แต่ซูอันก็ถอยกลับอย่างรวดเร็ว “อย่าคิดว่าจะแย่งกระบี่ของข้าได้ แม้ว่าข้าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้ แต่ข้าก็ยังสามารถเลือกจะตายได้ด้วยตัวเอง”

“ข้าไม่เชื่อว่าเด็กเหลือขออย่างมันจะกล้าจบชีวิตของตัวเอง” ผู้บ่มเพาะธาตุน้ำแข็งกล่าว

“หุบปาก!” ชิวฮัวเล่ยตวาด แม้ว่านางจะรู้จักซูอันดีและไม่คิดว่าเขาจะฆ่าตัวตาย แต่นางก็ไม่สามารถเสี่ยงได้ นอกจากนี้ นางมีเหตุผลที่ดีพอที่จะตอบโต้การคัดค้านจากคนของนางเองได้แล้ว

นางพูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า “ภารกิจของเราคือนำตัวซูอันกลับไป ไม่มีอะไรอื่นสำคัญกว่านี้อีกแล้ว ปล่อยคนเหล่านี้ไป!”

แปดเดียวดายมองหน้ากันด้วยความลังเล แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าชิวฮัวเล่ย แต่นางมีสถานะพิเศษและก็เป็นศิษย์ของเจ้าสำนักด้วย พวกเขาจึงไม่สามารถขัดใจนางได้

และยิ่งไปกว่านั้น หากซูอันเป็นอะไรไปจริง ๆ พวกเขาคือกลุ่มแรกที่จะต้องเผชิญกับโทสะของเจ้าสำนัก

ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะธาตุสายฟ้าและน้ำแข็งที่เปล่งเสียงคัดค้านอย่างแข็งขันที่สุดก็ไม่ได้ดึงดันต่อ พวกเขาทั้งสองปล่อยเพ่ยเหมียนหมานและคนอื่น ๆ ออกไป

ซ่างเชียนรู้สึกราวกับว่าได้รับการนิรโทษกรรมครั้งใหญ่ เขารีบจากไปโดยอุ้มพ่อของเขาไว้บนหลัง ซ่างเฉี่ยนลังเลเล็กน้อย นางหันกลับไปมองหลายครั้ง แต่นางก็ไม่พูดอะไรในท้ายที่สุด

“อาซู!” เห็นได้ชัดว่าเพ่ยเหมียนหมานและเจิ้งตานไม่เต็มใจที่จะเห็นซูอันถูกสำนักมารนำตัวไป ทั้งสองร้องตะโกนและพยายามวิ่งไปหาเขา

ซูอันหยุดพวกเขา “รีบไปซะ พวกเจ้าช่วยข้าไม่ได้หรอก อย่าให้การเสียสละของข้าไร้ความหมาย”

เมื่อเห็นว่าพวกนางกำลังจะพูดอะไรเพิ่มเติม เขาก็ส่งเสียงผ่านพลังชี่ “ยัยเด็กโง่ หนีไปก่อน แล้วหาคนมาช่วยข้าทีหลังได้ไหม?”

สองสาวตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด พวกนางแลกเปลี่ยนสายตากันโดยไม่รู้ตัวแล้วพูดว่า “ก็ได้ อาซูดูแลตัวเองด้วย”

เพ่ยเหมียนหมานจงใจสบตากับชิวฮัวเล่ย “แม่นางชิวเจ้าจงดูแลเขาให้ดี ไม่เช่นนั้นข้าขอสาบานว่าข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา!”

ชิวฮัวเล่ยกลอกตา “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้ หยุดทำตัวโอหังเพียงเพราะเจ้ามีหน้าอกใหญ่ได้แล้ว!”

ซ่างเฉี่ยนซึ่งยังคงอยู่ใกล้ ๆ อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองที่หน้าอกของชิวฮัวเล่ย

ของเจ้าก็ไม่เล็กนะ! นี่เจ้าแกล้งทำเป็นอิจฉาหรือเปล่า? น่าหมั่นไส้เป็นบ้าเลย พวกเจ้าไม่นึกถึงความรู้สึกคนอย่างข้าที่มีหน้าอกแบนกว่าบ้างหรือไงกัน?

เพ่ยเหมียนหมานพ่นลมหายใจ “ถ้าเจ้ามีฝีมืองั้นก็สู้กับข้าตัวต่อตัว!”

ชิวฮัวเล่ยมองอาการบาดเจ็บของนางและส่ายหัว นางยิ้มอย่างคลุมเครือและพูดว่า “ช่างเถอะ เจ้าได้รับบาดเจ็บนี่ ถ้าข้าชนะ เจ้าคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้หรอก นอกจากนี้ อาจมีคนช้ำใจถ้าข้าทำร้ายเจ้า”

ใบหน้าของเพ่ยเหมียนหมานร้อนขึ้นเมื่อนางเห็นสายตาของชิวฮัวเล่ยที่กำลังมองซูอัน นางรู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาวะใด และคำนวณได้ว่านางไม่มีโอกาสชนะอีกฝ่ายมากนัก ดังนั้นจึงไม่ตอบโต้ต่อไปอีก